ตอนที่ 191-1 ผู้ว่าการหรู่หยาง

ชายาเคียงหทัย

“ท่านอาจารย์ หลายวันนี้ท่านสบายดีหรือไม่” หลังจากพาม่อซิวเหยาเดินเข้ามาภายในเรือนเล็กที่ท่านหมอหลินพักอาศัยอยู่เป็นการชั่วคราวแล้ว เยี่ยหลีก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ มองท่านหมอหลินที่นั่งดื่มชาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในเรือนอยู่เพียงลำพัง

 

 

ท่านหมอหลินหันหน้ามามองหน้า ก่อนเลื่อนสายตาไปยังม่อซิวเหยา ที่ยืนอยู่ข้างกายนางด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรนัก

 

 

ก่อนหน้านี้ท่านหมอหลินเคยเห็นม่อซิวเหยาจากที่ไกลๆ มาแล้วครั้งหนึ่ง เพียงแต่ในครานั้นม่อซิวเหยายังมีผมดำขลับ ดูแล้วน่าตกใจน้อยกว่าในยามนี้มากนัก

 

 

ท่านหมอหลินหันกลับมามองเยี่ยหลีอีกที ก่อนพยักหน้า “นั่งเถิด”

 

 

เยี่ยหลีก็ไม่เกรงใจ เมื่อเอ่ยขอบคุณแล้วก็พาม่อซิวเหยาไปนั่งลงทันที นางหยิบถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นรินชาให้ตนเองและม่อซิวเหยาคนละถ้วยโดยไม่รอการเชื้อเชิญ พลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลายวันมานี้มีเรื่องมากมายเหลือเกิน จนไม่มีเวลามาเยี่ยมท่านอาจารย์เลย ท่านอาจารย์โปรดอภัยด้วย”

 

 

ท่านหมอหลินส่งเสียงหึเงียบๆ พวกเขายังมิได้ผ่านการคารวะเป็นศิษย์อาจารย์กันอย่างเป็นทางการ แค่เพียงชี้แนะวิชาการแพทย์ให้เยี่ยหลีเล็กน้อยเท่านั้น เยี่ยหลีก็เรียกเขาว่าอาจารย์ อาจารย์มาโดยตลอด แต่อันที่จริงทั้งสองต่างมิได้ถือเป็นจริงเป็นจังสักเท่าไรนัก จนต่อมาก็ด้วยเหตุผลของความปลอดภัย ดังนั้นท่านหมอหลินย่อมไม่ถือสาอันใดเยี่ยหลีเป็นจริงเป็นจังอยู่แล้ว อันที่จริงตั้งแต่เกิดเรื่องถานจี้จือขึ้น ยามนี้ก็ถือได้ว่าเยี่ยหลีสู้หน้าบุญคุณที่เขาได้เคยช่วยชีวิตนางไว้ได้แล้ว

 

 

“เขาเคยถูกพิษเย็นมาก่อนหรือ” ท่านหมอหลินมองประเมินม่อซิวเหยารอบหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วเอ่ยถาม “เหตุใดยามนี้ในกายเขาถึงได้มีพิษร้อนพิษเย็นอยู่คู่กัน?”

 

 

พิษเย็นและพิษร้อนโดยธรรมชาติไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วหากจะใช้พิษแก้พิษก็พอเป็นไปได้ แต่พิษทั้งสองประเภทในกายม่อซิวเหยากลับสามารถรักษาสมดุลระหว่างกันไว้ได้อย่างน่าประหลาด แต่นี่ไม่สามารถทำให้ม่อซิวเหยามีชีวิตที่ดีขึ้น อันที่จริงพิษทั้งสองประเภทเมื่อมาอยู่รวมกันแล้ว ผลที่ตามมาก็คือ ร่างกายจะต้องแบกรับความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ประหนึ่งคาดไม่ถึงว่าชายชราตรงหน้าจะมีความสามารถอยู่จริงๆ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ถูกชะตาอันใดกับชายชราผู้นี้ แต่ก็ยังจำได้ว่าเขาได้ช่วยชีวิตอาหลีและบุตรในครรภ์ของนางไว้ จึงเอ่ยเรียบๆ อย่างไม่ปิดบังว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยใช้หญ้าเฟิ่งเหวย”

 

 

ท่านหมอหลินมองม่อซิวเหยาอยู่เป็นนาน ในที่สุดถึงได้เอ่ยว่า “ท่านติ้งอ๋องมิใช่คนธรรมดาทั่วไปจริงๆ อย่างน้อยแค่ความอดทนของท่านก็เพียงพอที่จะดูแคลนคนทั้งใต้หล้าได้แล้ว ข้าอยากพบหมอคนก่อนหน้าสักหน่อย”

 

 

ด้วยฝีมือทางการแพทย์ของท่านหมอหลินย่อมไม่มีทางมองไม่ออกว่า ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาเคยมีปัญหาอันใดมาบ้าง ท่านหมอที่มีฝีมือล้ำเลิศ เมื่อมาพบกับคนที่มีฝีมือล้ำเลิศเช่นตน อย่างไรก็มักอดไม่ได้ที่จะทดสอบและแลกเปลี่ยนความรู้กันสักหน่อย

 

 

เยี่ยหลีมองท่านหมอหลินอย่างมีความหวัง เอ่ยถามว่า “พิษในกายของม่อซิวเหยา ท่านอาจารย์พอมีวิธีหรือไม่”

 

 

ท่านหมอหลินยิ้มเยาะทีหนึ่ง “เดิมทีหากมีเพียงพิษเย็น ก็ยังพอคิดหาวิธีได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ วิธีการก็ไม่ต้องคิดให้เหนื่อยแล้ว หากถอนพิษใดพิษหนึ่งไปก่อน อีกพิษหนึ่งก็จะคร่าชีวิตเขาในทันที อีกทั้งยาที่ถอนพิษทั้งสองประเภทนี้ก็จะตีกันเองเช่นกัน อย่างน้อยในยามนี้ คนแก่อย่างข้ายังคิดหาวิธีไม่ออกที่จะให้พวกมันสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่ทำลายสรรพคุณของกันและกัน”

 

 

เดิมทีเยี่ยหลีก็มิได้มีความหวังอันใดมากมายอยู่แล้ว ดังนั้นจะเรียกว่าผิดหวังก็คงไม่ได้ เพียงเอ่ยถามว่า “หากมีดอกปี้ลั่วเล่า”

 

 

“ดอกปี้ลั่ว?” ท่านหมอหลินขมวดคิ้ว วางถ้วยชาลงแล้วหันมองหน้าเยี่ยหลี คิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ดอกปี้ลั่ว…หากมีดอกปี้ลั่วจริง ก็ถือเป็นวิธีที่ดี ข้าเหมือนเคยอ่านเจอในตำราโบราณเล่มใดสักเล่มหนึ่งว่า ยาเม็ดที่ทำขึ้นจากดอกปี้ลั่วสามารถถอนพิษได้เป็นร้อยชนิด และชุบชีวิตคนตายได้ อันที่จริงจะว่าถอนพิษเป็นร้อยชนิดก็ไม่ถูกนัก ว่าสามารถขับพิษเป็นร้อยชนิดได้จะดีกว่า ซึ่งขัดกับหลักการที่พวกเราศึกษาเรื่องการถอนพิษโดยสิ้นเชิง จะเรียกว่าเป็นเพียงการใช้สรรพคุณทางยาอันยิ่งใหญ่ของดอกปี้ลั่วในการขับพิษทุกชนิดในร่างกายคนก็ได้ เพียงแต่ดอกปี้ลั่วหายสาบสูญไปจากใต้หล้ามานานหลายปีแล้ว ดังนั้นข้าเองก็ไม่เคยศึกษาสูตรยานั้นอย่างจริงจังมาก่อน”

 

 

เยี่ยหลีนึกดีใจ ถึงแม้ยังไม่ได้ดอกปี้ลั่วมา แต่เสิ่นหยางก็ได้ศึกษาสูตรยานั้นมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ด้วยเพราะเป็นสูตรยาที่หายสาบสูญไปแล้ว จึงเป็นการศึกษาที่เปลืองแรงพอสมควร บัณฑิตขี้โรคเป็นคนที่รู้สูตรยา แต่ของที่ได้จากเขา อย่างไรเยี่ยหลีก็มักรู้สึกไม่วางใจ

 

 

ท่านหมอหลินหันมองนาง “ตำราเล่มไหนที่ได้เคยกล่าวถึงไว้ข้าเองก็จำไม่ได้แล้วเสียด้วย เจ้าให้คนไปเอากลับมาก็ได้ ขอเพียงอย่าทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านแตกตื่นกันเป็นพอ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ขอบคุณท่านอาจารย์”

 

 

ท่านหมอหลินปรายตามองทั้งสองคนเรียบๆ แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง

 

 

เมื่อมองตามหลังเขาไป ม่อซิวเหยาก็วางถ้วยชาในมือลง “อาหลี เขามีปัญหา”

 

 

“หือ?” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว อมยิ้มมองเขา

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบว่า “เจ้าบอกว่าถานจี้จือเป็นบุตรที่เขาเลี้ยงมา อีกอย่างเขายังคงรู้สึกผูกพันธ์กับถานจี้จืออยู่มาก แต่เมื่อครู่เขาไม่แม้แต่จะถามถึงถานจี้จือสักคำ”

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เขาอาศัยอยู่ที่จวนแห่งนี้ มีหรือจะไม่รู้ว่าถานจี้จือไปแล้ว”

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “เช่นนั้นอย่างไรก็ไม่ควรที่จะไม่มีท่าทีใดเลย” ไม่ว่าจะเป็นกังวล ผิดหวังหรืออันใดก็แล้วแต่ แต่ตาเฒ่านั่นกลับทำประหนึ่งถานจี้จือไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตนแม้แต่น้อยกระนั้น จนดูเหมือนตั้งใจจนเกินไป

 

 

ม่อซิวเหยาก้มลงมองเยี่ยหลี เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่เชื่อว่าอาหลีจะมองไม่ออก”

 

 

เยี่ยหลีจับผมสีขาวตรงหน้าอกเขาขึ้นมา เอ่ยเสียงเบาว่า “ต่อให้เขาปิดบังอันใดไว้ แล้วจะเกี่ยวอันใด ผู้ใดกันที่ไม่มีความลับอยู่เลย ขอเพียงเขาสามารถช่วยเหลือเรื่องสุขภาพของท่านได้ ข้าก็ไม่อยากทำให้เขาลำบากใจ เพราะถึงอย่างไร เขาก็เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้”

 

 

กับท่านหมอหลิน ในใจเยี่ยหลีนึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก นางรู้ดีว่าในใจท่านหมอหลินจะต้องมีความลับอันใดซ่อนอยู่อย่างแน่นอน ไม่เหมือนกับถานจี้จือ ถานจี้จือสนใจแต่สมบัติลับที่ว่านั่นมากเกินไป และมักนึกสงสัยบิดาที่เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เล็กจนโต แต่กลับละเลยตัวของท่านหมอหลินผู้นี้ไป

 

 

แต่เยี่ยหลีที่อยู่ภายนอก กลับลอบสังเกตทุกคนที่อยู่รอบตัวโดยละเอียด สีหน้าและแววตาทั้งหมดของท่านหมอหลินไม่มีทางรอดพ้นสายตานางไปได้ ไม่ว่าท่านหมอหลินจะมีความลับอันใด ขอเพียงเขาไม่ทำร้ายคนที่นางใส่ใจ ขอเพียงเขาสามารถช่วยเรื่องสุขภาพร่างกายของม่อซิวเหยาได้ เรื่องอื่นๆ จะมีความเกี่ยวข้องอันใดได้

 

 

ม่อซิวเหยามองดูเยี่ยหลีที่จับผมสีขาวตรงหน้าอกของตนเล่น เขาย่อมรู้ดีว่าอาหลีรู้สึกผิดกับเรื่องนี้ เขาจับมือเยี่ยหลีเบาๆ ดึงเอาเส้นผมในมือนางออก แล้วเอ่ยอย่างรักใคร่ว่า “ในเมื่ออาหลีพูดเช่นนี้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว” ท่านหมอหลินคนนี้ เขาจะให้คนไปสืบดู ขอเพียงเขาไม่ทำเรื่องที่ไม่สมควร เขาก็จะไม่ทำอันใด

 

 

เมื่อท่านหมอหลินเดินออกมาจากห้อง ก็เห็นทั้งสองกำลังนั่งพูดคุยเสียงเบากันอยู่ใต้ต้นไม้ บรรยากาศโดยรอบดูอบอุ่นและเงียบสงบจนไม่อยากจะรบกวน

 

 

เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาต่างเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกวิชามากันพอตัว จึงได้ยินเสียงฝีเท้าท่านหมอหลินตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวพ้นประตู

 

 

เยี่ยหลีหันไปมองเขา

 

 

ท่านหมอหลินโยนขวดกระเบื้องเคลือบสีเขียวไปให้ “ผมของเขาไม่มีทางแก้ นี่ให้เจ้า”

 

 

เขาไม่ได้บอกว่ายานี้ไว้ใช้ทำอันใด พูดจบท่านหมอหลินก็ไม่แม้แต่จะส่งแขก หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องไปทันที

 

 

ทั้งสองต่างเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี คนเช่นม่อซิวเหยาไม่มีทางใช้ยาที่คนแปลกหน้ามอบให้เขา ย่อมต้องนำไปให้ท่านหมอที่เก่งกาจตรวจสอบให้ก่อน ดังนั้น จะบอกหรือไม่บอกวิธีการใช้ก็ไม่ต่างกัน

 

 

เยี่ยหลีรับขวดยานั้นไว้ เปิดขวดยาขึ้นดม ก็พอรู้ประโยชน์ของยาขวดนี้ ยามที่นางอาศัยอยู่ในบ้านท่านหมอหลิน ก็เคยเห็นยาล้ำค่าหลากหลายประเภทที่เขาเก็บเอาไว้มาบ้าง

 

 

เมื่อรับยามาแล้ว เยี่ยหลีก็ลุกขึ้นโดยมีม่อซิวเหยาคอยประคอง คิดว่าจะไปพบเสิ่นหยางสักหน่อย ถึงแม้นางจะเชื่อว่า ท่านหมอหลินไม่มีทางเล่นลูกไม้อันใดในยาขวดนี้ แต่อย่างไรก็จำเป็นต้องตรวจสอบสักหน่อย อีกทั้งท่านหมอหลินก็บอกแล้วว่าอยากพบเสิ่นหยาง นางจำเป็นต้องไปบอกเสิ่นหยางเสียก่อน

 

 

เมื่อมาถึงเรือนเล็กของเสิ่นหยาง เฟิ่งจือเหยาและโจวอวี้ก็อยู่ที่นั่นด้วยพอดี เยี่ยหลีไม่คุ้นเคยกับโจวอวี้สักเท่าไรนัก นับไปแล้ว พวกเขาเคยพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ถึงแม้แรกเริ่มเดิมทีเยี่ยหลีจะถือว่ามีบุญคุณกับโจวอวี้ แต่ว่ากันตามจริงแล้ว ตระกูลเยี่ยก็เป็นฝ่ายผิดก่อน ดังนั้นเยี่ยหลีจึงไม่เคยเก็บมาใส่ใจ คิดไม่ถึงว่า โจวอวี้จะจำได้มาโดยตลอด ทั้งยังไม่สนใจว่าตนจะเป็นอันตราย ยอมเป็นคนนำสารของฮว่ากั๋วกงมาให้

 

 

เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามา ทั้งสามก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพ “คารวะท่านอ๋อง พระชายา”

 

 

ม่อซิวเหยาโบกมือเป็นสัญญาณบอกว่าทั้งสามไม่ต้องมากพิธี เขาประคองเยี่ยหลีให้นั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนนั่งลงด้านข้าง แล้วเอ่ยถามว่า “เฟิ่งซาน เหตุใดยามนี้เจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ งานที่ปกติให้เจ้าทำ น้อยไปหรือ ส่วนโจวอวี้ เจ้าไม่สบาย?”

 

 

เพียงแค่มอง ม่อซิวเหยาก็ดูออกว่าสีหน้าโจวอวี้ดูหมองคล้ำ เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยสบาย

 

 

เมื่อได้ยินที่ม่อซิวเหยาพูด เฟิ่งจือเหยาก็แทบจะกระอักเลือดสดๆ ออกมาทันที ถลึงตาจ้องบุรุษที่พูดด้วยท่าทีสบายๆ และดูไม่สำนึกด้วยความเสียใจและโกรธเคือง

 

 

ตั้งแต่พระชายากลับมา บุรุษที่เดิมเคยขลุกตัวอยู่แต่กับงานทั้งวันทั้งคืนก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ละวันเวลาที่เสียไปกับงานจริงๆ จังๆ ไม่มีทางเกินสองชั่วยาม หลังอาหารเย็นก็ไม่มีทางไปที่ห้องหนังสือ วันๆ คอยแต่อยู่ข้างกายพระชายา ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ ไม่เพียงตนเองเท่านั้นที่ไม่ขยันทำงาน แต่ยังไม่อนุญาตให้พระชายาทำอีกด้วย พูดให้ดูดีก็เพื่อที่จะได้ดูแลซื่อจื่อน้อยในอนาคตของตำหนักติ้งอ๋องและนายน้อยในอนาคตของกองทัพตระกูลม่อ ดังนั้น คนที่เป็นลูกน้องอย่างเขา จะพูดอันใดได้

 

 

แต่เมื่อลูกน้องที่ทุ่มเททำงานจนเหนื่อยสายตัวแทบขาดต้องมาเผชิญหน้ากับผู้เป็นนายที่ทำตัวสบายๆ ไม่มีอันใดทำ ทั้งยังถูกสงสัยว่าว่างงานเกินไปอีก จะให้เขาทานทนได้อย่างไร