เล่มที่ 12 บทที่ 334 ลมเปลี่ยนทิศ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

“ท่านอ๋อง เหตุใดต้องทำให้พวกพี่ชายเหล่านี้ลำบากใจด้วยล่ะเพคะ?”

หลินเมิ้งหยาแย้มยิ้มอ่อนหวาน ราวกับว่านางมิได้ใส่ใจต่อการข่มขู่ของพวกทหารองครักษ์เลยแม้แต่น้อย

“พระชายามีเหตุผลยิ่งนัก ท่านอ๋อง ข้าน้อยจำเป็นต้องปฏิบัติตามหน้าที่ แต่พวกเราจะให้เกียรติพระชายาอย่างแน่นอน ท่านอ๋องได้โปรดวางพระทัย”

สายตาขององครักษ์กระหยิ่มยิ้มย่องลำพองใจ

ไม่ว่านางจะเป็นชายาหรือไม่ แต่หากเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว สุดท้ายนางก็เป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ ทว่าไท่จื่อรับสั่งเอาไว้ว่าชายาอวี้เป็นคนเจ้าเล่ห์ พวกเขาจะต้องไม่ประมาท

แต่ดูเหมือนนางจะมิได้เป็นเช่นคำกล่าวเลยแม้แต่น้อย

หลงเทียนอวี้ก้มหน้ามองด้วยความสงสัย ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับยิ้มกว้าง

กะพริบตาปริบๆ ขณะสบตากับเขา หลินเมิ้งหยาหาได้มีท่าทีกระวนกระวาย อากัปกิริยาของนางทำให้หัวใจของหลงเทียนอวี้สงบลง

ไม่รู้ว่าความเชื่อใจปรากฏขึ้นมาจากที่ใด อยู่ๆ หลงเทียนอวี้ก็มั่นใจว่าชายาของเขาไม่มีทางตกอยู่ในเงื้อมมือของใครอย่างแน่นอน

บางทีนางอาจจะมีแผนการอยู่ในใจแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนี้ มุมปากจึงหยักยิ้มอ่อนโยน ขณะเดียวกันความเย็นชาพลันมลายไป มือหนายื่นเข้าไปกุมมือเล็กนุ่มนิ่มอบอุ่น ก่อนจะกล่าวเสียงอ่อนโยน

“ได้ ข้าฟังคำเจ้า”

กระซิบเสียงแผ่วอย่างอ่อนโยน

แม้หลินเมิ้งหยาจะเป็นคนหน้าหนา แต่ก็อดไม่ได้ที่หน้าแดงก่ำ

ส่งสายตากล่าวโทษหลงเทียนอวี้เล็กน้อย ทว่าขนแขนของนางกลับลุกซู่

สวรรค์โปรด ความรู้สึกลึกซึ้งเช่นนี้ไม่เหมาะกับผู้ชายเย็นชาดุจน้ำแข็งเช่นหลงเทียนอวี้เลยแม้แต่น้อย

หากที่นี่คือจวนอวี้ รับรองว่านางจะต้องถลึงตาใส่เขาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้นางมิอาจเสียมารยาทกับเขาได้

ช่างเถิด อดทนไว้ก่อน ถึงอย่างไรก็แค่เล่นละครตบตาแต่เพียงเท่านั้น

“หากพวกเจ้าอยากให้ข้าให้ความร่วมมือในการสอบสวนก็ย่อมได้ แต่ข้าขอทำความเข้าใจก่อนว่าเหตุใดข้าต้องไปกับพวกเจ้าด้วย?”

ผินหน้าไปมองพร้อมส่งยิ้มอ่อนหวานอีกครั้ง น้ำเสียงนุ่มนวล ทว่านัยน์ตากลับเปล่งประกาย

องครักษ์รีบตอบกลับเสียงขึงขัง

“ทูลพระชายา เหตุเพราะบันทึกชีพจรของฮ่องเต้หายไป แต่กลับถูกพบในสัมภาระของพระชายา ฉะนั้นข้าน้อยมิกล้ามองข้ามเรื่องนี้ไปได้ พระชายาได้โปรดเสด็จไปกับพวกเราด้วยเถิด”

หลินเมิ้งหยาชักสายตากลับ ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

แม้หัวหน้าองครักษ์จะหมดความอดทน แต่เพราะหลงเทียนอวี้อยู่ที่นี่ด้วย ฉะนั้นเขาจึงทำได้เพียงยับยั้งอารมณ์เอาไว้และรอดูท่าทีของอีกฝ่าย

“แต่ข้าจะขโมยบันทึกชีพจรไปทำไมเล่า? เจ้าจะต้องรู้เรื่องนี้ก่อนว่าหากข้าอยากดูบันทึกชีพจร เช่นนั้นข้าสามารถไปดูที่สำนักหมอหลวงได้นานเท่าที่ข้าต้องการ แต่ถ้าหากข้าขโมยมันออกมา นั่นมิเท่ากับข้าหาเหาใส่หัวหรอกหรือ? ข้าไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้นเสียหน่อย”

บ่นงึมงำแต่กลับชัดถ้อยชัดคำ ราวกับหัวหน้าองครักษ์เองก็คิดเรื่องนี้เอาไว้แล้ว มุมปากของเขากระตุกยิ้มเย็นชา ทว่ามือหนากลับชี้ไปทางป๋ายซูและซูหลาน

“ข้าน้อยรู้ดีว่าพระชายาไม่อยากได้บันทึกชีพจรของฮ่องเต้อย่างแน่นอน แต่พระชายาอาจไม่รู้ว่านับตั้งแต่วันที่ฮ่องเต้ทรงพระประชวร พวกขุนนางทรยศมากมายอยากรู้อาการของฮ่องเต้เพื่อหาประโยชน์ส่วนตน”

ขณะเอ่ย สายตาของเขาหันไปจ้องหลงเทียนอวี้

แต่เมื่อสบสายตาเย็นชาคมกริบของหลงเทียนอวี้ เขาก็ไม่กล้าจ้องอีกเป็นครั้งที่สอง

“เช่นนั้นก็น่าแปลก สกุลหลินของข้าจงรักภักดีต่อต้าจิ้น ฟู่จวินของข้าเองก็เป็นองค์ชายของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะมองทางใด ข้าก็ไม่มีเหตุจำเป็นต้องกระทำการเช่นนั้นมิใช่หรือ?”

ราวกับหลงเทียนอวี้เข้าใจแล้วว่าหลินเมิ้งหยาต้องการจะทำสิ่งใด

องครักษ์คนนั้นคิดว่าหลินเมิ้งหยากำลังหาทางดิ้นรนเอาตัวรอดเท่านั้น

ราวกับรู้ว่านางต้องการจะสื่ออะไร เขาจึงร้องขัด

“พระชายาย่อมไม่คิดหักหลังบ้านเมืองอย่างแน่นอน แต่คนของพระชายาอาจทำให้พระชายาผิดหวังก็เป็นได้ บางทีพระชายาอาจไม่รู้ว่าสาวใช้ของพระชายาทั้งสอง คนหนึ่งมาจากเมืองเลี่ยหยุนตี้ นางเป็นคนของกลุ่มลึกลับเลี่ยอิ้ง ส่วนอีกคนเป็นลูกของภรรยาอนุสกุลมู่หรงทางฝั่งเหนือ ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าพวกนางสองคนจะทรยศ”

หลินเมิ้งหยารู้สึกแปลกใจ นางรู้จักตัวตนของป๋ายซูดี

แต่ซูหลานเล่าว่านางเติบโตในวังหลวงมิใช่หรือ? เหตุใดนางจึงกลายเป็นทายาทของสกุลมู่หรงได้เล่า?

ความฉลาดทำให้นางสะกดความสงสัยเอาไว้ในใจ หลินเมิ้งหยายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยน ราวกับว่ามิเคยเกิดเหตุการณ์รบกวนจิตใจแต่อย่างใด

“ดูเหมือนข้าจะตกข่าวเสียแล้ว คาดว่าท่านองครักษ์อาจจะผิดไป สาวใช้ทั้งสองของข้าล้วนเป็นบุตรสาวของลูกชาวบ้านธรรมดา อันที่จริงชีวิตของพวกนางอาภัพยิ่งนัก พวกนางจำต้องออกจากบ้านตั้งแต่เด็กเพื่อเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในวัง ท่านอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีผู้บริสุทธิ์เลย”

หลินเมิ้งหยาตอบกลับโดยไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย แต่นางรู้ดีว่าสิ่งที่องครักษ์คนนั้นกล่าวเป็นความจริงทุกประการ

สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว ป๋ายซูคือสาวใช้ที่เสี่ยวอวี้มอบให้ ฉะนั้นการที่นางเป็นคนของกลุ่มเลี่ยอิ้งจึงหาใช่เรื่องแปลก

แต่เหตุใดคนของสองแคว้นจึงกลายมาเป็นสาวใช้ของนางเช่นนี้กันนะ?

ดูเหมือนชะตาจะถูกกำหนดมาเช่นนี้แต่แรกแล้ว

หัวหน้าองครักษ์เดาเอาไว้แล้วว่าหลินเมิ้งหยาจะต้องปฏิเสธ อยู่ๆ รอยยิ้มพลันผุดขึ้นมาบนใบหน้า จากนั้นเขาจึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา

มันคือภาพเหมือนของป๋ายซูและซูหลาน

ทว่าทรงผมของพวกนางแตกต่างจากตอนนี้อย่างสิ้นเชิง ทรงผมของป๋ายซูเรียบง่าย แต่กลับสวมใส่ชุดแปลกตา ส่วนซูหลานสวมเสื้อผ้าและแต่งกายอย่างสง่างาม

หลินเมิ้งหยามั่นใจว่านั่นคือภาพเหมือนของพวกนาง

สีหน้าขององครักษ์แสดงให้เห็นถึงความลำพองใจ คราวนี้ชายาอวี้มิอาจหาข้ออ้างได้อีกแล้ว

“นี่คือ…”

หลินเมิ้งหยารู้อยู่เต็มอกแต่ยังเอ่ยถามออกไป

“นี่คือภาพวาดที่หน่วยสอดแนมของเราได้มาอย่างยากลำบาก ตอนแรกข้าน้อยคิดว่าตัวเองจำคนผิด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวันที่พระชายาเข้าวังมา พระองค์จะพาสาวใช้มาด้วย ตอนนั้นเองที่ข้าน้อยจำได้ว่าพวกนางล้วนเป็นคนที่ถูกฝึกมาอย่างดีเพื่อสอดแนมต้าจิ้น บางทีวัตถุประสงค์อาจเพื่อสังหารฮ่องเต้ ข้าน้อยเชื่อว่าพระชายาจะต้องไม่รู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่เพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่ เช่นนั้นเชิญพระชายาเสด็จไปกับข้าน้อยเถิด”

ในที่สุดจิ้งจอกก็โผล่หางออกมา หลินเมิ้งหยาแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ ก่อนจะแสดงสีหน้าไร้ซึ่งความเกรงใจอีกต่อไป

“ข้าเป็นถึงพระชายาของท่านอ๋อง คิดหรือว่าเพียงเจ้าบอกว่าจะพาข้าไป เช่นนั้นข้าก็ต้องไปกับเจ้า? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ก็ได้ว่าสาวใช้ของข้าทั้งสองล้วนเป็นปุถุชนคนธรรมดาแห่งต้าจิ้น ข้าไม่สนใจหรอกว่าใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามาใส่ร้ายข้า แต่ข้ารู้ว่าข้าหาใช่คนที่ขโมยบันทึกชีพจรของฮ่องเต้ สาวใช้ของข้าเองก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าใครก็มิอาจพาพวกข้าไปได้แม้แต่คนเดียว”

จากหญิงสาวอ่อนหวานกลายเป็นสตรีผู้งามสง่า เพียงพริบตาเดียวท่าทางของหลินเมิ้งหยาพลันเปลี่ยนไป

องครักษ์เหล่านั้นตกตะลึง สีหน้าเคร่งขรึม ดูเหมือนพวกเขาต้องใช้ไม้แข็งเสียแล้ว

“ฮึ ข้าน้อยหลงคิดว่าชายาอวี้จะเป็นคนมีเหตุผล แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะไร้เหตุผลเช่นนี้…”

ยังไม่ทันที่องครักษ์จะพูดจบ ร่างของเขาพลันกระเด็นขึ้นกลางอากาศ

มุมปากมีเลือดพุ่ง หัวใจหวาดผวา

เขารีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้นแล้วมองหลงเทียนอวี้อย่างหวาดระแวง ช่างรวดเร็วแข็งแกร่งยิ่งนัก เขายอมรับว่าฝีมือของตนเองมิอาจเทียบเคียงหลงเทียนอวี้ได้

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงในการตอบโต้กลับ

หัวหน้าองครักษ์ไม่สงสัยเลยว่าหลงเทียนอวี้จะปลิดชีพเขาหรือไม่หากตนยังพูดจาจาบจ้วงต่อไปอีก

“พี่ชายท่านนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะฉลาดสักหน่อย ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้ามีหลักฐานอันใด แต่เจ้าไม่มีทางเอาผิดข้าได้อย่างแน่นอน ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องบอกเจ้า หนังสือในมือของพวกเจ้าเป็นเพียงตำราการแพทย์ธรรมดาเท่านั้น แต่ตำรานี้ค่อนข้างพิเศษ ภายในบันทึกโรคแปลกประหลาดเอาไว้มากมาย ส่วนด้านหลังคือสูตรยาที่พวกหมอใช้ แม้จะเขียนว่าชีพจร แต่ก็หาใช่บันทึกชีพจรของฮ่องเต้ไม่”

อันที่จริงตอนแรกหลินเมิ้งหยาคิดจะไล่ต้อนคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาออกมา

แต่เพราะการโจมตีของหลงเทียนอวี้ทำให้นางรู้แล้วว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใคร

อันที่จริงของที่พระสนมเสียนเฟยซ่อนเอาไว้หาใช่เพียงบันทึกชีพจรไม่

สายตาเหลือบมองทางป๋ายซู แต่นางกลับได้เห็นแววตากระวนกระวายของนาง

ความรู้สึกขมขื่นพลันปรากฏขึ้นในหัวใจ คิดไม่ถึงเลยว่านางเกือบจะทำลายคนข้างกายของตนเสียแล้ว

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามากระชากหน้ากากผู้อยู่เบื้องหลัง เพื่อหลงเทียนอวี้ นางจำเป็นต้องยั้งมือ

สายตาของหัวหน้าองครักษ์พลันเกิดความสงสัย

นี่แตกต่างจากข่าวที่เขาได้รับมา หากเป็นไปตามแผนเดิมแล้วล่ะก็ แม้เขาจะไม่สามารถทำอะไรหลินเมิ้งหยาได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถใส่ร้ายนางเพื่อทำให้สกุลหลินและหลงเทียนอวี้อับอาย

เท่านี้หลินเมิ้งหยาก็จะกลายเป็นหมากที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ว่าสกุลหลินหรือหลงเทียนอวี้ก็จะไม่สามารถปกป้องนางได้อีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น เบื้องบนยังสั่งให้จับตัวหลินเมิ้งหยาเอาไว้อีกด้วย

หัวหน้าองครักษ์ยังคงไม่ตัดใจ เขาต้องการรั้งหลินเมิ้งหยาเอาไว้

“เอามาให้ข้าดู”

สีหน้าของหัวหน้าองครักษ์ถมึงทึงลง เขารีบเรียกคนที่ถือบันทึกชีพจรเข้ามา ทว่าเพียงได้เห็นหน้าแรกเขาก็ต้องตกตะลึง

นี่….นี่ไม่ใช่บันทึกชีพจรของฮ่องเต้

หัวหน้าองครักษ์ที่โกรธจนตัวสั่นปาตำราเล่มนั้นลงพื้น

“คาดว่าท่านองครักษ์คงเห็นแล้วว่านั่นไม่ใช่บันทึกชีพจร เช่นนั้นข้าจะไปได้หรือยัง?”