ตอนที่ 191-2 ผู้ว่าการหรู่หยาง

ชายาเคียงหทัย

เยี่ยหลีถลึงตาใส่ม่อซิวเหยาอย่างจนใจ อมยิ้มมองไปทางโจวอวี้แล้วเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าโจวไม่สบายหรือ”

 

 

โจวอวี้ยืดตัวขึ้นเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ยามนี้ข้าน้อยมิได้มีตำแหน่งอยู่ในราชสำนักแล้ว พระชายาเรียกข้าว่าโจวอวี้ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่บังเอิญเป็นหวัดเท่านั้น ทำให้ท่านอ๋องและพระชายาต้องเป็นห่วงแล้ว”

 

 

เฟิ่งจือเหยาเบ้ปากเอ่ยว่า “แค่บังเอิญเป็นหวัดเมื่อใดกัน เจ้านี้แทบจะเอาชีวิตเข้าแลกอยู่แล้ว ทุกคืนดึกดื่นเที่ยงคืนถึงจะยอมนอน ตอนข้าไปถึงเขาเป็นลมไปอยู่พอดี ข้าว่าท่านอ๋อง ยามนี้ท่านอารมณ์ดีแล้วใช่หรือไม่ หากใช่ มอบหมายตำแหน่งหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ในแต่ละพื้นที่ของซีเป่ยเสียทีดีหรือไม่”

 

 

เมื่อถูกเฟิ่งจือเหยาเปิดเผยความจริงเช่นนี้ โจวอวี้จึงก้มหน้าลงอย่างอับอาย

 

 

ม่อซิวเหยานั่งพิงเก้าอี้ เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “แต่งตั้งเจ้าหน้าที่? เจ้าไม่ได้ทำ?”

 

 

เฟิ่งจือเหยากัดฟันกรอด “ท่านอ๋อง ได้ข่าวว่าข้าเป็นเพียงรองแม่ทัพตัวเล็กๆ เท่านั้น”

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เจ้ากำลังบอกให้ข้าเลื่อนตำแหน่งให้เจ้า?”

 

 

“ม่อซิวเหยา! เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าอัดเจ้า?!” ในที่สุดเฟิ่งจือเหยาก็ระเบิดความโกรธออกมา ภาพลักษณ์คุณชายเจ้าเสน่ห์หายไปจนสิ้น

 

 

หลายเดือนมานี้เขาทำงานสายตัวแทบขาดด้วยความระมัดระวัง เจ้าบ้านี้จะไม่ซาบซึ้งใจสักนิดก็ช่างเถิด แต่นี่ตั้งแต่พระชายากลับมากลับยิ่งเลวร้ายหนักเข้าไปใหญ่ หากพวกเขามิได้โตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก เขาคงไม่มาคอยรับใช้เจ้านายที่จัดการยากเช่นนี้หรอก!

 

 

“เจ้าคิดจะอัดข้า?” ม่อซิวเหยาหรี่ตาหงส์ลงอย่างอันตราย

 

 

เฟิ่งจือเหยาอดกลืนน้ำลายลงเอื๊อกหนึ่งไม่ได้ แล้วหันมองไปทางเยี่ยหลี เขาไม่ใช่ไม่กล้าอัดม่อซิวเหยา ยามพวกเขาเป็นเด็กก็เคยตีกันแบบไม่มีคำว่าเจ้านายลูกน้องมาแล้ว แต่ปัญหาคือ…เขาสู้ไม่ได้เนี่ยสิ! ตั้งแต่ม่อซิวเหยาสำเร็จวิชา ทุกคราที่ตีกัน เขาจะต้องเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำเสมอ

 

 

“ซิวเหยา” เยี่ยหลีทนดูต่อไปไม่ได้ จึงจำต้องเอ่ยเรียกเขาเสียงเบา

 

 

ม่อซิวเหยานั่งตัวตรงขึ้น เอ่ยด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงานว่า “ข้ารู้แล้ว หลายวันก่อนสถานการณ์ค่อนข้างวุ่นวาย จึงไม่ทันได้จัดการเรื่องพวกนี้ สองวันนี้ข้าจะนำไปใคร่ครวญให้ดี ส่วนโจวอวี้ ช่วงที่ผ่านมาเจ้าจัดการเมืองหรู่หยางได้ไม่เลว เจ้าเป็นผู้ว่าการเมืองหรู่หยางไปก่อนก็แล้วกัน ไว้เดี๋ยวคัดเลือกคนที่มีความสามารถสักสามสี่คนมาช่วยเจ้า”

 

 

หลายเดือนมานี้ กิจการภายในกองทัพตระกูลม่อค่อนข้างวุ่นวาย เช่นว่าเรื่องการทดแทนในซีเป่ย ตั้งแต่เปลี่ยนถ่ายผู้ปกครองเป็นต้นมา ก็มีตำแหน่งที่ว่างลงจำนวนมาก ส่วนกองทัพตระกูลม่อ ถึงแม้จะมีคนมีความสามารถอยู่มากมาย แต่อย่างไรก็มิใช่เรื่องในราชสำนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขุนนางสายบู๊ ก็ไม่มีทางมีคนจำนวนมากพอที่รอมาทดแทนได้ ดังนั้นในหลายคราๆ คนหนึ่งคนจึงต้องดูแลถึงสองตำแหน่ง และบางครั้งก็ถึงขั้นใช้ขุนนางสายบู๊ไปรับตำแหน่งสายบุ๋น ส่วนสวีชิงเจ๋อที่มีทั้งความสามารถและเป็นคนที่ม่อซิวเหยาไว้ใจ ก็ถูกส่งไปหงโจวคอยควบคุมดูแลงานของทั้งสามเขตของซีเป่ยเลยทีเดียว และด้วยเพราะเหตุนี้ ตั้งแต่เยี่ยหลีกลับมาจนถึงยามนี้ จึงยังไม่ได้พบหน้าสวีชิงเจ๋อเลยแม้สักครั้ง

 

 

“ข้าน้อยขอบพระคุณที่ท่านอ๋องไว้ใจ” โจวอวี้ลุกขึ้นขอบคุณเขาอีกครั้ง

 

 

ทุกคนต่างเข้าใจกันเป็นอย่างดีว่า ขุนนางที่ติ้งอ๋องแต่งตั้งด้วยตนเองนั้นมีความหมายเช่นไร ตามกฎระเบียบแล้ว การแต่งตั้งขุนนางจะต้องกระทำโดยราชสำนัก แต่สิ่งที่ม่อซิวเหยาแสดงออกในยามนี้ ก็เป็นการบอกกรายๆ ว่า ซีเป่ยจะค่อยๆ แบ่งแยกออกจากราชสำนัก ซึ่งทำให้ในใจคนเกิดความรู้สึกขึ้นต่างๆ นานา บางคนดีใจ บางคนเป็นกังวล

 

 

“พักก่อนสักสองวัน ไว้สุขภาพแข็งแรงก่อนค่อยว่ากัน” เยี่ยหลีเอ่ยสำทับขึ้น หากสุขภาพพังเสียแล้ว อย่างอื่นคงไม่ต้องนึกถึง ยามนี้คนมีความสามารถในซีเป่ยขาดแคลนนัก ดูจากท่าทางของเฟิ่งจือเหยาและม่อซิวเหยาแล้ว โจวอวี้ถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็เป็นคนมีความสามารถ

 

 

โจวอวี้พยักหน้าเอ่ยว่า “ขอบพระคุณพระชายาที่เอ่ยเตือนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เสิ่นหยางที่นั่งอยู่มองค้อนพวกเขาด้วยความไม่พอใจ “ทุกท่านยังจำได้หรือไม่ว่าที่เรือนข้านี่มิใช่ห้องหนังสือที่เอาไว้พูดคุยเรื่องงาน”

 

 

ในสี่คนนั้นมีถึงสามคนที่ไม่แข็งแรง แต่กลับมาเอ่ยเรื่องสัพเพเหระต่อหน้าคนเป็นหมออย่างเขา

 

 

ดูเหมือนโจวอวี้จะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือเรือนของเสิ่นหยาง จึงรีบเก็บความยินดีและปลื้มปริ่มในใจลง หันไปเอ่ยกับเสิ่นหยางอย่างขอลุแก่โทษว่า “ข้าน้อยเสียมารยาท ท่านเสิ่นโปรดอภัยด้วย”

 

 

เสิ่นหยางโบกมือ ก่อนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา “ไปจัดยาเองก็แล้วกัน หากไม่อยากล้มพับอยู่กับเตียงจนลุกไม่ขึ้น ก็จัดการตัวเองให้มันดีๆ หน่อย” จากนั้นเขาก็ไม่สนใจท่าทีของโจวอวี้อีก

 

 

เขาหันไปมองสำรวจเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยา “ท่านอ๋องและพระชายามีตรงใดที่ไม่สบายหรือ”

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ตรวจชีพจรให้อาหลีก่อนก็แล้วกัน หลังจากนี้ไปช่วยตรวจชีพจรนางทุกๆ สามวัน ท่านเสิ่น รบกวนท่านแล้ว”

 

 

เสิ่นหยางเองก็รู้ดีว่า ยามนี้สุขภาพของพระชายาเป็นสิ่งสำคัญ จึงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ในใจเพียงคิดว่า แผนที่จะปิดเรือนเพื่อศึกษายาที่วางไว้ก่อนหน้านี้คงต้องเลื่อนไปอีกสักหน่อย อย่างน้อยก็รอให้พระชายาคลอดบุตรเสียก่อนค่อยว่ากัน

 

 

เมื่อตรวจชีพจรให้เยี่ยหลีแล้ว เสิ่นหยางก็เอ่ยว่า “สุขภาพของพระชายาถือว่าไม่เลว หลายเดือนมานี้ถึงแม้จะอ่อนแอไปบ้าง แต่หลังๆ มาก็ได้รับการดูแลที่ไม่เลว จะไม่ส่งผลอันใดต่อพระชายาอย่างแน่นอน เมื่อซื่อจื่อน้อยคลอดออกมาแล้ว อาจจะไม่แข็งแรงบ้าง แต่ก็สามารถบำรุงให้ดีได้” เพราะถึงอย่างไรช่วงหลายเดือนที่สำคัญที่สุดของเด็กน้อย ก็ดูเหมือนพระชายาจะอยู่ในช่วงที่ไม่ได้สติ อันที่จริงที่ยังสามารถรักษาบุตรไว้ได้ เสิ่นหยางก็ต้องชื่นชมในความสามารถด้านการแพทย์ที่เป็นเลิศของคนเป็นหมอแล้ว

 

 

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “จากนี้คงต้องรบกวนท่านเสิ่นแล้ว”

 

 

เสิ่นหยางดึงมือที่ตรวจชีพจรกลับ เลิกคิ้วเล็กน้อยเอ่ยถามว่า “หลายเดือนมานี้พระชายาคงได้พบท่านหมอที่ฝีมือไม่เลวทีเดียว ไม่รู้ว่าข้าน้อยจะขอดูใบยาของหมอท่านนั้นสักหน่อยได้หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีมิได้ว่าอันใด หยิบใบยาที่ก่อนหน้านี้ท่านหมอหลินจ่ายให้เพื่อบำรุงนางออกมา

 

 

เสิ่นหยางไม่สนใจสิ่งอื่น รีบรับมาจับพู่กันขึ้นจดทันที พร้อมเอ่ยชื่นชมว่าล้ำเลิศไม่หยุดปาก

 

 

เยี่ยหลีหัวเราะ เอ่ยว่า “ยามนี้ท่านหมอหลินก็อยู่ในจวนนี้ เขาเองก็อยากพบท่านเสิ่นเช่นกัน หากท่านเสิ่นพอมีเวลา ช่วยไปพบท่านหมอหลินที ทั้งสองท่านจะได้แลกเปลี่ยนวิชาความรู้กันได้”

 

 

เสิ่นหยางยินดีเป็นอย่างยิ่ง ปรบมือพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดีเหลือเกิน พรุ่งนี้ข้าน้อยจะต้องไปเยี่ยมเขาอย่างแน่นอน”

 

 

เยี่ยหลีหยิบขวนกระเบื้องเคลือบที่ท่านหมอหลินในมาเมื่อครู่ออกมา “นี่เป็นยาที่ท่านหมอหลินให้มาเมื่อครู่ ท่านเสิ่นช่วยดูทีว่าเอาไว้ทำอันใด”

 

 

เสิ่นหยางรับมาด้วยความระมัดระวัง ก้มหน้าลงดมพร้อมใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเทออกมาลองทาลงบนมือเล็กน้อย สังเกตอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “สิ่งนี้น่าจะเป็นยาวิเศษที่ใช้ทารอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นนานแล้ว ภายในมีส่วนผสมของหญ้าหลิงเซียงจำนวนมาก เป็นของดีที่หาได้ยากจริงๆ”

 

 

พูดจบ ยังได้หันไปมองม่อซิวเหยาที่ใส่หน้ากากอยู่ แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “นี่ไม่ใช่ให้พระชายาใช้ น่าจะให้ท่านอ๋องมากกว่ากระมัง ท่านอ๋องลองดูได้ ไว้อีกหน่อยข้าน้อยจะลองปรับเปลี่ยนสูตรยาสักเล็กน้อย ลองดูว่าจะได้ผลดีขึ้นหรือไม่”

 

 

“เสิ่น หยาง!” ม่อซิวเหยากัดฟันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง การที่ชายฉกรรจ์คนหนึ่งใส่ใจในเรื่องรูปร่างหน้าตาของตนมากเกินไป อย่างไรก็ทำให้เจ้าตัวรู้สึกขัดเขินไม่น้อย แต่ม่อซิวเหยาจำเป็นต้องยอมรับว่า เขาคาดหวังว่ายาตัวนี้จะได้ผลจริงๆ หากผมจะต้องขาวเช่นนี้ไปตลอดแล้ว เช่นนั้นอย่างน้อยเขาก็ควรมีใบหน้าที่สมบูรณ์พร้อม อาหลีจะได้ไม่โดนล้อเลียน

 

 

เสิ่นหยางไม่สนใจว่าม่อซิวเหยาจะโกรธเคืองหรือไม่ หัวเราะหึหึก่อนส่งขวดยาคืนให้กับเยี่ยหลี สำหรับเสิ่นหยางแล้ว ม่อซิวเหยาในยามนี้ ดูดีกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยทีเดียว ยามที่ผู้หนึ่งไม่สนใจแม้แต่ใบหน้าและร่างกายของตนเองนั้น บางคราก็แสดงให้เห็นว่าคนผู้นั้นไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่มีค่าพอให้สนใจอีกแล้ว ยามนี้เมื่อม่อซิวเหยายอมหันมาสนใจใบหน้าของตน อย่างน้อยก็บอกได้ว่า เขามีคนให้นึกถึง ของเพียงคนที่เขานึกถึงยังมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ยังมีความหวัง

 

 

เสิ่นหยางไม่รอให้ม่อซิวเหยาอาละวาด รีบโบกมือไล่พวกเขาออกไปทันที

 

 

เมื่อออกมาจากเรือนของเสิ่นหยาง โจวอวี้ก็ขอตัวลากลับออกไปจากจวน ก่อนกลับไปยังได้หันมองม่อซิวเหยาด้วยความประหลาดใจทีหนึ่ง เขาอายุยังน้อยนัก ดังนั้นเมื่อได้มาเห็นติ้งอ๋องที่มีชื่อเสียงสะท้านไปทั่วใต้หล้า ถูกท่านหมอทำให้โกรธจนหน้าเขียวทั้งยังถูกไล่ออกมาอย่างไม่ไยดีเช่นเดียวกับเขา ถึงอดรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยไม่ได้

 

 

เมื่อมองส่งโจวอวี้ไปแล้ว เยี่ยหลีถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “โจวอวี้อายุยังน้อย ให้เป็นผู้ว่าการหรู่หยางจะไหวหรือ” ผู้ว่าการทั้งหลายในเขตซีเป่ยทั้งคณะที่ถูกเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาไล่ตะเพิดไปนั้น เมื่อเทียบกับโจวอวี้ที่อายุเพิ่งครบยี่สิบปีดีแล้ว ดูจะอายุยังน้อยไปมาก

 

 

เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “เขามีความสามารถเพียงพอ อายุยังน้อยไม่สักหน่อยก็จริง แต่…สำหรับท่านอ๋องแล้ว เรื่องนี้คงไม่เป็นไรกระมัง”

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มเยาะ “มีความสามารถเพียงพอก็ใช้ได้แล้ว เจ้าพวกที่มัวแต่กินนอนรอวันตายนั่น รีบเก็บกวาดให้สะอาดเลย หากผู้ใดกล้ามีอันใดไม่พอใจ ให้มาพูดต่อหน้าข้า”

 

 

เฟิ่งจือเหยาพยักหน้ายิ้มด้วยความพอใจ “ท่านอ๋องพูดเช่นนี้ ก็จัดการได้ง่ายขึ้นเยอะ เพียงแต่โจวอวี้ถือเป็นคนของพระชายา เกรงว่าถึงเวลานั้น ตาเฒ่าพวกนั้นจะออกพร่ำบ่นว่าพระชายาเป็นสตรีอันใดทำนองนั้นกันอีก…”

 

 

ที่น่ารำคาญใจก็ตรงที่พวกเขามิอาจสังหารตาเฒ่าเหล่านั้นทั้งหมดได้ เพราะถึงอย่างไรการทำให้ประชาชนจิตใจสงบก็ถือเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญยิ่ง ตาเฒ่าพวกนั้นต่างเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดของซีเป่ย เช่นว่าเป็นบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงบ้างล่ะ ขุนนางตงฉินบ้างล่ะ คนใจดีมีเมตตาที่ช่วยเหลือสร้างถนนสร้างสะพานอันใดเทือกๆ นั้นบ้างล่ะ ซึ่งเขาทำอันใดคนเหล่านี้ไม่ได้เลยจริงๆ

 

 

คำพูดเหล่านี้ใช่ว่าก่อนหน้านี้เยี่ยหลีจะไม่เคยได้ยินมาก่อน นางได้ยินคำวิจารณ์ของคนแก่หัวโบราณเหล่านั้นมาตั้งแต่ตอนที่นางนำทัพไปทำศึกแล้ว

 

 

เยี่ยหลีคลี่ยิ้ม “ในเมื่อท่านอ๋องและเฟิ่งซานต่างเห็นว่าโจวอวี้มีความสามารถ เช่นนั้นก็เป็นเขาก็แล้วกัน ส่วนหากถ้าผู้เฒ่าเหล่านั้นมีความเห็นอันใด ก็ไม่ต้องไปหาท่านอ๋องหรอก ให้มาหาข้าโดยตรงเลยก็แล้วกัน”

 

 

เฟิ่งจือเหยากะพริบตาปริบๆ มองคู่สามีภรรยาคู่นี้แล้วได้แต่ก่ายหน้าผาก ให้แล้วไปก็แล้วกัน หากให้ตาเฒ่าพวกนั้นมารบกวนพระชายาจริง ท่านอ๋องคงได้ตัดหัวขาดแน่ เขาเคยได้เรียนรู้พลังของบัณฑิตผู้เลือดเย็นมาแล้ว ยามนี้นี่ยังไม่เท่าไร ไว้รอต่อไป…เฟิ่งจือเหยารู้สึกว่า นั่นต่างหากที่เป็นหายนะที่แท้จริง