บทที่ 14 ยังไม่ตาย

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ห้องเก็บศพมีขนาดใหญ่มาก ข้างในมีเนื้อที่กว้างขวาง แต่ละด้านของห้องมีหน้าต่างด้านละ 2 บาน บนหลังคามีช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ แม้การออกแบบจะเรียบง่ายแต่ทว่าช่างมีหลักการดีมาก
ห้องเก็บศพถูกออกแบบได้ไม่เลวเลย มีทั้งแสงสว่างที่เพียงพอและการระบายอากาศที่ดีเยี่ยม ความชื้นด้านในไม่สูงมาก เมื่อเดินเข้ามาในห้องแล้ว กลิ่นศพไม่รุนแรงเท่าไรนัก
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ คนโบราณมีหัวคิดกว่าคนสมัยใหม่ โดยดูได้จากการออกแบบของห้องเก็บศพ
ไม่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ทุกอย่างใช้ธรรมชาติล้วนๆ แต่กลับรักษาความสะอาดเอี่ยมภายในห้องได้ดีเยี่ยม
เมื่อเดินเข้ามาในห้องเก็บศพแล้ว ก็มองเห็นศพนอนเรียงรายเป็นแถวๆ เฟิ่งชิงเฉินหาได้ตึงเครียดแม้แต่น้อย
นางไม่ใช่ดอกไม้ที่ถูกเลี้ยงมาในห้องกระจก แต่นางเป็นหมอที่เคยผ่านสมรภูมิมาแล้ว ภาพที่น่าสยดสยองมากกว่านี้ นางก็เคยเห็นมาแล้ว
พวกศพที่แช่ฟอร์มาลินเอย ศพที่ตายด้วยท่าทางประหลาดเอย ล้วนผ่านตานางมาแล้วมากมาย
นางมีรุ่นพี่ที่เป็นแพทย์นิติเวช เวลานางว่างๆ ก็มักจะถูกรุ่นพี่คนนี้ยืมตัวไปช่วยงานอยู่บ่อยครั้ง
นางใช้เวลาไปกับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตมาเนิ่นนาน มากกว่าคนปกติเสียอีก
นางโค้งคำนับให้ร่างไร้วิญญาณ 3 ครั้ง เป็นการแสดงความเคารพเจ้าของร่าง ไม่ต้องอาศัยการนำจากเจ้าหน้าที่ เฟิ่งชิงเฉินก็สามารถหาศพของสาวใช้ตนเองเจอ
ร่างนั้นถูกคลุมด้วยผ้าขาว มีเพียงหลังมือยื่นออกมาเท่านั้น ที่หลังมือนางมีรอยฟกชํ้าเป็นจุดๆ มีบาดแผลเล็กๆปรากฏอยู่ ตอนนี้เป็นหนองสีขาว มองดูแล้วน่าสะอิดสะเอียนนัก
เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจเบาๆ ความโกรธแค้นที่เคยมีต่อสาวใช้คนนี้ ตอนนี้กลับหายไปจนหมดสิ้น
คนตายไปแล้วก็อย่าผูกเวรต่อกันอีกเลย!
จะให้นางเจ้าคิดเจ้าแค้นกับคนตายไปทำไม สาวใช้คนนี้ก็แค่ถูกหลอกใช้เท่านั้นเอง
คนที่สมควรตายควรจะเป็นผู้ที่หลอกใช้สาวใช้คนนี้เสียมากกว่า!
“นางมีของติดตัวอะไรบ้าง?” เฟิ่งชิงเฉินหันไปถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ข้างๆ
ที่นางมาดูศพด้วยตัวเอง ก็เพื่อต้องการตามหาร่องรอยจากสาวใช้คนนี้
“ไม่มีขอรับ ตอนที่คนนำร่างของแม่นางคนนี้ขึ้นจากน้ำ เอ่อ……นางแทบไม่มีเสื้อผ้าเลยขอรับ”
“นางถูกคนข่มขืนมางั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินหน้าเสีย แล้วเลิกผ้าคลุมหน้าศพออก
เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
ร่างกายทั้งท่อนบนและท่อนล่างไม่มีชิ้นดีเลย มีแต่รอยฟกช้ำเต็มไปหมด รอยนิ้วมือของฝ่ายชายมีให้เห็นอยู่ทั่วร่าง ร่างกายท่อนล่างน่าอนาถยิ่งนัก นางถูกกระทำชำเราก่อนตาย
ดูจากรอยนิ้วมือที่ปรากฏตามร่างกายของนางแล้ว เฟิ่งชิงเฉินแน่ใจว่าฝ่ายชายคงไม่มีเพียงคนเดียวแน่นอน เมื่อมองดูหน้าของนางแล้ว แม้ว่าใบหน้าของนางจะบวมอืด แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัวและความเจ็บปวดก่อนตาย
ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลงมองขึ้นไปด้านบน นางนอนตายตาไม่หลับ
นี่นางถูกรุมโทรมเลยหรือนี่!
มันจะมากเกินไปแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินกำหมัดแน่นในขณะที่มองร่างที่น่าสังเวชของหวั่นอิน
ฝ่ายตรงข้ามกล่าวเตือนนางใช่ไหมนะ?
ถัดจากหวั่นอินแล้ว คนต่อไปจะเป็นนางอย่างนั้นหรือ?
การส่งสัญญาณเตือนเช่นนี้มันดูมากเกินไปแล้ว
เจ้าหน้าที่เห็นเฟิ่งชิงเฉินยืนเหม่อก็นึกว่านางตกใจกลัว จึงรีบร้องเรียกนางในทันที “คุณหนูเฟิ่งขอรับ คุณหนูเฟิ่ง”
เฟิ่งชิงเฉินจึงได้สติคืนมา นางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร”
เมื่อนางพูดจบก็เตรียมจะเดินออกไปด้านนอก แต่ในขณะนั้นเอง ไม่รู้ว่านางไม่ทันระวังหรือเป็นเพราะเหตุใด เฟิ่งชิงเฉินแข้งขาอ่อนแรง ร่างของนางทรุดลงไปอยู่ข้างๆศพที่อยู่ใกล้หวั่นอิน
“โอ๊ย……”
เฟิ่งชิงเฉินร้องออกมาในขณะที่นางพยายามจะทรงตัว แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว นางเซล้มลงไปบนร่างของศพอีกศพหนึ่ง!
ฝุบ……เฟิ่งชิงเฉินล้มลงไปนอนทับบนศพที่อ่อนนิ่ม
“เอ๋ะ? ยังอุ่นอยู่เลยนี่? ศพนี่ยังอุ่นอยู่เลย?” เฟิ่งชิงเฉินยังคงนอนทับร่างไร้วิญญาณอยู่เช่นเดิม หูของนางเงี่ยฟังเสียงหัวใจเต้น
ชีพจรอ่อนมาก แต่ก็มีเสียงหัวใจเต้น
เฟิ่งชิงเฉินมีสีหน้าดีใจ นางรู้ว่าคนๆนี้ยังไม่ตายแน่นอน
เฟิ่งชิงเฉินเตรียมเปิดใช้งานกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะบนข้อมือของตนเอง นางอยากตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างคนๆนี้ แต่แล้วประตูห้องเก็บศพกลับเปิดออก
คุณชายท่านหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ
เมื่อเขาเดินเข้ามาแล้วพบว่ามือทั้งสองข้างของเฟิ่งชิงเฉินนั้นกำลังสำรวจตรวจตราอยู่บนร่างของศพ คุณชายคนดังกล่าวก็ถึงกับหน้าเสีย พลางตวาดออกไปว่า
“เจ้าเป็นใครน่ะ กล้าดีอย่างไรมาลบหลู่ร่างของน้องชายข้า ยังไม่รีบเอามือออกไปอีก!”
ชายที่กำลังพูด เขามีชื่อว่าซูเหวินชิง คุณชายใหญ่แห่งตระกูลซู ซึ่งเป็นญาติของศพชายคนนี้
เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ยินก็เตรียมพาเฟิ่งชิงเฉินลุกหนี แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับจ้องตาเขม็ง พร้อมกับตวาดว่า
“ไปให้พ้นนะ พวกท่านคิดจะฆ่าเขาให้ตายหรืออย่างไร?”
เจ้าหน้าที่หยุดกึก ส่วนซูเหวินชิงที่เตรียมจะเดินเข้าไปใกล้ก็ถึงกับหยุดเดินและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“แม่ แม่นาง เจ้าว่าอะไรนะ? น้องชายของข้า เขา……”
ซูเหวินชิงไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
ยังไม่ตายหรือนี่?
ยังไม่ตายจริงๆหรือ?
ซูเหวินชิงเป็นถึงคุณชายตระกูลใหญ่ อย่าว่าแต่เฟิ่งชิงเฉินที่แต่งกายเช่นนี้เลย แม้แต่สหายรักที่อยู่ในชนชั้นเดียวกันก็ยังไม่กล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับเขา แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด
ซูเหวินชิงถึงกับหยุดนิ่ง เขายืนมองนางอยู่อย่างนั้น คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินฟังดูน่าเชื่อถือเหลือเกิน
“ยังไม่ตาย ตอนนี้หลีกทางหน่อย อย่ามาขวางข้า” เฟิ่งชิงเฉินตรวจดูสภาพร่างที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ โดยไม่หันมามองทางคุณชาย
ผลลัพธ์ที่นางได้จากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะนั้น คือพบสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ ชีพจรเต้นอ่อน จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
หากเป็นยุคปัจจุบัน พาเข้าห้องผ่าตัดก็สิ้นเรื่อง แต่ว่าตอนนี้……
นางเองก็สามารถทำการผ่าตัดได้ แต่ว่าคนที่นี่ จะมีใครยอมให้นางทำล่ะ?
เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพที่ยืนอยู่ใกล้ๆทำหน้าไม่พอใจ เขากล่าวอย่างอารมณ์เสียว่า “นี่แม่นางจากตระกูลใดกัน คุณชายเล็กซูไม่มีลมหายใจแล้ว ก็หมายความว่าเขาตายไปแล้ว”
คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินเหมือนเป็นการหักหน้าเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพ เจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา!
ส่วนคำพูดของเจ้าหน้าที่พิสูจน์ศพทำให้ซูเหวินชิงคิดได้ จริงด้วย เขาจะไปเชื่อแม่นางคนนี้ได้อย่างไร เขาหันไปถามเจ้าหน้าที่คนข้างๆ
เจ้าหน้าที่เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกล่าวอย่างสุภาพอ่อนน้อม “คุณชายซู นางก็คือคุณหนูเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินขอรับ นางมารับศพ สาวใช้ของนางเสียชีวิตขอรับ”
“เฟิ่งชิงเฉิน อดีตพระชายาลั่วอ๋อง เสื้อผ้าหลุดลุ่ยอยู่หน้าประตูเมืองในวันแต่งงาน เฟิ่งชิงเฉินคนที่มีเรื่องต่อยตีจนไปถึงในเขตวัง?” เมื่อซูเหวินชิงได้ยินชื่อนี้แล้วพลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เขาช่างโง่เง่าเสียจริงๆ ถึงกับหลงเชื่อคำพูดของผู้หญิงเช่นนี้ได้ จนถึงกับคิดว่าน้องชายของตัวเองยังไม่ตาย
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินสิ่งที่ซูเหวินชิงพูดมาก็ตอกกลับอย่างไม่เกรงใจว่า
“คุณชายซูใช่ไหม? ข้านี่แหละเฟิ่งชิงเฉิน แต่มี 2 เรื่องที่ท่านพูดผิดไป เรื่องแรก ข้าไม่ใช่อดีตพระชายาลั่วอ๋อง เรื่องที่สอง ข้าไม่ได้ต่อยตีจนไปถึงในเขตวัง”
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร ตอนนี้รีบๆไปให้พ้นหน้าข้า อยู่ให้ห่างๆศพของน้องชายข้า ข้าไม่อยากให้ผู้หญิงที่ด่างพร้อยเช่นเจ้ามาแปดเปื้อนร่างของน้องชายข้า!”
ซูเหวินชิงเตรียมเดินไปข้างหน้า เพื่อจับร่างเฟิ่งชิงเฉินให้ออกไป
ในสายตาของเขานั้น ผู้หญิงที่ด่างพร้อย มีมลทินติดตัว เขาไม่มีวันยอมให้ผู้หญิงเช่นนี้มาถูกเนื้อต้องตัวน้องชายของตนเองเป็นอันขาด
ส่วนเฟิ่งชิงเฉินก็กำลังนึกเรื่องวิธีรักษานอกเหนือจากวิธีผ่าตัด แต่จู่ๆกลับถูกซูเหวินชิงลากตัวไป ทำให้นางร่วงลงมาอยู่บนพื้น
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับใบหน้าถมึงทึงของซูเหวินชิง เฟิ่งชิงเฉินโกรธมากจนอยากจะฆ่าคน
คนที่ด่างพร้อย พวกเจ้าก็ด่างพร้อยกันหมดทั้งตระกูล!
นางจะบริสุทธิ์หรือมัวหมองมันไปเกี่ยวอะไรกับคนอื่นด้วยนะ นางไม่ได้แพร่เชื้อให้ใครได้เสียหน่อย
ซูเหวินชิงถูกเฟิ่งชิงเฉินจ้องหน้าอยู่พักใหญ่ก็กล่าวอย่างไม่พอใจ “มัวแต่มองอยู่นั่นแหละ ยังไม่รีบไปให้พ้นหน้าข้าอีก ผู้ใดปล่อยให้ผู้หญิงมีมลทินคนนี้มาเข้าใกล้น้องชายข้า”
“ขอรับ ขอรับ” เจ้าหน้าที่เดินออกมาเพื่อจะลากเฟิ่งชิงเฉินไปด้านนอก
เฟิ่งชิงเฉิน คุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่หัวเดียวกระเทียมลีบ หากเทียบกับคุณชายแห่งตระกูลซูแล้ว แน่นอนว่าคุณชายแห่งตระกูลซูย่อมเหนือกว่า ถือว่าเจ้าหน้าที่ตาแหลม
ด้านบนห้องเก็บศพ ซีหลิงเทียนเหล่ยและชายชุดดำหน้ากากเงินต่างกำลังเฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ซีหลิงเทียนเหล่ยได้แต่แสยะยิ้ม เฟิ่งชิงเฉิน บนโลกใบนี้ ใช่ว่าเจ้าอยากอยู่แล้วจะอยู่ได้หรอกนะ
แต่ว่า หากมีข้าคอยปกป้องเจ้าอยู่ เจ้าก็จะมีชีวิตที่ดีเลิศ
ส่วนชายชุดดำหน้ากากเงินกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆเลย เฟิ่งชิงเฉินเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ?
บทที่ 13 ฆ่างู

บทที่ 15 เอาชีวิตเป็นเดิมพัน