เล่มที่ 12 บทที่ 332 มอบอาภรณ์ร่ำลา

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“เฮ้อ พวกกระหม่อมไร้ความสามารถในรักษาพระอาการของฮ่องเต้ให้กลับมาเป็นปกติได้ หากมิใช่เพราะพระชายายอมลดตัวลงมาเพื่อตรวจสอบความจริงในข้อนี้ด้วยตนเองแล้วล่ะก็ เกรงว่าคนภายนอกคงครหาว่าพวกหมอหลวงมิได้พยายามรักษาพระอาการของฮ่องเต้เป็นแน่”

ที่แท้หลินเมิ้งหยาเองก็ดูอาการประชวรของฮ่องเต้ไม่ออก ฉะนั้นซูถงจึงแสร้งทำท่าทางเจ็บปวดใจ

จากนี้ไปคงไม่มีใครสงสัยพวกเขาอีกแล้ว

“ใต้เท้าซูเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าแค่ได้รับการไหว้วานจากท่านอ๋องแต่เพียงเท่านั้น เหตุเพราะท่านอ๋องของข้ารักและกตัญญูต่อฮ่องเต้มาก”

หลินเมิ้งหยาไม่อยากเสียเวลาพูดจาไร้สาระ หลังจากเหลือบมองซูถงแล้ว นางจึงเก็บรายงานชีพจร

แต่เมื่อนึกถึงรายงานชีพจรขึ้นมา นางรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย

รายงานชีพจรฉบับจริงจะต้องถูกเสี่ยวเฟิงเอาไปอย่างแน่นอน แต่เจ้านั่นตายไปแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่อาจถามหาเอาความได้

ฉะนั้นนางจึงทำได้เพียงเก็บซ่อนความสงสัยเอาไว้

สรุปแล้วบันทึกชีพจรฉบับจริงอยู่ที่ใคร?

หากอยู่ในมือของฮองเฮาหรือไท่จื่อ เช่นนั้นนางยังพอจะวางใจได้ แต่ถ้าหากตกอยู่ในมือของเหล่าศัตรูแล้วล่ะก็ บางทีพวกเขาอาจไม่ประสงค์ดีต่อฮ่องเต้

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจแอบสืบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

ไม่ว่าหลงเทียนอวี้หรือท่านพ่อจะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ไม่ได้

“พระชายารับสั่งเช่นนี้ก็เหมือนกระหม่อมเป็นคนอื่น ถึงอย่างไรกระหม่อมเองก็อยู่ในสมรภูมิรบเดียวกันกับพระชายา ต่อจากนี้ไปอาจต้องรบกวนพระชายาอีกหลายเรื่อง พวกเราสำนักหมอหลวงจะจดจำคุณงามความดีของพระชายาเอาไว้ในใจพ่ะย่ะค่ะ”

คุณงามความดี? หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ หากจัดอันดับรายชื่อคนที่ไม่พอใจในตัวนางแล้วล่ะก็ ซูถงคงติดหนึ่งในสามอย่างแน่นอน

แต่ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นความฉลาดของซูถงในการครองตำแหน่งสูงที่สุดของสำนักหมอหลวง

ไม่ว่าจะเกลียดหรือชื่นชม ซูถงมักจะแสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจและอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ แม้ว่าเบื้องหลังเขาจะตีอกชกหัวเช่นไร แต่เบื้องหน้าเขากลับไม่เผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเลยแม้แต่น้อย

ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากจะระวัง

คนที่หลินเมิ้งหยาต้องระมัดระวังที่สุดคือคนเช่นนี้

“ข้าทำหน้าที่สำเร็จลุล่วงแล้ว ที่เหลือคงต้องรบกวนพวกท่าน เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อน เชิญพวกใต้เท้าเถิด”

เมื่อครู่นางได้เห็นสิ่งที่ต้องการจะเห็นหมดแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาม้วนเสื่อกลับบ้านเสียที

ภายในสำนักหมอหลวง นอกจากชิวอวี้แล้ว ทุกคนล้วนหวังคาดหวังว่านางจะไม่กลับมาอีก

โชคดีที่ไม่มีอะไรให้เก็บมากมายนัก หลินเมิ้งหยานำกลับไปเพียงหนังสือวิชาแพทย์ของตนเองสองสามเล่ม ก่อนจะบอกลาหมอหลวงทุกคน

หลังจากร่างบางเดินลับหายไป ซูถงที่แย้มยิ้มตลอดเวลาพลันหุบยิ้ม

เหอเทียนและเจียงข่ายเองก็เช่นเดียวกัน พวกเขาจ้องทางประตูด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร

“ในที่สุดก็ไปจนได้ ฮึ คิดไม่ถึงเลยว่าชายาอวี้จะโอหังเช่นนี้ นางไม่แม้แต่จะเห็นพวกเราอยู่ในสายตา นางคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองจะสามารถควบคุมสำนักหมอหลวงได้?”

เจียงข่ายหมดความสนใจในวิชาการควบคุมเข็มของหลินเมิ้งหยานานแล้ว แต่เพราะคนหนุนหลังของนางมีมากเกินไป ฉะนั้นเขาจึงไม่อาจทำอะไรนางได้ แม้แต่ซูถงเองก็ปรามเขามิให้เขาทำอะไรบุ่มบ่าม

ตอนนี้เขาเห็นหลินเมิ้งหยากำลังจะกลับจวนแล้ว คาดว่าโอกาสของเขาเองก็หมดลงแล้วเช่นกัน

ฉะนั้นความโกรธที่มีต่อหลินเมิ้งหยาจึงยังไม่ถูกระบายออกไป

“ฮึ ทั้งที่พวกเราอายุอานามมิใช่น้อยๆ แล้ว แต่กลับถูกนังเด็กนั่นจัดการเสียอยู่หมัด”

สายตาของเหอเทียนเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง

ความตายของหลิวอียังคงเป็นความผิดของหลินเมิ้งหยา

“คิดจะล้มนางหาได้ยากลำบาก นางก็เป็นเพียงสตรีที่ชอบทำตัวออกนอกหน้าแต่เพียงเท่านั้น คนที่คอยหนุนหลังนางต่างหากที่น่ากังวล”

สมแล้วที่ซูถงเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าหลินเมิ้งหยาจะแสดงความคิดเห็นเช่นไร เขามักจะชื่นชมนางอยู่เสมอ

เหตุเพราะเขารู้ดีว่าหากหลินมู่จือและหลงเทียนอวี้ยังอยู่ หลินเมิ้งหยาไม่มีทางถูกโค่นล้มได้ง่ายๆ

“ใต้เท้า เช่นนั้นพวกเราทำอะไรสักอย่างดีหรือไม่ ถึงอย่างไรนางก็ลงชื่อในบันทึกชีพจรแล้ว เช่น…”

ชุ่ยสือกดเสียงให้เบาลง แต่ก็ยังเพียงพอให้พวกซูถงได้ยิน

ความเกลียดชังถูกวาดอยู่บนใบหน้า

“ไม่ได้ นางมีฐานะสูงศักดิ์ หากทำพลาดขึ้นมา นางจะต้องหาข้อบกพร่องเจออย่างแน่นอน เจ้าอย่าลืมว่าลูกศิษย์ของเหล่าเหอจบชีวิตลงเช่นไร เจ้าและข้าเองก็มองออกว่านั่นเป็นแผนการของใครบางคน แต่ถึงกระนั้นยังไม่อาจทำอะไรนางได้ เช่นนั้นเจ้าคิดหรือว่าวิธีการตื้นๆ เช่นนี้จะสามารถทำอะไรนางได้?”

แต่ถึงกระนั้นซูถงก็ยังเชื่อว่าสาเหตุที่หลินเมิ้งหยาเอาตัวรอดได้ทุกครั้งมิใช่เพราะนางมีความสามารถ

วังหลวงจะต้องมีคนของหลงเทียนอวี้คอยจับตามองอยู่อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นหลินมู่จือยังเป็นขุนนางเก่าแก่ เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่มีคนคอยช่วยเหลือนาง

“เช่นนั้นพวกเราทำได้เพียงมองนางจากไปเช่นนี้หรือ?”

ชุ่ยสือมิอาจทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้ พวกเขากุมอำนาจในสำนักหมอหลวงมานานหลายปี ไม่ว่าฮองเฮาหรือคนอื่นๆ ก็ล้วนให้ความสำคัญแก่พวกเขาทั้งสิ้น

ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมิสนใจใยดี ไม่แม้กระทั่งมองเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา

แล้วพวกเขาจะทนนิ่งดูดายเช่นนี้ได้อย่างไร

“จะออกไปอย่างปลอดภัยหรือไม่พวกเราคงไม่อาจรู้ได้ ฮึ หลังจากได้ตรวจชีพจรของฮ่องเต้แล้ว เจ้าคิดหรือว่าคนพวกนั้นจะเก็บนางเอาไว้? เหล่าชุ่ย พวกเรามานั่งบนภูดูพยัคฆ์กัดกันเถิด หากพวกเขาทั้งสองฝ่ายพ่ายแพ้ เช่นนั้นย่อมส่งผลดีต่อพวกเรามิใช่หรือ”

จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ยังคงเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ดวงตาของซูถงเปล่งประกาย

แม้คนของสำนักหมอหลวงจะดูเหมือนยุ่งอยู่กับงานเล็กงานน้อย แต่อันที่จริงเขารู้ดี นับตั้งแต่วันที่ฮ่องเต้ประชวร ราชสำนักเริ่มไม่สงบสุข โดยเฉพาะสำนักหมอหลวงที่ต้องเลือกยืนข้างผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

หากเทียบกับการต่อสู้กับหลินเมิ้งหยา เรื่องนี้นับเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ใต้เท้าซูฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ข้าเข้าใจแล้ว”

แม้ชุ่ยสือจะเอ่ยเช่นนี้ แต่ดวงตาของเขายังเผยให้เห็นร่องรอยของความดื้อรั้น

เหตุที่เขาตกเป็นรองซูถง หาใช่เพราะความสามารถของเขามีไม่เพียงพอ แต่เพราะคนผู้นี้ประจบประแจงเก่ง

ทว่าตอนนี้อำนาจใกล้จะถูกสับเปลี่ยนเต็มที ฉะนั้นควรถึงเวลาผลัดเปลี่ยนผู้นำแล้ว

หลินเมิ้งหยากลับมายังเรือนเล็ก แน่นอนว่านางไม่รู้เลยว่าตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ศัตรูจะก่อสงครามกันเอง

“นายหญิง พวกเราจะกลับไปแล้วหรือเจ้าคะ?”

ภายในเรือนเล็ก ป๋ายซูช่วยหลินเมิ้งหยาจัดเก็บเงินทองสิ่งของต่างๆ

แม้ซูหลานจะไม่เอ่ยถาม แต่นางก็ช่วยป๋ายซูเก็บของ

อวี้เฉียงกลับไปยังเรือนของเขาแล้ว ทุกคนล้วนมีทางเดินเป็นของตนเอง หลินเมิ้งหยาจึงไม่รั้งเขาเอาไว้

“เก็บของก่อนเถิด ข้าคิดว่าการออกจากวังยากกว่าการเข้ามาในวังเสียอีก”

จนกระทั่งตอนนี้วังหลวงยังคงเงียบสงบ ไม่มีใครเข้ามาหาเรื่องนาง หลินเมิ้งหยาจึงรู้สึกถึงความผิดปกติ

หากเป็นไปตามที่นางคาดเดา ฮองเฮาไม่มีทางขังนางเอาไว้ในวังหลวง แต่ถึงกระนั้นก็ต้องส่งคนมาลอบสอบถามนาง

ทว่านางยังไม่ได้พบหน้าฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย

กลับกันกับพระสนมเสียนเฟย นางมักจะพาองค์ชายสิบมาเยี่ยมเยียนตนเองบ่อยครั้ง

“ขออนุญาต ไม่ทราบว่าชายาอวี้อยู่หรือไม่?”

เพียงพูดถึงความซวย ความซวยก็มา

หลินเมิ้งหยาที่กำลังนึกถึงพระสนมเสียนเฟยเห็นนางในคนสนิทของพระสนมเสียนเฟยมาปรากฏตัว นางในคนนั้นแอบเข้ามาภายในด้วยท่าทางระแวดระวัง

“ท่านพี่รีบเข้ามาเถิด พระชายาเพิ่งกลับมาถึงพอดี”

ซูหลานรีบเข้าไปทักทาย เมื่อเทียบกับป๋ายซูแล้ว ซูหลานมีความสามารถในการเข้าหาผู้คนมากกว่า

เพียงนางในคนนั้นได้เห็นหลินเมิ้งหยา นางรีบเข้ามาถวายพระพรทันที

มือถือห่อผ้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มาด้วย เพียงได้เห็นเนื้อผ้าก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของมีราคา

“พระสนมเสียนเฟยได้ยินมาว่าพระองค์จะกลับจวนแล้ว ดังนั้นจึงส่งหนู่ปี้ให้นำของมามอบให้พระชายาเพื่อแสดงน้ำใจเพคะ”

หลินเมิ้งหยายิ้ม ก่อนจะส่งสัญญาณให้ป๋ายซูเข้าไปรับของ

เปิดห่อผ้าออกจึงเห็นเป็นชุดกระโปรงใหม่เอี่ยมสามชุด ไม่ว่าฝีมือหรือเนื้อผ้าล้วนเป็นของคุณภาพชั้นเลิศทั้งสิ้น

“ข้าชอบมาก เจ้าจงกลับไปขอบพระทัยเหนียงเหนียงแทนข้าด้วย จริงสิ เหนียงเหนียงของเจ้ายังมีสิ่งใดอยากฝากบอกข้าอีกหรือไม่?”

เมื่อเห็นชายาอวี้รับของไปแล้ว นางในคนนั้นจึงส่งยิ้มก่อนจะเอ่ย

“พระสนมเสียนเฟยรับสั่งว่าเหนียงเหนียงและพระชายามีชะตาต้องกัน หวังว่าพระชายาจะมีเวลาเสด็จไปยังตำหนักของพวกเรา องค์ชายสิบบ่นถึงพระองค์ทุกวันเลยเพคะ”

เมื่อนึกถึงหลงอิงฮวา หัวใจของหลินเมิ้งหยาพลันอ่อนโยนขึ้น

แม้เด็กคนนี้จะซุกซน แต่เขาก็เป็นเด็กน่ารัก

“อืม หากภายภาคหน้าข้ามีโอกาสได้เข้าวัง ข้าจะไปตำหนักของพวกเจ้า จริงสิ ตอนนี้เวลาไม่คอยท่า ข้าคงไม่รั้งเจ้าเอาไว้แล้ว”

ครุ่นคิด บางทีนี่อาจเป็นการส่งแขกของหลินเมิ้งหยา นางในคนนั้นหาได้แสดงท่าทางไม่พอใจแต่อย่างใด นางยิ้มแล้วถอนตัวออกจากเรือนเล็ก ทว่าเพียงร่างของนางพ้นประตู รอยยิ้มของคนทั้งสามพลันเหือดหายไป

หลินเมิ้งหยานั่งลงบนเก้าอี้ สายตาจับจ้องชุดทั้งสาม

ป๋ายซูและซูหลานสบตากัน แม้จะไม่เอ่ยถาม แต่พวกนางเป็นคนฉลาด ดังนั้นจึงเลือกที่จะเงียบ

“พวกเจ้าคิดว่าพระสนมเสียนเฟยส่งชุดพวกนี้มาในเวลานี้ทำไมกัน?”

ดวงตาของหลินเมิ้งหยาสุขุมกว่าเดิมมาก

แต่สิ่งที่เผยให้เห็นมากที่สุดคือความสงสัยและผิดหวัง

“คือ…หนู่ปี้เองก็ไม่ทราบเพคะ”

ซูหลานเหลือบมอง ก่อนจะส่ายหน้าเหมือนกันกับป๋ายซู

“ตกลงข้าไร้เดียงสาเกินไป หรือคนในวังหลวงแห่งนี้กลับกลอกเก่งกันแน่นะ? ช่างเถิด นางคงทำไปเพื่ออิงฮวา”

นับตั้งแต่ตอนที่นางในคนสนิทของพระสนมเสียนเฟยปรากฏตัวที่หน้าเรือน หลินเมิ้งหยารู้ได้ทันทีว่าพระสนมเสียนเฟยกำลังหักหลังนาง

ต่อมาเมื่อนางในคนนั้นนำเสื้อผ้าทั้งสามชุดมามอบให้ หลินเมิ้งหยามั่นใจว่าพระสนมเสียนเฟยกำลังทำร้ายนาง

หัวใจเย็นเฉียบ แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่เคยเห็นพระสนมเสียนเฟยเป็นเพื่อนที่แท้จริงมาก่อน

ในเมื่อไม่ใช่เพื่อนกัน เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลจะต้องจริงใจ