เล่มที่ 12 บทที่ 333 ใส่ร้ายป้ายสี

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“นายหญิง เช่นนั้นพวกเราจะทำเช่นไรกับเสื้อผ้าเหล่านี้ดีเจ้าคะ?”

หลังจากอยู่เคียงข้างหลินเมิ้งหยามานาน ป๋ายซูมิใช่นักฆ่าหญิงที่ทำเพียงฆ่าคนอีกต่อไป

อันที่จริงเรื่องนี้เป็นแผนตื้นๆ

วันนี้หลินเมิ้งหยาเพิ่งจะถวายการตรวจชีพจรของฮ่องเต้ หากคิดจะไปจากที่นี่ เช่นนั้นพรุ่งนี้หลังจากนางไปกราบทูลฮองเฮาแล้ว นางจึงสามารถกลับไปได้โดยไม่เสียมารยาท

ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งที่นางเพิ่งจะกลับถึงเรือนเล็ก

เหตุใดจึงบังเอิญพบเข้ากับนางในประจำตัวของพระสนมเสียนเฟยได้เล่า?

แล้วพระสนมเสียนเฟยรู้เรื่องการเดินทางของนางได้เช่นไร?

จะต้องมีคนแจ้งพระสนมเสียนเฟยว่าควรส่งของมายามใดอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นพระสนมเสียนเฟยก็หาใช่คนโง่

เมื่อครู่นางในคนสนิทของพระสนมเอ่ยว่าพระสนมเสียนเฟยมอบสิ่งของเหล่านี้เพื่อแสดงความมีน้ำใจ

เหตุที่เผยพิรุธข้อใหญ่ขนาดนี้ก็เพราะนางต้องการให้หลินเมิ้งหยาคิดว่ามีคนบีบบังคับนางให้ทำเช่นนี้

เกรงว่านางคงไม่อยากเป็นปรปักษ์กับหลินเมิ้งหยาโดยตรง

“ทำอย่างไร? ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น เก็บพวกมันลงในห่อผ้าเสีย ซูหลานจงอยู่เก็บของที่นี่ เจ้ากับข้าไปกราบทูลฮองเฮาว่าพรุ่งนี้จะออกจากวังกัน”

ไม่กำจัดทิ้งอย่างนั้นหรือ? ป๋ายซูและซูหลานสบตากัน แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ้งหยาก็หาใช่คนที่จะยอมปล่อยให้ใครเอารัดเอาเปรียบได้ง่ายๆ

คาดว่านางคงมีแผนรับมืออีกฝ่ายแล้วอย่างแน่นอน

“ชายาอวี้รอนานเลยเพคะ บังเอิญว่าตอนนี้เหนียงเหนียงกำลังสวดมนต์อยู่ แต่ถึงอย่างไรเหนียงเหนียงรับสั่งเอาไว้ว่าพระชายาลำบากมาหลายวันแล้ว เช่นนั้นขอให้พระชายากลับจวนไปพักผ่อนเถิด”

นางในคนสนิทของฮองเฮาเดินเข้ามาแจ้งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเชิงขอโทษ

หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด สุดท้ายจึงพาป๋ายซูกลับเรือนเล็ก

ภายในเรือนเล็ก ซูหลานเก็บของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากหลินเมิ้งหยากลับไป นางจะต้องกลับไปอยู่กับอวี้เฉียง ทว่าหลังจากได้อยู่รับใช้งานมาหลายวัน นางรู้สึกมิอาจทำใจแยกจากจากหลินเมิ้งหยาและป๋ายซูได้

“หนู่ปี้เก็บของของพระชายาเรียบร้อยแล้วเพคะ ท่านอาจารย์บอกว่าให้หนู่ปี้ไปส่งพระองค์ที่หน้าประตูแล้วค่อยกลับไป”

หลินเมิ้งหยากวาดสายตามองเรือนเล็กของตนเอง ไม่ว่าอย่างไรนางก็อาศัยอยู่ที่นี่ราวครึ่งเดือนแล้ว ตลอดเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมาทำให้นางรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง

นั่งอยู่ภายในห้องพร้อมทั้งถอนหายใจ

“พระชายาเหนื่อยมากเลยใช่หรือไม่เพคะ? วังหลวงมักเป็นเช่นนี้ ทั้งที่หรูหรางดงาม แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยเล่ห์กล”

ซูหลานยกชาหอมมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยราวกับเข้าใจหัวอกของพระชายาว่ากำลังรู้สึกเช่นไร

ชายาอวี้หาใช่คนของวังหลวง อย่างน้อยนางยังมีโอกาสออกไปจากวังหลวง ส่วนตัวนางมีชีวิตเหมือนกันกับท่านอาจารย์ ชั่วชีวิตนี้คงติดอยู่ที่นี่

“ใช่แล้ว เมื่อก่อนข้าเองก็ได้เห็นการต่อสู้แย่งชิงมามากมาย แต่เมื่อเทียบกับวังหลวงแล้ว สิ่งที่ได้เจอจึงดูเล็กน้อยยิ่ง ในที่สุดข้าก็จะได้ออกจากวังเสียที หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป เกรงว่าข้าจะไม่อาจรับมือไหวอีก”

หลินเมิ้งหยาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะพบกับความพ่ายแพ้

เหตุที่นางยังเอาตัวรอดจากวังหลวงแห่งนี้ได้ก็เพราะนางอาศัยข้อบกพร่องของพวกเขา

อำนาจของคนในวังสลับซับซ้อน ไม่เหมือนกับที่นางจินตนาการเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นพระสนมเสียนเฟยหรือเหนียงเหนียงคนอื่นล้วนมีอำนาจเส้นสายของตนเองทั้งสิ้น

ส่วนพวกกำลังหนุนที่อยู่ทางด้านนอกล้วนหาผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยกันทั้งนั้น แต่ละสกุลล้วนมีแผนการของตนเอง

วันนี้นางได้เห็นแล้วว่าพระสนมเสียนเฟยและฮองเฮาโหดเหี้ยมเพียงใด พวกนางล้วนอยากใช้หลินเมิ้งหยาทำลายอีกฝ่าย

กัดกันไปกัดกันมาเหมือนหมาไม่มีผิด

นางอยากรู้เหลือเกินว่าวันนี้พวกนางคิดจะสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาอีก

“วันนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว พระชายารีบเสด็จเถิดเพคะ หนู่ปี้รายงานท่านอาจารย์แล้ว เขาบอกว่าเมื่อถึงเวลาคับขัน เขาจะช่วยพระชายาเองเพคะ”

หลินเมิ้งหยากลับปฏิเสธ เหตุเพราะอวี้เฉียงเพิ่งเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของคนเหล่านั้นมาได้ หากคราวนี้เขาออกหน้าแทนนาง บางทีเขาอาจจะต้องตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง

“ไปเถิด”

หันไปมองเรือนเล็กอีกครั้ง หลินเมิ้งหยาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปพร้อมกับป๋ายซู

หน้าประตูวัง หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ในเกี้ยวเล็ก ป๋ายซูและซูหลานเดินขนาบซ้ายขวา

“ท่านองครักษ์ นี่คือเกี้ยวของชายาอวี้ พระองค์ได้รับอนุญาตจากฮองเฮาให้ออกจากวังได้ รบกวนพวกท่านอำนวยความสะดวกให้ด้วย”

ซูหลานอยู่ในวังหลวงมานาน แต่นางกลับรู้สึกไม่คุ้นหน้าคุ้นตาองครักษ์เหล่านั้น

เอ่ยอย่างเกรงใจและระมัดระวังตัว

“ที่แท้ก็เป็นเกี้ยวของชายาอวี้ แต่ข้าได้รับคำสั่งมาว่ามีของสำคัญชิ้นหนึ่งหายไปจากวังหลวง ฉะนั้นจำเป็นต้องตรวจสอบทุกคนที่ออกจากวัง ในเมื่อชายาอวี้ต้องการออกจากวัง เช่นนั้นพวกเราคงต้องล่วงเกินแล้ว”

องครักษ์เอ่ยเสียงแข็ง ขณะที่ซูหลานคิดจะปฏิเสธ อยู่ๆ เสียงอ่อนหวานนุ่มนวลพลันดังขึ้นมาจากในเกี้ยว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นพวกข้าคงมิอาจปฏิเสธได้ ป๋ายซู ซูหลาน พวกเจ้าจงให้ความร่วมมือกับพวกเขาเถิด”

แขนเรียวยาวขาวดุจหิมะแหวกผ้าม่านหน้าเกี้ยวออก ก่อนที่หลินเมิ้งหยาจะเผยใบหน้าเปื้อนยิ้มออกมาต่อหน้าทุกคน

เหล่าองครักษ์รีบค้อมตัวลงถวายคำนับ เหตุเพราะตอนนี้ฐานะของหลินเมิ้งหยาสูงกว่าพวกเขามาก

“ชายาอวี้ได้โปรดอภัยด้วย เข้ามา ตรวจสอบให้ละเอียด จงเร่งมือหน่อยอย่าทำให้พระชายาต้องเสียเวลา”

หัวหน้าองครักษ์โบกมือให้สัญญาณ ลูกน้องของเขาสองคนจึงเข้ามาตรวจสอบสิ่งของของหลินเมิ้งหยา

เงินทองถูกวางอยู่ในหีบเล็ก หลังจากพวกเขาได้เห็นแล้วจึงค้นหาสิ่งอื่นต่อ

ทว่าพวกเขากลับสนใจชุดกระโปรงมากเป็นพิเศษ

ตรวจสอบอย่างละเอียดโดยไม่เว้นแม้แต่ด้ายเส้นเดียว

หลินเมิ้งหยาทำเพียงพาสาวใช้ของตนเองทั้งสองออกมายืนด้านข้างเงียบๆ นางไม่ห้ามหรือพูดอะไร อันที่จริงหลินเมิ้งหยาไม่แม้แต่จะมองชุดเหล่านั้นเลยด้วยซ้ำ

“มีเบาะแส!”

ผลปรากฏว่าหลังจากที่ตรวจสอบชุดซึ่งพระสนมเสียนเฟยส่งมาให้แล้ว ดวงตาขององครักษ์ผู้นั้นเปล่งประกายขณะจับมุมเสื้อเอาไว้

ทุกคนเดินเข้าไปดู ทว่าหลินเมิ้งหยากลับห้ามสาวใช้ทั้งสองเอาไว้และรอดูการแสดงของพวกเขาเงียบๆ

“หยิบออกมา!”

แม้หัวหน้าองครักษ์จะขมวดคิ้วเข้าหากัน ทว่าสายตากลับเปล่งประกาย เหตุเพราะแผนการในคราวนี้ถูกตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

“ขอรับ!”

องครักษ์ตอบรับคำสั่ง ก่อนจะเปิดชุดออก

ภายในชั้นผ้าฝ้ายมีหนังสือเล่มสีแดงสดซ่อนอยู่ ตัวอักษรด้านบนเขียนสิ่งที่สามารถคร่าชีวิตผู้อื่นได้…ชีพจร!

“รายงานใต้เท้า นี่คือบันทึกชีพจรของฮ่องเต้ที่หายไปขอรับ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกซ่อนอยู่ในชุดของชายาอวี้”

องครักษ์เหล่านั้นพลิกกระดาษเปิดดู แม้พวกเขาจะไม่เข้าใจ แต่ภายในเขียนรายชื่อยาเอาไว้มากมาย

คิ้วของหัวหน้าองครักษ์ขมวดเข้าหากัน มือจับดาบในแน่น แต่เพราะคำนึงถึงฐานะของหลินเมิ้งหยา ฉะนั้นเขาจึงมิได้หันดาบมาที่นาง

“ชายาอวี้ เมื่อครู่สำนักหมอหลวงแจ้งว่าบันทึกชีพจรของฮ่องเต้หายไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกเก็บซ่อนเอาไว้ที่นี่ ข้าน้อยขอล่วงเกินท่าน พระชายาได้โปรดไปพบฮองเฮากับข้าน้อยด้วยเถิด”

ต่อให้เป็นคนโง่หลินเมิ้งหยาก็เดาออกว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น

อันที่จริงสิ่งที่พวกเขากำลังหาคือบันทึกชีพจรที่เสี่ยวเฟิงขโมยไป ส่วนสำนักหมอหลวงก็ทำเพียงรายงานว่าบันทึกชีพจรหายไป

กอปรกับการที่พบเจอบันทึกเล่มนี้ในเสื้อผ้าที่พระสนมเสียนเฟยส่งมา แสดงให้เห็นแล้วว่าคนเหล่านี้กำลังร่วมมือกัน

ทุกอย่างเพื่อโยนความผิดให้หลินเมิ้งหยา

แผนการลึกล้ำยิ่งนัก!

หลินเมิ้งหยากลับทำเพียงวาดรอยยิ้ม ขณะที่คิดจะเอ่ยวาจา อยู่ๆ ร่างหนึ่งพลันโผล่มาบดบังร่างของนาง

“พวกเจ้าเป็นใคร กล้าดีอย่างไรจึงคิดจะพาคนของเปิ่นหวังไป?”

เสียงทุ้มต่ำคุ้นหูทำให้หัวใจของหลินเมิ้งหยาเต้นระรัว

เบิกตากว้างด้วยความตกใจ สายตาจ้องมองร่างสูงโปร่งตรงหน้า

หลงเทียนอวี้…มาได้อย่างไร?

ท่าทางน่าเกรงขามเกินใครในใต้หล้าของเขาทำให้องครักษ์เหล่านั้นขยับเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใบหน้าของหัวหน้าองครักษ์แข็งกระด้าง

ทว่าชั่วอึดใจต่อมาพวกเขารีบแสดงสีหน้าเคารพเลื่อมใส ทรุดตัวลงคุกเข่า แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเอ่ยว่าต้องการพาตัวหลินเมิ้งหยาไปตรวจสอบความชัดเจน

“ท่านอ๋องอวี้อายุยืนหมื่นปี ข้าน้อยเพียงทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น บันทึกชีพจรของฮ่องเต้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง หากเกิดข้อผิดพลาด แม้แต่ชีวิตของข้าน้อยก็คงมิเพียงพอที่จะรับผิดชอบ แต่บางทีพระชายาอาจพกออกมาโดยไม่ทันระวัง ขอเพียงพระชายาอธิบายเรื่องนี้ ความเข้าใจผิดทั้งหมดก็จะคลี่คลายพ่ะย่ะค่ะ”

คำพูดขององครักษ์ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาของหลงเทียนอวี้เชิดสูงขึ้น

ไม่ทันระวังอะไรกัน อันที่จริงพวกเขาต้องการแสดงให้เห็นว่าหลินเมิ้งหยานำมันออกมาต่างหาก

แม้เขาจะไม่รู้เรื่องราวก่อนหน้า แต่คนอย่างหลินเมิ้งหยาไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน

“ไม่จำเป็น ชายาของเปิ่นหวังมีฐานะสูงศักดิ์ นางหาได้มีพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อยไม่ พระชายาจะต้องโดนใส่ความอย่างแน่นอน จวนของเปิ่นหวังอยู่ในเมืองหลวง หากพวกเจ้ามีคำถามก็สามารถไปที่นั่นได้”

หลงเทียนอวี้แสดงออกอย่างแข็งกร้าว หลินเมิ้งหยาไม่รู้จักองครักษ์เหล่านี้ แต่เขากลับคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี

พวกเขาเป็นคนของไท่จื่อ ปกติไม่ค่อยได้ทำอะไร แต่การออกมาวันนี้จะต้องมีเงื่อนงำอย่างแน่นอน

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดจะใส่ร้ายหลินเมิ้งหยา

“ท่านอ๋อง ข้าน้อยมิอาจตัดสินใจเรื่องนี้ได้ อีกอย่าง พวกเราได้รับคำสั่งจากเบื้องบน พระองค์อย่าทำให้พวกข้าน้อยลำบากใจเลยขอรับ”

หัวหน้าองครักษ์ชักดาบออกมา ราวกับได้รับสัญญาณ ฉะนั้นเหล่าองครักษ์จึงเข้าไปล้อมพวกหลงเทียนอวี้เอาไว้

สายตาจับจ้องปลายดาบที่กำลังชี้มาทางตนเอง หลินเมิ้งหยายื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อของหลงเทียนอวี้เอาไว้แน่น