ตอนที่ 190 บรรลุข้อตกลง

ชายาเคียงหทัย

เมื่อออกมาจากคุก ม่อซิวเหยาเดินเคียงคู่มากับเยี่ยหลี เยี่ยหลีเงยหน้าเอ่ยถามด้วยความลังเลว่า “ปล่อยถานจี้จือไปแบบนี้จะดีหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “มีอันใดดีหรือไม่ดีหรือ อาหลีอารมณ์ดี ก็ปล่อยเขาไป หากอารมณ์ไม่ดี ฆ่าเขาเสียก็สิ้นเรื่อง”

 

 

เยี่ยหลีชำเลืองมองเขาอย่างจนใจ “ฆ่าคนนะ ไม่ใช่หั่นหัวไช้เท้า อารมณ์ดีอารมณ์ไม่ดีอันใดกัน ปล่อยเขาไปก็ไม่มีอันใดหรอก ถึงอย่างไรข้อเสนอที่เขาให้มาก็ถือว่าไม่เลวมากแล้ว เพียงแต่ข้ารู้สึกตะหงิดใจว่ามีบางเรื่องที่หลุดรอดไป”

 

 

ถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะเป็นตระกูลใหญ่มีกิจการใหญ่โต แต่ยามนี้บทสรุปอย่างไรพวกเขาก็ต้องแตกหักกับม่อจิ่งฉี ทรัพย์สินของตำหนักติ้งอ๋องก็ใช่ว่าจะไม่เสียหายเอาเสียเลย ทองคำหนึ่งแสนตำลึงถึงแม้จะไม่ถือว่ามากนัก แต่ก็ถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อย ยิ่งบวกกับอิทธิพลที่ถานจี้จือสร้างเอาไว้มากว่าสิบปีในซีเป่ยและเมืองหลวงแล้ว หากนำทั้งหมดมาชดเชยกับการที่ถานจี้จือคิดจับตัวนางไป ก็ถือว่าการทำข้อตกลงครานี้ คุ้มค่าไม่น้อย

 

 

ม่อซิวเหยายักไหล่ เรียนแบบท่าทางของเยี่ยหลีที่ทำอยู่เป็นประจำ สำหรับเขาแล้ว การฆ่าคนกับการหั่นหัวไช้เท้าหาได้ต่างกันมากนักไม่ “ปล่อยไปแล้วก็ปล่อยไปเถิด หากเขาเล่นไม่ซื่อค่อยจับกลับมาใหม่ก็ได้”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอ๋องคิดว่าถานจี้จือจะจับตัวได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ”

 

 

ครานี้หากมิใช่เพราะเป็นคราวซวยของถานจี้จือในยามที่อยู่ในซีเป่ย และม่อซิวเหยารู้เข้าพอดีแล้ว หากคิดจะจับเขา คงไม่ง่ายดายเช่นนั้น เขาสามารถซ่อนตัวอยู่ข้างกายม่อจิ่งฉีมานานเช่นนี้โดยไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นได้ ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้ถึงความอดทนของเขาแล้ว

 

 

ม่อซิวเหยาไม่ใส่ใจ “คนที่ข้าคิดอยากจะฆ่า ไม่มีคนใดที่ฆ่าไม่ตาย ต่อให้ตอนนี้ยังไม่เป็นอันใด แต่ก็ต้องมีสักวันที่ต้องตาย”

 

 

เยี่ยหลียื่นมือไปจับม่อซิวเหยา ทั้งสองเดินเรื่อยๆ ไปตามระเบียงทางเดิน กลับมาครานี้ ม่อซิวเหยาเปลี่ยนไปมากทีเดียว เยี่ยหลีบอกไม่ถูกว่าที่เขาเปลี่ยนไปนั้นดีหรือไม่ดี ม่อซิวเหยาก่อนหน้านี้เป็นคนล้ำลึกเกินไป จนบางทีแม้แต่เยี่ยหลีก็มองเขาไม่ออกทั้งหมด บางครั้งเยี่ยหลีถึงขั้นรู้สึกว่า สิ่งที่นางเห็นทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งที่ม่อซิวเหยายอมให้นางได้เห็น

 

 

แต่ม่อซิวเหยาในยามนี้กลับปล่อยตัวตามสบายและดูใจดีขึ้นหลายส่วน และแน่นอนว่า ยังมีความอคติประหลาดๆ อีกด้วย เช่นว่า เขาไม่ชอบหน้าหานหมิงซี ดังนั้น ทุกครั้งที่เจอหน้าหานหมิงซีก็จะแผ่รังสีสังหารออกมาอย่างไม่ปิดบัง จนบางครั้งเยี่ยหลีถึงขั้นเป็นห่วงว่า ม่อซิวเหยาจะแอบฆ่าหานหมิงซีลับหลังนาง ซึ่งเรื่องนี้เยี่ยหลีเคยพูดคุยกับม่อซิวเหยายามที่เขาอารมณ์ดีมาแล้ว ยามนั้นม่อซิวเหยาจ้องตานางอย่างจริงจังแล้วถามนางว่า ‘อาหลีไม่พอใจหรือ ข้าไม่ฆ่าเขาก็แล้วกัน’ เยี่ยหลีเชื่อในคำสัญญาของม่อซิวเหยา แต่ที่ทำให้นางไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีก็คือ เพียงแค่เขาหมุนตัวไปก็หันไปแผ่รังสีสังหารใส่หานหมิงซีเสียแล้ว จนทำให้ยามนี้ หากหานหมิงซีเห็นม่อซิวเหยาก็จะไม่ยั่วแหย่เขาอีก เพียงเดินอ้อมไปให้จบเรื่องเท่านั้น

 

 

ส่วนยามนี้ เมื่อม่อซิวเหยาแน่วแน่ที่จะสังหารถานจี้จือให้ได้แล้ว เยี่ยหลีจึงรู้สึกว่า ต่อให้ถานจี้จือถูกปล่อยตัวไป วันคืนของเขาก็คงปวดหัวน่าดู

 

 

“ท่านอ๋อง พระชายา” ฉินเฟิงปรากฏตัวขึ้นที่ปลายทางเดิน ทำความเคารพทั้งสอง

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า อมยิ้มเอ่ยถามว่า “ทางฝั่งซูจุ้ยเตี๋ยมีข่าวอันใดหรือไม่”

 

 

ฉินเฟิงขมวดคิ้วอย่างยอมแพ้ เอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนใจว่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ นอกจากซูจุ้ยเตี๋ยจะพูดเรื่องฐานะของถานจี้จือแล้ว ก็ไม่ยอมพูดอย่างอื่นอีกเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ฉินเฟิงรู้สึกว่า ที่ก่อนหน้านี้ตนดูถูกซูจุ้ยเตี๋ยผู้นี้ไว้นั้น เป็นความคิดที่ผิดมหันต์ หลายปีมานี้ เขายังไม่เคยพบสตรีที่ทนทานต่อการทรมานได้มากเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สตรีผู้นี้เป็นสตรีผู้แสนบอบบาง ที่ยามปกติเพียงแค่เข็มทิ่มมือก็ต้องน้ำตาหยดแล้วอย่างนาง

 

 

“ไม่เป็นไร ข้าก็คิดไว้แล้วล่ะ ค่อยเป็นค่อยไปเถิด ไม่ต้องรีบร้อน ระวังด้วย อย่าทำให้ถึงตายล่ะ” เยี่ยหลีเอ่ย

 

 

หากซูจุ้ยเตี๋ยบอบบางเสียจนต้องลมไม่ได้เหมือนภาพภายนอกจริง ตอนนั้นนางคงไม่กล้าสมคบคิดกับหานหมิงเย่ว์ ทรยศม่อซิวเหยา และทิ้งม่อซิวเหยาไปซบอกฮ่องเต้แห่งซีหลิงและเจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงหรอก สตรีที่เกิดในตระกูลผู้ดีที่แม้แต่เมืองหลวงของต้าฉู่ก็ยังไม่เคยก้าวออกไป กลับมีความมักใหญ่ใฝ่สูงและลอบจัดเช่นนี้ ก็ทำให้ผู้คนตกใจไม่ได้จริงๆ ดังนั้นหากนางยังมีความสามารถอื่นๆ อีกๆ ก็ไม่ทำให้เยี่ยหลีนึกประหลาดใจอันใด

 

 

แต่เยี่ยหลีกลับไม่คิดจะฆ่านาง เพราะนางรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ทำให้ซูจุ้ยเตี๋ยปากแข็งและไม่ยอมคายข้อมูลออกมานั้น จะต้องเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั้งฟ้าและดินอย่างแน่นอน

 

 

“ข้าน้อยรับบัญชา” ฉินเฟิงก้มหน้ารับคำสั่ง

 

 

ม่อซิวเหยาก้มลงมองเยี่ยหลีที่ขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด เอ่ยเสียงเบาว่า “ยามนี้อาหลีจะเหนื่อยนักไม่ได้ จะคิดมากเช่นนั้นไปไย”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ไม่มีอันใดหรอก เพียงแค่รู้สึกว่าซูจุ้ยเตี๋ยมีบางอย่างไม่ถูกต้อง” ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นสตรีที่มีความอดทนมากคนหนึ่งก็จริง แต่นางไม่มีทางเป็นสตรีที่ทนความยากลำบากได้ตั้งแต่เกิด นอกเสียจากว่าหากนางพูดออกมาแล้ว สถานการณ์ของนางจะยิ่งเลวร้ายไปกว่านี้

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว หยุดคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยกับฉินเฟิงว่า “ลอบกระจ่ายข่าวออกไป บอกว่า…ข้าพบตัวซูจุ้ยเตี๋ย หลานสาวของผู้อาวุโสซูแล้ว”

 

 

ฉินเฟิงอึ้งไป หันมองม่อซิวเหยาด้วยความไม่เข้าใจว่า “ท่านอ๋อง…”

 

 

ม่อซิวเหยาจับผมบนบ่าเยี่ยหลีเล่น เอ่ยอย่างใจลอยว่า “ไม่ต้องทำให้เป็นข่าวใหญ่เกินไปนัก แค่ให้คนที่ควรรู้ได้รู้ก็พอ เข้าใจหรือไม่?”

 

 

ฉินเฟิงรับคำ “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว จะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 

 

เช้าตรู่วันต่อมา ไม่ต้องให้ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีไปถาม ถานจี้จือก็ขอให้องครักษ์ที่ดูและคุกใต้ดินมาส่งข้อความว่า เขาตกลงตามเงื่อนไขที่เยี่ยหลีเสนอมาทุกอย่าง และขอเพียงให้นางรับประกันความปลอดภัยของซูม่านหลิน เขายินดีที่จะให้กักตัวซูม่านหลินไว้ที่เมืองหรู่หยางก่อนเป็นการชั่วคราว เพื่อเป็นตัวประกัน จนกว่าเยี่ยหลีจะหาดอกปี้ลั่วเจอ

 

 

กับเรื่องนี้ เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาไม่รู้สึกตกใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อเกี่ยวกับชีวิตของตนแล้ว ไม่ว่าถานจี้จือจะใช้สิ่งใดมาแลกเปลี่ยน ก็ล้วนถือว่าเขากำไรทั้งสิ้น เพราะถึงอย่างไร หากไม่เหลือชีวิตแล้ว ของที่เหลืออยู่ ก็เป็นเพียงกองขยะเท่านั้นเองถานจี้จือมิใช่คนตัดสินใจไม่เด็ดขาด เมื่อชดใช้ทีหนึ่งก็ใจใหญ่เป็นอย่างยิ่ง องครักษ์ลับนำจดหมายลงตราประทับของเขาไป ในวันนั้นเองก็ได้ทองคำหนึ่งแสนตำลึงจากกองกำลังที่ถานจี้จือแอบซ่อนไว้ในเขตซีเป่ย เช่นเดียวกัน สิ่งนี้ได้เป็นการพิสูจน์ให้เห็นกลายๆ ว่า กองกำลังที่ถานจี้จือลอบแอบซ่อนไว้นั้น มากพอที่จะทำให้ตกใจได้เลยทีเดียว

 

 

ช่วงนี้อารมณ์ของม่อซิวเหยาถือว่าไม่เลวนัก ดังนั้นจึงไม่คิดจะพูดจากลับกลอก

 

 

ทันทีที่ปล่อยตัวถานจี้จือออกจากคุก ถานจี้จือก็รีบร้อนจะไปจากซีเป่ยทันที บอกปัดคำเชื้อเชิญที่ไม่รู้จริงใจหรือแอบแฝงของเฟิ่งจือเหยาที่บอกให้รั้งอยู่ก่อนแล้วค่อยออกเดินทางพรุ่งนี้ เขาบอกชัดเจนว่าต้องการออกเดินทางไปเสียเดี๋ยวนี้

 

 

เยี่ยหลีก็ไม่รั้งเขาไว้ มีเพียงเรื่องสุดท้ายเท่านั้น นั่นคือที่อยู่ของดอกปี้ลั่ว

 

 

ถานจี้จือหันมองนาง สีหน้ามีรอยยิ้มชั่วร้ายแฝงอยู่ “พระชายา ท่านเสาะหาดอกปี้ลั่วไปทั่วทุกสารทิศ แต่อันที่จริง…ดอกปี้ลั่ว แท้จริงแล้วอยู่ใต้จมูกท่านมาตลอด”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว นิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ดอกปี้ลั่วอยู่ในเมืองหลวง?”

 

 

ถานจี้จือหัวเราะอย่างถือดี “ถูกต้อง ดอกปี้ลั่วอยู่ที่เมืองหลวงจริงๆ อีกทั้ง ยังอยู่ในวังหลวงอีกด้วย อยู่ใน…มือของม่อจิ่งฉี”

 

 

“เหตุใดถึงไปอยู่ในมือม่อจิ่งฉีได้” เยี่ยหลีขมวดคิ้วถาม ม่อจิ่งฉีไม่มีทางไม่รู้ว่าดอกปี้ลั่วสามารถรักษาโรคของม่อซิวเหยาได้ หากเขาได้ไปแล้ว เขาจะทำลายทิ้งโดยไม่ต้องคิดเลยหรือไม่?

 

 

ดูเหมือนถานจี้จือจะมองออกว่านางเป็นกังวลเรื่องใด จึงยิ้มเอ่ยว่า “พระชายาวางใจเถิด ดอกปี้ลั่วได้ชื่อว่าสามารถชุบชีวิตคนได้ คนรักชีวิตอย่างม่อจิ่งฉีไม่มีทางทำลายมันเด็ดขาด มีแต่จะเก็บซ่อนไว้อย่างระมัดระวังเท่านั้น ซ่อนไว้ในที่ที่ไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึง ว่ากันตามตรง ตั้งแต่ดอกปี้ลั่วไปอยู่ในมือเขา แม้แต่ข้าน้อยก็ยังเดาไม่ออกว่าเขาเอามันไปไว้ที่ใด”

 

 

เยี่ยหลีกวาดสายตาเย็นๆ มองเขา แล้วเอ่ยถาม “ดอกปี้ลั่ว ท่านเป็นคนมอบให้ม่อจิ่งฉี?”

 

 

ถานจี้จือไม่ปฏิเสธ เพียงหัวเราะอย่างได้ใจ “พระชายาไม่คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีหรือ อันที่จริง เดิมทีข้าก็ไม่คิดจะมอบมันให้ม่อจิ่งฉี แต่ตั้งแต่รู้ว่าทั้งพระชายาและบัณฑิตขี้โรคจากสำนักเยี่ยนอ๋องต่างกำลังตามหามัน ข้าก็จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ด้วยความสามารถของตำหนักติ้งอ๋องและสำนักเยี่ยนอ๋อง ไม่ช้าก็เร็วต้องรู้ว่าดอกปี้ลั่วไม่ได้อยู่กับคนแซ่เหลียง จากนั้นไม่แน่ว่าข้าอาจเดือดร้อนไปด้วย แต่ผู้ใดเลยจะคาดเดาได้ว่า สมบัติล้ำค่าของใต้หล้าจะอยู่ในมือฮ่องเต้แห่งต้าฉู่? ของที่ติ้งอ๋องต้องการมากที่สุด อยู่ในมือคนที่เคียดแค้นเขามากที่สุด หึหึ…”

 

 

“ท่านไปเถิด ในเมื่อข้าตกปากรับคำกับเงื่อนไขของท่านไปแล้ว ก็จะไม่เสียคำพูด เพียงแต่ ทางที่ดีท่านควรภาวนาอย่าให้คราวหน้าท่านตกมาอยู่ในมือข้าอีก” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ

 

 

ถานจี้จือเก็บรอยยิ้มที่เห็นได้ชัดว่าชอบใจบนใบหน้าของตน กวาดตามองเยี่ยหลีด้วยสายตามุ่งร้าย “ข้าน้อยจะจำคำเตือนของพระชายาไว้พ่ะย่ะค่ะ จะไม่มีทางให้ตัวเองมีโอกาสตกมาอยู่ในมือของพระชายาอีกเป็นอันขาด ลาก่อน”

 

 

เยี่ยหลีหมุนตัวเดินไป “ไม่ส่ง”

 

 

เมื่อส่งถานจี้จือไปแล้ว ม่อซิวเหยาก็เปลี่ยนท่าทีทันที จับทูตที่ม่อจิ่งฉีส่งมาโยนออกไปนอกเมืองหรู่หยางอย่างไม่เกรงใจ ส่วนเรื่องที่พวกเขามาเพราะต้องการตัวคนนั้น…ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทั้งผู้หญิงและผู้ชายทั่วทั้งเมืองหรู่หยางต่างเห็นกับตาว่าถานจี้จือเดินออกไปจากเมืองหรู่หยางแล้ว หากตัวเขาเองไม่ยอมกลับเมืองหลวง นั่นก็ไม่เกี่ยวอันใดกับกองทัพตระกูลม่อและตำหนักติ้งอ๋องแล้ว

 

 

ส่วนเรื่องฐานะของถานจี้จือนั้น ม่อซิวเหยาไม่คิดจะบอกให้ม่อจิ่งฉีรู้ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเขา ส่วนม่อจิ่งฉีจะมีความสามารถได้ล่วงรู้เรื่องนี้หรือไม่นั้น ก็ไม่เกี่ยวกับเขาเช่นกัน

 

 

ภายในห้อง ม่อซิวเหยาเพิ่งอาบน้ำทำความสะอาดตนเองเสร็จ ผมสีขาวโพลนยังคงเปียกชื้น เขามองบุรุษผมขาวในกระจกด้วยสายตารังเกียจ จากนั้นเขาก็เลื่อนสายตาไปมองขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ สีดำที่วางอยู่ สิ่งนั้นคือยาย้อมสีผมที่เสิ่นหยางผสมมาให้เขา

 

 

ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาไม่เคยรู้สึกว่าตนเป็นคนใส่ใจกับรูปลักษณ์ภายนอกมาก่อน แต่ยามนี้ ทุกคราที่เขาเห็นเงาตนเองในกระจกก็ยิ่งรู้สึกรับตนเองไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ผมบนศีรษะสีขาวโพลนกับรอยแผลเป็นอันน่าสยดสยองบนใบหน้าด้านซ้าย ยิ่งทำให้ใบหน้าที่เดิมขาวซีดอยู่แล้ว ยิ่งดูประหลาดและน่าสยดสยองเข้าไปใหญ่

 

 

เขาไม่อยากให้อาหลีเป็นสภาพที่น่าสยดสยองเช่นนี้ เขาไม่กลัวว่าจะทำให้นางตกใจ แต่เขาไม่อยากให้นางเห็นสภาพอันอัปลักษณ์เช่นนี้ของเขา

 

 

อาหลีของเขาเพียบพร้อมเสียขนาดนั้น แต่ตนเอง…ในแววตาที่บึ้งตึงมีประกายเคียดแค้น ตนเองกลับเจ็บป่วยหนักและอัปลักษณ์เช่นนี้

 

 

จนถึงยามนี้ ม่อซิวเหยาถึงได้รู้ว่าเขามิใช่คนที่ไม่ใส่ใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก แต่ในยามที่เขาอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีนั้น เขามีรูปลักษณ์เป็นเลิศประหนึ่งได้พรจากสวรรค์ เขาไม่จำเป็นต้องอิจฉาริษยาผู้ใดในโลก แต่หลังจากอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีเป็นต้นมา กลับไม่เคยทำให้เขารู้สึกว่าตนจำเป็นต้องเป็นคนที่ใส่ใจรูปลักษณ์อีกเลย เขาถึงขั้นสามารถจินตนาการว่า หากตนในยามนี้ยืนอยู่เคียงข้างอาหลี จะกลายเป็นภาพที่ประหลาดตาเพียงใด

 

 

“ปัง!” ฝ่ามือไม่เบาไม่แรงนักของเขาตบลงบนกระจกที่วางอยู่บนโต๊ะไม้จันทร์แดงจนโต๊ะส่งเสียงปริแตกอย่างเจ็บปวด พร้อมรอยแตกร้าวหลายเส้นที่ปรากฏขึ้นทั่วโต๊ะ

 

 

“ซิวเหยา” เสียงของเยี่ยหลีดังขึ้นที่ด้านนอกประตู ม่อซิวเหยาตัวแข็งไป หากไม่รู้ว่าคนภายนอกคือผู้ใด เกรงว่าฝ่ามือของเขาคงได้พุ่งเข้าใส่จนกระเด็นไปแล้ว

 

 

เขาคิดเพียงอยากหลบซ่อนตัวไว้ แต่ภายในห้องกลับไม่มีที่ที่เหมาะให้บุรุษรูปร่างสูงใหญ่อย่างเขาไปซ่อนตัว อีกทั้งอาหลีรู้ดีว่าเขาอยู่ในห้องนี้ เขาจะซ่อนตัวได้อย่างไร

 

 

เยี่ยหลีค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามา เมื่อเดินผ่านม่านบังตาก็เห็นบุรุษผมขาวที่ยืนอยู่หน้าประตู ท่าทีของนางประหนึ่งไม่ทันเห็นท่าทางแข็งเกร็งของม่อซิวเหยา นางเดินผ่านเขาไปหยิบผ้าที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นซับเส้นผมให้กับเขา “เหตุใดผมถึงยังเปียกอยู่ ถึงแม้ยามนี้อากาศจะยังร้อนระอุ แต่ก็ต้องระวังจะปวดหัว”

 

 

“อาหลี…” ม่อซิวเหยาหมุนตัวหันมองสตรีตรงหน้าที่ระบายยิ้มอย่างอบอุ่นอยู่ด้วยสีหน้านิ่งอึ้ง

 

 

หลังจากกลับมาบำรุงได้หลายวัน สีหน้าของเยี่ยหลีก็ดูดีขึ้นมาก ถึงแม้จะมิได้ดูผ่องเป็นยองใยมีน้ำมีนวลเหมือนสตรีที่กำลังตั้งครรภ์เจ็ดแปดเดือนทั่วไป แต่มองดูแล้วก็ดูแข็งแรงและสวยงามอย่างมาก

 

 

เยี่ยหลีเช็ดผมเขาไปพลาง เอ่ยถามเสียงเบาไปพลางว่า “ทำไมหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ไม่มีอันใด”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้มน้อยๆ “ไม่มีอันใดก็ดีแล้ว เดี๋ยวข้าช่วยท่านทำผมเอง”

 

 

ภายในห้องเงียบสงัด เยี่ยหลีซับเส้นผมของเขาอย่างเบามือ จากนั้นก็จับผมสีขาวขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว แล้วหันไปหยิบด้ายสีเงินจากกล่องขึ้นมามัดไว้ ถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีจริง”

 

 

ม่อซิวเหยาดึงเยี่ยหลีเข้ามากอด ซุกหน้าลงกับท้องกลมๆ ของเยี่ยหลี เงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหวของลูกน้อยในครรภ์ ทั้งยังรู้สึกถึงแรงเตะด้วยเป็นครั้งคราว

 

 

“อาหลี ข้าอัปลักษณ์เช่นนี้ เจ้ารังเกียจข้าหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป อดไม่ได้ต้องระบายยิ้มออกมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าระแวดระวังของคนตรงหน้า ขอบตานางก็อดร้อนผ่าวจนน้ำตาไหลออกมาไม่ได้ นางลูบผมสีขาวเป็นประกายของเขาเบาๆ “หากข้าอัปลักษณ์บ้าง ท่านจะรังเกียจข้าหรือไม่”

 

 

“ไม่แน่นอน อาหลีสวยที่สุดตลอดกาล” ม่อซวิเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นั่นถูกต้องแล้ว อีกอย่าง ท่านก็ไม่เคยหน้าตาดีมาก่อนด้วย” บุรุษที่หน้าตาดี เยี่ยหลีจะไม่เคยเห็นมานักต่อนักแล้วหรือ อย่างคุณชายหมิงเย่ว์ที่มีรูปลักษณ์สุภาพปานประหนึ่งจันทร์กระจ่างที่อยู่บนฟากฟ้า หรืออย่างหานหมิงซีที่หล่อเหลาไม่ธรรมดาแลดูเจ้าเล่ห์เกินผู้ใด แต่กลับใสซื่อและจริงใจ และเฟิ่งจือเหยาที่ได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรูปงามผู้เลื่องชื่อแห่งเมืองหลวง เมื่อเทียบกันแล้วม่อซิวเหยาไม่ถือว่าเป็นบุรุษรูปงามเลยจริงๆ

 

 

นางมองสีหน้านิ่งอึ้งของม่อซิวเหยา แล้วเยี่ยหลีก็อมยิ้มเอ่ยว่า “แต่ในเมื่อท่านรู้ตัว รู้ว่าตนเองน่าเกลียด ก็ไว้ให้ท่านเสิ่นและท่านอาจารย์ดูบาดแผลที่หน้าสักหน่อยดีหรือไม่”

 

 

ม่อซิวเหยาดูลังเล แรกเริ่มเดิมทีเขาไม่ได้รักษาบาดแผลที่หน้า ไม่ได้หมายความว่ารักษาไม่ได้ แต่เพราะในยามนั้นเขามีอาการป่วยหนักเรื้อรังอยู่ ม่อซิวเหยาที่วันๆ ต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดจึงไม่คิดที่จะไปรักษารอยแผลบนใบหน้า เพราะแม้แต่ร่างกายและขาที่เข็งแรงยังไม่มีแล้ว กับแค่ใบหน้าจะเสียโฉมหรือไม่เสียโฉมจะต่างอันใดกัน

 

 

อีกอย่างในยามนั้น มีหลายคราที่เสิ่นหยางคิดว่าคงรักษาชีวิตม่อซิวเหยาไว้ไม่ได้แล้ว จึงย่อมไม่มีเวลามาพะวงกับรอยแผลบนใบหน้าของเขา จนเมื่ออาการของม่อซิวเหยาปลอดภัยแล้ว และเสิ่นหยางนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็กลับถูกม่อซิวเหยาที่ยามนั้นสภาพจิตใจกำลังมัวหมอง ตอบปฏิเสธไปอย่างไม่ไยดี

 

 

เขายื่นมือขึ้นลูบบาดแผลบนใบหน้า “ผ่านมาหลายปีเช่นนี้แล้ว…”

 

 

เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “ลองดูสักหน่อยจะเป็นไร ข้าเคยได้ยินว่า เดิมทีใบหน้าของใครบางคนไม่เคยแม้แต่จะลงยา อาศัยเพียงการรักษาตัวตามธรรมชาติเท่านั้น ช่าง…ยอดเยี่ยมเสียจริง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดจู่ๆ ท่านอ๋องถึงได้มากังวลเรื่องรูปลักษณ์เล่า”

 

 

เมื่อถูกเยี่ยหลีเอ่ยยั่วแหย่เช่นนี้ ม่อซิวเหยากลับรู้สึกเบาใจขึ้นมาก กอดเอวนางไว้เพื่อกักตัวนางไว้ในอ้อมแขน ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงอึมครึมว่า “ต่อให้อาหลีรังเกียจข้าก็สายไปเสียแล้ว ผู้ใดที่กล้ามาแย่งเจ้ากับข้า ข้าจะฉีกร่างมันผู้นั้นให้เละเป็นหมื่นชิ้น!”

 

 

เยี่ยหลีตบหลังเขาเบาๆ อย่างจนใจ “ช่างเหมือนเด็กน้อยขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ ท่านคิดว่าข้าเป็นทองก้อนที่ใครๆ ต่างอยากได้หรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ อาหลีของเขาล้ำค่าเสียยิ่งกว่าทองเสียอีก แต่…นางเป็นของเขาเท่านั้น! ผู้ใดที่ปรารถนาในตัวที่รักของเขา จะต้องตายสถานเดียว!