เล่มที่ 12 บทที่ 335 จากลาอีกครั้ง

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลินเมิ้งหยามองหัวหน้าองครักษ์ตรงหน้า แม้ใบหน้าจะเปื้อนยิ้ม แต่สายตากลับเย็นชา

เขาเป็นองครักษ์สูงอายุ ไม่ว่าไท่จื่อหรือเหล่าองค์ชายทุกพระองค์ก็ล้วนรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน

แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เจอกับอ๋องอวี้

เหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า

บันทึกชีพจรของฮ่องเต้กลับกลายเป็นเพียงตำราการแพทย์ธรรมดา

ยิ่งไปกว่านั้น อ๋องอวี้ยังปรากฏตัวออกมากะทันหัน ฉะนั้นความยุ่งยากจึงเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้อย่าว่าแต่เขาเลย กระทั่งไท่จื่อเองก็คงมิอาจรั้งตัวพระชายาเอาไว้ได้

เช่นนั้นคงทำได้เพียง…

“ไม่ทราบว่าข้าสามารถไปได้แล้วหรือไม่? ตอนนี้เวลาไม่คอยท่าแล้ว ข้าไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่โดยเปล่าประโยชน์”

ราวกับหูฝาด พระชายาที่เคยเอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนหวานพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาดุจน้ำแข็ง

น้ำเสียงไร้ซึ่งความเกรงใจ

หัวหน้าองครักษ์ครุ่นคิด ก่อนจะหยักยิ้มแล้วหลีกทาง

“ได้อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เชิญท่านอ๋องและพระชายาเสด็จเถิด”

ปรายตามองรอยยิ้มของเขา หลินเมิ้งหยาไม่อยากถือสาหาความ

หลงเทียนอวี้ทำเพียงชำเลืองมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินตามหลังหลินเมิ้งหยาออกจากประตูวัง

องครักษ์ทุกคนทำได้เพียงถอนหายใจ แต่หลินเมิ้งหยารู้ คาดว่าคืนนี้คงเป็นค่ำคืนสุดท้ายในชีวิตของพวกเขาแล้ว

สายตาพลันหยุดอยู่ที่หลงเทียนอวี้ซึ่งกระโดดขึ้นไปบนหลังม้าแล้ว

มุมปากเหยียดยิ้มผิดปกติ

ในเมื่อไท่จื่อคิดจะทำร้ายนาง เช่นนั้นเขาควรเตรียมใจรับมือกับสิ่งที่จะได้รับตอบแทนคืนไปด้วย

ค้อมตัวเข้าไปนั่งในเกี้ยว ไม่รู้เลยว่าไท่จื่อจะรู้สึกเช่นไรหากหลงเทียนอวี้มอบของขวัญชิ้นใหญ่ส่งคืนให้เขา

เกี้ยวถูกยกขึ้นก่อนจะมาถึงหน้าประตูวัง

รถม้าคันที่คุ้นเคยรอท่าอยู่ก่อนแล้ว หลินขุยขับมาด้วยตนเอง สายตาของเขาเห็นว่าหลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยากลับมาอย่างปลอดภัย

หลินเมิ้งหยาลงจากเกี้ยวแล้วถอนหายใจ นางสามารถพาป๋ายซูออกไปได้ แต่ซูหลาน…

“พวกเราต้องไปแล้ว จากนี้ไปเจ้าต้องระมัดระวังตัวเองให้มาก จงรักษาชีวิตเอาไว้ เข้าใจหรือไม่?”

ซูหลานพยักหน้ารับคำ แม้พวกนางจะรู้จักกันไม่นาน แต่ป๋ายซูและหลินเมิ้งหยากลับเป็นคนที่หาได้ยากในวังหลวง

พวกนางคนหนึ่งมีฐานะสูงศักดิ์ ส่วนอีกคนเป็นยอดฝีมือ เมื่อซูหลานได้อยู่กับพวกนางจึงรู้สึกเสมือนได้อยู่กับพี่น้อง

แม้ป๋ายซูจะมีท่าทางเย็นชา แต่นางกลับจริงใจต่อหลินเมิ้งหยาที่สุด

นี่คือความรู้สึกที่นางเคยได้รับมาก่อน

คนในวังหลวงล้วนหน้าไหว้หลังหลอก กลอุบายแพรวพราว หากพวกเขามีความจริงใจให้กัน เช่นนั้นชีวิตอันแสนเย็นยะเยือกคงเปลี่ยนไป

หลินเมิ้งหยาไม่กล่าวอันใดมากมายนัก นางหยิบเงินที่หลงเทียนอวี้มอบให้ส่งให้ซูหลาน

แม้นางจะไม่สามารถเข้าไปยุ่งเรื่องในวังหลวงได้ แต่นางสามารถให้สิ่งของนอกกายเช่นนี้ได้

ซูหลานพยายามส่งคืนแต่ไม่สำเร็จ ดวงตาของนางแดงก่ำ สายตาจ้องมองป๋ายซูและหลินเมิ้งหยาที่กำลังขึ้นไปบนรถม้า สิ่งที่นางทำได้คือการมองรถม้าแล่นจากไปแต่เพียงเท่านั้น

“ป๋ายซู เจ้าคิดว่าพวกเรายังจะได้เจอซูหลานอีกหรือไม่?”

หลินเมิ้งหยามิได้แหวกผ้าม่านออกดู แม้จะรู้สึกไม่อาจทำใจแยกจาก แต่สุดท้ายนางก็ต้องไปอยู่ดี

สู้กลับไปทั้งอย่างนี้จะดีกว่า ความคิดถึงอาจน้อยลงไปบ้าง

“จะต้องได้เจออีกแน่นอนเจ้าค่ะ นายหญิงยังต้องเข้าวังอีกไม่ใช่หรือเจ้าคะ?”

ป๋ายซูก้มหน้าลงไม่มองหลินเมิ้งหยา

ทว่าหลินเมิ้งหยากลับถอนหายใจ ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่เผยให้เห็นความเหนื่อยล้า

“เจ้ายังคิดจะปิดบังข้าอีกนานแค่ไหน? ป๋ายซู เจ้ายังมีเรื่องปิดบังข้าอีกมากน้อยเพียงใด?”

นับตั้งแต่หลินเมิ้งหยาเอ่ยถาม บรรยากาศภายในรถม้าพลันอึมครึม

ป๋ายซูเหงยหน้าขึ้นด้วยอาการตื่นตระหนก ใบหน้าเรียวเล็กไร้ซึ่งความเย็นชา ดวงตาเบิกกว้าง สบตาหลินเมิ้งหยานิ่ง ราวกับนางไม่อยากจะเชื่อว่านายหญิงล่วงรู้ถึงเรื่องที่นางกำลังปิดบังเอาไว้อย่างเนิ่นนาน

“นาย…นายหญิง ท่านพูดเรื่องอะไร? ข้า…ข้าไม่เข้าใจ…”

ป๋ายซูอยากให้หลินเมิ้งหยาเชื่อว่าตนเองมิได้ปิดบังเรื่องใดไว้ทั้งสิ้น

แต่หลังจากได้เห็นสายตาผิดหวังของหลินเมิ้งหยา สุดท้ายนางทำได้เพียงกลืนคำพูดของตนเองลงไป

“ท่าน…รู้ทุกอย่างแล้วหรือเจ้าคะ?”

ส่งเสียงแผ่วเบาเสมือนไร้เรี่ยวแรง อยู่ๆ หลินเมิ้งหยาก็รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งหัวใจ

สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านหัวใจที่กำลังหนาวเหน็บ หลินเมิ้งหยาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่สุดแล้วตนเองกำลังรู้สึกเช่นไร

“ข้าไม่รู้ แต่ข้าอยากรู้บางอย่าง เจ้าเคยเล่าให้ฟังว่าเจ้าถูกอาจารย์เก็บมาเลี้ยงเพื่อปกป้องเสี่ยวอวี้ไปชั่วชีวิต ต่อให้เป็นคำสั่งของเสี่ยวอวี้ แต่เจ้าก็ไม่สามารถทิ้งเขาไปได้ ทว่าตอนนี้เจ้ากลับมาอยู่ข้างกายข้า เกรงว่านอกจากจะเป็นคำสั่งของเสี่ยวอวี้แล้ว เจ้ายังมีเหตุผลอื่นอีกใช่หรือไม่?”

น้ำเสียงเจือไว้ซึ่งความเย็นชาเล็กน้อย หลินเมิ้งหยาในเวลานี้เสมือนคนแปลกหน้าในสายตาของป๋ายซู

เมื่ออยู่ร่วมกันสี่คน หลินเมิ้งหยาปฏิบัติกับพวกนางเสมือนพี่น้อง แต่นางมิเคยสงสารศัตรู

ป๋ายซูหยักยิ้มขมขื่นเสมือนหัวใจกำลังถูกกรีด

หากย้อนเวลากลับไปได้ นางคงเลือกที่จะกลับไปยังบ้านเมืองของตนเองกับท่านอาเลี่ย

“นายหญิง ท่านพูดถูกแล้ว เหตุที่ข้ายังอยู่ต้าจิ้นก็เพราะท่านอาเลี่ยมอบหมายภารกิจให้แก่ข้า ข้าเป็นนักฆ่าแห่งกลุ่มเลี่ยอิ้ง ยิ่งไปกว่านั้น ภารกิจของข้าคือหาโอกาสสังหารฮ่องเต้แห่งต้าจิ้น”

แต่ละคำที่ป๋ายซูเอ่ยออกมาราวกับใบมีดที่กำลังกรีดหัวใจของหลินเมิ้งหยา

สายตาพลันเย็นชาดุจน้ำแข็ง หลินเมิ้งหยาไม่เคยคิดเลยว่าป๋ายซูที่นางมองว่าเป็นพี่น้องจะเป็นนักฆ่าที่แฝงตัวอยู่กับนาง

แม้ป๋ายซูจะเป็นคนเย็นชา แต่นางรู้ดี อันที่จริงเด็กคนนี้เป็นคนร่าเริงแจ่มใส

คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายนางจะได้รับสิ่งนี้เป็นการตอบแทน

หลังจากต่อสู้กับความคิดของตนเองครู่หนึ่ง หลินเมิ้งหยาหลับตาลง

“เจ้าไปเถิด”

เพียงสามคำสั้นๆ แต่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้น

แม้จะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดป๋ายซูจึงไม่ทำภารกิจให้สำเร็จ แต่หลินเมิ้งหยารู้ดีว่าถ้าหากเก็บนางไว้ข้างกาย บางทีวันหนึ่งนางอาจต้องเผชิญหน้ากับทางเลือกที่ยากลำบาก

“ไม่ นายหญิง ข้าไม่ไป ข้าไม่อาจจากท่านไปได้ หากข้าเองก็จากไป แล้วใครจะปกป้องท่าน?”

หยาดน้ำตารินไหลนองหน้า

ทว่าหลินเมิ้งหยากลับยังหลับตาสนิท ราวกับนางกำลังเหนื่อยล้าและผิดหวังจนเกินจะทานทน

“หากเจ้าไม่ไป ท่านอ๋องจะต้องฆ่าเจ้าอยู่ดี หรือเจ้าอยากทำให้ข้าลำบากใจอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่มีทางปกป้องศัตรู เขาเองก็รู้ดีว่าข้าเป็นคนเช่นไร ไปเถิด”

หลินเมิ้งหยาส่งเสียงเย็นชา

ป๋ายซูมองหลินเมิ้งหยาทั้งน้ำตา สุดท้ายนางทำได้เพียงกัดฟันแล้วเปิดประตูหลังรถม้า ก่อนจะจากไป

รถม้าเงียบกริบอยู่นาน ก่อนเสียงถอนหายใจจะดังขึ้น

ความรู้สึกสับสนวุ่นวายใจทำให้นางเจ็บปวดใจเหลือเกิน

“ท่านอ๋อง แม่นางป๋ายซูไปแล้วขอรับ จะให้พวกเรา….”

ด้านนอกรถม้า องครักษ์ที่คุ้มกันรถม้าอยู่ตลอดเวลาเข้ามารายงาน พวกเขาล่วงรู้ถึงตัวตนของป๋ายซูนานแล้ว

แต่เพราะท่านอ๋องออกคำสั่งเอาไว้ ฉะนั้นพวกเขาจึงมิได้ลงมือทำสิ่งใด

ดวงตาคมกริบของหลงเทียนอวี้มองทอดยาว เขายังคงไม่ออกคำสั่งให้จับตัวศัตรู

คนที่กำลังทรมานที่สุดในเวลานี้คือหลินเมิ้งหยามิใช่หรือ?

“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด เปิ่นหวังจะพาพระชายาไปเดินเล่น”

ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเผยร่องรอยของความอ่อนโยน

หลงเทียนอวี้เปลี่ยนความคิดกะทันหัน ถึงอย่างไรเขาก็สามารถพาหลินเมิ้งหยากลับจวนได้ทุกเมื่อ เช่นนั้นตอนนี้เขาพานางไปปลอดปล่อยก่อนจะดีกว่า

องครักษ์จึงถอนกำลังออกไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนอีกมากที่คอยจับตาคุ้มกันหลงเทียนอวี้และหลินเมิ้งหยา

รถม้าเคลื่อนออกไปอย่างสงบ เหตุเพราะความเจ็บปวดเสียใจทำให้หลินเมิ้งหยาไม่รู้สึกตัวว่ารถม้ากำลังแล่นไปยังทิศทางอื่น

ไม่นานเสียงคนจ้อกแจ้กจอแจพลันดังขึ้นมาจากนอกรถม้า

หลินเมิ้งหยาถูกเสียงเอะอะเหล่านั้นดึงสติกลับมา มือเอื้อมไปแหวกผ้าม่านออก ก่อนจะได้เห็นผู้คนที่อยู่ภายนอก

“พี่หลินขุย พวกเรากำลังจะไปที่ใดหรือ? พวกเราจะกลับจวนไม่ใช่หรือ?”

หลินเมิ้งหยาถามอย่างฉงน ทว่าร่างของชายสวมใส่ชุดสีเทาพลันปรากฏต่อหน้านาง ดวงตากลมโตงดงามจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาเปื้อนยิ้มของเขา

แตกต่างจากเมื่อก่อน วันนี้หลงเทียนอวี้หาใช้อ๋องอวี้ผู้กล้าหาญหรือองค์ชายสามผู้สูงศักดิ์

เขาสวมชุดสีเทา ร่างกายชั้นนอกถูกห่อหุ้มด้วยผ้าคลุมขนสัตว์สีดำ ยิ่งได้เห็นใบหน้างดงามราวกับถูกแกะสลักของเขา นางยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังมองผลงานประติมากรรม

เขายื่นแขนยาวตรงสวยเข้ามา ก่อนฝ่ามือจะแบออก ดวงตาสีดำคมกริบเปล่งประกาย

“พวกเราออกไปเดินเล่นกันเถิด วันนี้ตรงกับวันที่สิบห้า ด้านนอกมีโคมไฟ ดอกไม้ไฟและไฟประดับริมแม่น้ำให้ชม”

เสียงอ่อนโยนแผ่วเบาที่ทำให้หัวใจอ่อนระทวยเปล่งออกมาชักชวน

ตอนแรกหลินเมิ้งหยาคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อสบตากับเขา นางกลับยื่นมือของตนไปวางบนฝ่ามือของเขาเบาๆ

อบอุ่นแต่หยาบกระด้าง เหตุเพราะฝ่ามือคู่นี้ถูกใช้ในการฝึกฝนร่างกายมาอย่างเนิ่นนาน แต่หลังจากได้สัมผัสแล้ว นางกลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

ขณะที่คิดจะชักมือกลับ เขากลับจับมือของนางแน่น

“เพคะ”

เดินลงจากรถม้า ในสายตาของคนภายนอก พวกเขาทั้งสองเหมือนคู่สามีภรรยาชนชั้นสูงที่พากันออกมาเดินเล่น

“จงแอบตามอารักขาท่านอ๋องและพระชายา ที่นี่มีคนมากมาย อย่าให้ใครเข้ามารบกวน”

สายตาหันไปมองทางท่านอ๋องและพระชายาที่เดินหายไปท่ามกลางฝูงชน พวกหลินขุยขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ก่อนจะร้องโอดครวญในใจ

ปกติเมืองหลวงไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่ตอนนี้….

หลินขุยถอนหายใจ ช่างเถิด ใครสั่งให้พวกเขาเกิดมาเป็นองครักษ์กันเล่า?