ตอนที่ 319 ชะตาลิขิต

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

โจวเสาจิ่นจำได้ ตอนที่นางเดินทางไปเขาผู่ถัวเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้น ต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะเดินทางไปถึงเจิ้นเจียง

แต่นับตั้งแต่ตอนส่งจดหมายจนถึงเดินทางกลับมานี้หลี่จิ้งใช้เวลาสั้นๆ ไปเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เขาทำได้อย่างไรกัน

โจวเสาจิ่นอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง อดไม่ได้ที่จะยกชายกระโปรงขึ้นแล้วออกไปดู

หลี่จิ้งเหวี่ยงตัวลงมาจากม้า เหงื่อท่วมศีรษะ ทั้งร่างเต็มไปด้วยฝุ่น ใบหน้าขาวเนียนละเอียดนั้นคละเคล้าไปด้วยเหงื่อกับฝุ่น ทิ้งคราบไคลสีดำเป็นสายเอาไว้

เขาโยนแส้ม้าให้บ่าวที่ติดตามมาด้วย ม้าตัวนั้นน้ำลายฟูมปากและล้มลงไปบนพื้นด้วยเสียงอันดังครั้งหนึ่ง

หลี่จิ้งไม่แม้แต่จะมองเลยสักครั้ง เขาวิ่งตรงเข้ามาด้านในอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับตะโกนถามเสียงดังไปด้วยว่า “น้องสาวเจียเป็นอย่างไรบ้างๆ”

เต็มไปด้วยความขึงขังและดุร้ายอย่างไม่ยอมแพ้ ทำห้โจวเสาจิ่นถึงกับมองอย่างตะลึงงันไปชั่วขณะ

ทางด้านของเฉิงหลูเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เดินออกมา สีหน้ามืดครึ้มประหนึ่งจะสาดสายฝนลงมาได้

เขากล่าวตำหนิเสียงดังว่า “หลี่จิ้ง ข้าให้เกียรติเจ้าด้วยเห็นว่าเจ้าเป็นหลานชายของนายหญิงผู้เฒ่า แต่เจ้ากลับมาสอดแนมเรือนหลังของข้า หน้าด้านไร้ยางอาย แล้วยังกล้ามาส่งเสียงดังโหวกเหวกอยู่ที่นี่อีก หลี่เซิง เจ้ายังจะยืนทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้นทำอะไร ยังไม่ไล่คนออกไปอีก ใครเป็นคนเฝ้าเวรยามอยู่หน้าประตูใหญ่ ไปลากตัวมาโบยยี่สิบที”

หลี่เซิงผู้เป็นพ่อบ้านใหญ่ของจวนสามนั้นเป็นคนที่ติดตามนายหญิงผู้เฒ่าหลี่มาจากบ้านเดิม เป็นพี่ชายร่วมดื่มน้ำนมเดียวกับเฉิงหลู ส่วนหลี่จิ้งก็เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลหลี่ เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยความลำบากใจ ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ก้าวออกไปขวางหลี่จิ้งเอาไว้ กระซิบกล่าวเสียงค่อยว่า “คุณชายใหญ่ คุณหนูเจียไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ เพียงถูกแมลงกัดมาเท่านั้น ยังนอนไม่ได้สติ พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยให้ยาแล้ว กล่าวว่าอีกไม่นานก็ดีขึ้นแล้วขอรับ”

หลี่จิ้งไม่กล้าบุ่มบ่ามใจร้อน จับแขนของหลี่เซิงเอาไว้พลางถามอย่างร้อนรนว่า “น้องสาวเจียถูกแมลงกัดได้อย่างไร ยาของพระอาจารย์ซื่อฮุ่ยใช้ได้ผลหรือไม่ ข้ารู้จักท่านหมอที่บรรพบุรุษเคยเป็นหมอหลวงมาก่อนผู้หนึ่ง ต้องการให้เชิญท่านหมอผู้นั้นมาช่วยดูอาการสักหน่อยหรือไม่!”

ทว่าดวงตากลับมองไปยังเฉิงหลูที่ยืนอยู่ใต้ทางเดินแทน

หลี่เซิงอ้าปากพะงาบ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

สีหน้าของเฉิงหลูอึมครึม ไม่มองหลี่จิ้งเลยแม้แต่นิดเดียว ได้แต่กล่าวตำหนิหลี่เซิงผู้นั้นว่า “ยังไม่รีบไล่ไปอีก ที่นี่คือสถานที่อะไร คนที่ไม่เกี่ยวข้องจะเข้ามาได้หรืออย่างไร”

โจวเสาจิ่นตกอยู่ในภวังค์เล็กน้อย

นางจำได้ว่าชาติก่อนเคยมีใครสักคนบอกนางว่า ตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในลั่วหยาง เดิมทีบิดาของหลี่จิ้งเป็นทายาทผู้สืบทอดตระกูล แต่เสียชีวิตไปตอนที่หลี่จิ้งอายุสิบแปดปี เขาต้องต่อสู้กับบรรดาอาๆ ทั้งหลายทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผยถึงเจ็ดคน กระทั่งปู่เสียชีวิตไปตอนที่เขาอายุยี่สิบปี เขาถึงได้รับช่วงกิจการของตระกูลต่อและกลายเป็นผู้นำของตระกูลหลี่ในท้ายที่สุด

เป็นคนที่มีความสามารถเก่งกาจมากผู้หนึ่ง

ไม่ต้องพูดถึงเจ้าเมืองลั่วหยาง แม้แต่ผู้ว่าราชการจังหวัดของเหอหนานเมื่อเห็นเขาแล้วยังต้องเห็นแก่หน้าเขาอยู่หลายส่วน ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแถบภาคกลางเป็นอย่างมาก

ท่านลุงใหญ่หลูหมิ่นเกียรติเขาเช่นนี้ เขาจะสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปหรือไม่นะ

โจวเสาจิ่นกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง

มีความอับอายสายหนึ่งพาดผ่านดวงตาของหลี่จิ้ง ทว่าไม่มีแววตำหนิเลยแม้แต่นิดเดียว ในทางตรงกันข้ามกลับกล่าวขึ้นเสียงเบาว่า “ท่านอา ข้าไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น ข้าเพียงแต่เป็นห่วงน้องสาวเจียเท่านั้น ในเมื่อนางไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ ท่านอย่าได้โมโหเลย!”

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง

เห็นเฉิงหลูจ้องหลี่จิ้งอย่างรังเกียจครั้งหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “เจ้ายังไม่รีบไปอีก!”

ดวงหน้าของหลี่จิ้งเผยความผิดหวังออกมาให้เห็นเล็กน้อย ค้อมตัวทำความเคารพเฉิงหลูเงียบๆ แล้วค่อยๆ หมุนกายเดินออกไปด้านนอก

โจวเสาจิ่นทนไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง กระซิบสั่งชุนหว่านเสียงเบาว่า “เจ้าให้บ่าวชายตามไป จัดที่พักให้คุณชายใหญ่หลี่ได้ล้างตาล้างตาและพักผ่อนสักที่หนึ่ง หากทางด้านนี้มีข่าวคราวอะไร ข้าจะบอกเขาเอง”

ชุนหว่านรับคำแล้วออกไป

เนื่องด้วยเรื่องของเฉิงเจีย วัดกันเฉวียนจึงไม่ต้อนรับแขกมาตั้งแต่ช่วงบ่ายของเมื่อวาน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะให้แขกพักค้างคืน

หลี่จิ้งเดินทางไปเจิ้นเจียงยังทิ้งพ่อบ้านเอาไว้ให้เฉิงเจียใช้งานผู้หนึ่ง แล้วเฉิงเจียยังป่วยอยู่เช่นนี้ หลี่จิ้งจะจากไปอย่างวางใจได้อย่างไร

แต่ถ้าเขาอยากจะพักค้างคืน คงได้แต่ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่เป็นสินบนให้ผู้ดูแลแขกของทางวัดเสียแล้ว นอกจากนี้ยังรับประกันไม่ได้ว่าจะมีห้องข้างขนาดกว้างขวางให้เขาสักห้องหรือไม่

ชาติก่อนหลี่จิ้งทำเพื่อเฉิงเจียไปมากมายแล้ว ชาตินี้นางช่วยอะไรเขาได้ก็ช่วยเขาสักครั้งก็แล้วกัน

โจวเสาจิ่นกลับไปแจ้งข่าวให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัว

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจครั้งหนึ่ง ทว่าไม่ได้พูดอะไร

ถึงเวลารับประทานอาหารเช้า ก็มีเสียงดังออกมาจากห้องข้างที่จวนสามพักอยู่

โจวเสาจิ่นได้ยินเสียงโกรธจัดของเฉิงหลูดังขึ้น “…เจ้าลองเอ่ยคำพูดที่ไม่รู้จักละอายเช่นนั้นมาอีกสักประโยคดู! ข้าจะเรียกทางการมาจับหลี่จิ้งคนต่ำต้อยผู้นั้นส่งไปให้ทางการเสียเดี๋ยวนี้…” แล้วก็มีเสียงของสตรีที่น่าจะเป็นเสียงของเจียงซื่อกล่าวปลอบโยนเบาๆ ผสมปนเปกับเสียงร่ำไห้ที่แทบจะไม่ได้ยินอยู่ด้วย

นางอดไม่ได้เดินออกไป

มีเสียงแหลมของเฉิงเจียดังออกมา “…ข้าจะแต่งกับเขา! ข้าต้องการแต่งกับเขาเท่านั้น! หากท่านมีความสามารถก็ส่งข้าเข้าไปด้วยอีกคนก็แล้วกัน ข้าจะหนีไปกับเขา…ต่อให้เขาไม่ต้องการข้าข้าก็ยอม…เพราะข้าชอบเขา…”

โจวเสาจิ่นตกใจจนหน้าถอดสี

คำพูดเช่นนี้เฉิงเจียยังกล้าพูดออกมา!

นี่ถ้าหากผู้อื่นได้ยินเข้า ชื่อเสียงของเฉิงเจียคงได้จบสิ้นแล้ว

นางรีบหันไปมองรอบๆ บ่าวรับใช้หลายคนที่อยู่รับใช้ต่างหลบออกไปแล้ว นางถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอกไปครั้งหนึ่ง

แต่ใครจะรู้ว่าเพิ่งถอนหายใจเสร็จ ก็มีเสียงทุ้มต่ำของบุรุษดังมาจากด้านหลังของนาง “น้องสาวตระกูลโจว เรื่องในวันนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก!”

ด้วยอารามตกใจ โจวเสาจิ่นเกือบจะกรีดร้องออกมาแล้ว

โชคดีที่นางกลัวว่าจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวนตกใจ จึงฝืนควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ หมุนกายกลับไปพร้อมกับถอยออกไปหลายก้าวติดๆ กัน ถึงได้มองเห็นชัดว่าเป็นหลี่จิ้ง และหยุดฝีเท้าลงยืนอย่างมั่นคง

ช่างเป็นการที่คนทำให้คนตกใจกลัวจนเกือบจะตายได้เลยจริงๆ!

นางลูบอกตัวเอง กล่าวขึ้นอย่างไม่ค่อยชอบใจว่า “คุณชายใหญ่หลี่ ท่านเอาแต่พรวดพราดเข้ามาในสถานที่พักของสตรีเช่นนี้ คงไม่ค่อยดีนักกระมัง”

คำพูดที่แรงกว่านี้ นางไม่อาจพูดออกมาได้

นอกจากนี้ถึงแม้นางจะมีชีวิตมาสองชาติภพก็ตาม ทว่าก็อาศัยอยู่แต่ในห้องหอตลอดไม่ค่อยได้พบเจอผู้คนนัก นางจึงไม่เก่งเรื่องกล่าวทักทายกับบุรุษข้างนอกนัก

ดวงหน้าของหลี่จิ้งเผยแววขอลุแก่โทษออกมาให้เห็น

โจวเสาจิ่นถึงได้สงบสติอารมณ์ลงมา อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจกล่าวว่า “ท่านเข้ามาได้อย่างไรหรือเจ้าคะ”

ดูจากท่าทางแล้วหลี่จิ้งได้ล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ไม่เพียงล้างจนเนื้อตัวสะอาดสะอ้านเท่านั้น ยังเปลี่ยนมาสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมหังโจวสีดำตัวหนึ่งอีกด้วย ดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าและปราดเปรียวมีไหวพริบ

หลี่จิ้งเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “ข้าบอกไปว่าตัวเองเป็นญาติของตระกูลเฉิง แล้วก็บริจาคเงินค่าธูปและน้ำมันไปจำนวนหนึ่ง พวกเขาก็เลยไม่ขวางทางข้าอีก”

เจ้าพระที่พอเห็นเงินก็ตาโตพวกนี้!

โจวเสาจิ่นกร่นด่าอยู่ในใจ

ทว่าสีหน้าของหลี่จิ้งกลับไม่เปลี่ยน กล่าวขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอความช่วยเหลือจากน้องสาวตระกูลโจว ขอน้องสาวตระกูลโจวได้โปรดช่วยเหลือด้วย!”

ขณะที่เขากล่าว ก็โค้งตัวคำนับไปด้วย

โจวเสาจิ่นเบี่ยงตัวหลบออกมาสองก้าว กล่าวขึ้นอย่างระแวดระวังว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายใหญ่หลี่มาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือได้หรือไม่…”

หลี่จิ้งรีบกล่าวขึ้นว่า “ก็มิใช่เรื่องอะไร ข้าเพียงอยากให้น้องสาวตระกูลโจวช่วยไปสืบให้ข้าสักหน่อย ดูว่าอาการบาดเจ็ดของน้องสาวเจียเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ยาของพระอาจารย์ซื่อฮุ่ยใช้ได้ผลหรือไม่ แล้วต่อไปยังมีเรื่องสำคัญอะไรหรืออาการข้างเคียงอะไรอีกหรือไม่”

นี่เป็นเรื่องง่าย

โจวเสาจิ่นโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง มองไปยังห้องที่เฉิงเจียพักอยู่ครั้งหนึ่งอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “ท่านมีแผนอะไรหรือ”

หลี่จิ้งฟังแล้ว สายตาก็มองไปยังห้องที่เฉิงเจียพักอยู่ด้วยเช่นกัน ครุ่นคิด เอ่ยขึ้นอย่างตรึกตรองว่า “ความจริงแล้วข้ารู้สึกเสียใจมากจริงๆ…”

นี่หมายความว่าอย่างไร

หรือว่าจะเสียใจที่ได้รู้จักเฉิงเจียอย่างนั้นหรือ

โจวเสาจิ่นมีสีหน้าคาดไม่ถึง

หลี่จิ้งกลับเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกผิดว่า “วันนั้นน้องสาวเจียให้ข้าพานางหนีไป แต่ข้าคิดว่าสถานการณ์ยังพอมีทางออกอยู่ ยังไม่ถึงกับต้องทำถึงขั้นนั้น จึงปฏิเสธนางไปอย่างเด็ดขาด…ยังกล่าวกับนางอีกด้วยว่า ขอให้นางเชื่อมั่นในตัวข้า ข้าจะต้องหาวิธีทำให้ท่านอากับท่านอาสะใภ้เห็นด้วยให้ได้…ต้องเป็นเพราะว่านางไม่มีหนทางแล้วจริงๆ แล้วก็เพราะเห็นว่าข้าไม่เห็นด้วย ถึงได้แอบไปหาข้า…”

โจวเสาจิ่นนิ่งเงียบ

นางเชื่อว่าการอนุมานของหลี่จิ้งนั้นถูกต้อง

ไม่อย่างนั้นตอนที่พบตัวเฉิงเจียนั้นไม่มีทางที่ข้างกายของนางจะมีสาวใช้อย่างชุ่ยหวนติดตามอยู่เพียงผู้เดียว นอกจากนี้พวกนางซ่อนตัวอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง หากมิใช่เพราะชุ่ยหวนได้ยินเสียงคนตามมาช่วยเหลือ ก็คงหาตัวพวกนางไม่เจอแล้ว

หลี่จิ้งเคยได้ยินชื่อเสาจิ่นจากปากของเฉิงเจียมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จึงทราบว่าเด็กสาวรูปร่างบอบบางและหน้าตางดงามตรงหน้าเขาผู้นี้คือสหายสนิทที่สุดของเฉิงเจีย

สาเหตุที่เขาปฏิเสธที่จะพาเฉิงเจียหนีไปเช่นนั้นก็เพราะว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์มากกว่าเฉิงเจีย เขาไม่ปรารถนาให้เฉิงเจียต้องตกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ทุกข์ใจของการต้องเลือกระหว่างจะเลือกบิดามารดาหรือจะเลือกสามี

แต่ในความเป็นจริงแล้วสุดท้ายเฉิงเจียก็ยังคงต้องตกเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ทุกข์ใจดังกล่าวอยู่ดี

เวลานี้โจวเสาจิ่นจึงกลายเป็นคนที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากขึ้นมา กล่าวคือเนื่องจากไร้ซึ่งตระกูลมารดาแล้ว จึงไม่อาจให้ไม่เหลือแม้แต่ญาติสักคน โดยเฉพาะคนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กอย่างโจวเสาจิ่น นอกจากนี้โจวเสาจิ่นยังยืนอยู่ข้างเดียวกับเฉิงเจียมาโดยตลอด เขาจึงยิ่งต้องเอาชนะใจนางให้ได้

หลี่จิ้งเป็นคนเด็ดเดี่ยวผู้หนึ่ง ไม่นานเขาก็เก็บอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว กล่าวขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “น้องสาวตระกูลโจว ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะพาน้องสาวเจียหนีไปด้วยกัน! ด้วยเหตุนี้ถึงได้ให้เจ้าช่วยไปสืบดูอาการป่วยของนางให้สักหน่อย หากอาการป่วยของนางไม่น่าเป็นห่วงแล้ว ข้าจะไปขอยาจากซื่อฮุ่ยนำติดตัวไปด้วยสักสองสามชุด แต่ถ้าอาการป่วยของนางยังต้องพักฟื้นต่ออีก เช่นนั้นข้าก็จะรออีกสักสองสามวัน…ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะพานางไปด้วยกันให้ได้ ข้าไม่อาจปล่อยให้นางเผชิญเปลวไฟแห่งความโกรธของท่านอาเพียงลำพังได้ เรื่องนี้ข้าเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน!”

ฟังจากน้ำเสียงของเขาก่อนหน้านี้โจวเสาจิ่นก็พอจะคาดเดาบางอย่างได้รางๆ แล้ว แต่พอมาได้ยินจริงๆ ก็อดตกใจเป็นอย่างมากไม่ได้ ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ตบแต่งกันไปเป็นภรรยา หนีตามกันไปเป็นอนุ! ท่านเคยคิดถึงเรื่องนี้หรือไม่”

หลี่จิ้งยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิ เอ่ยขึ้นว่า “ก็เพียงทะเบียนสมรสใบหนึ่งเท่านั้น! ต่อให้เจ้าเมืองจินหลิงทำให้ไม่ได้ เจ้าเมืองลั่วหยางก็ทำให้ไม่ได้ด้วยอย่างนั้นหรือ ซอยจิ่วหรูไม่ยอมให้ทำ ซอยซิ่งหลินก็จะไม่ยอมด้วยอย่างนั้นหรือ หรือถ้ายังไม่ได้ผลอีก ก็ยังมีที่ซอยซวงอวี๋อยู่อีกนี่นา!”

ซอยซิ่งหลินคือสถานที่ที่เฉิงจิงพักอาศัยอยู่

ส่วนซอยซวงอวี๋คือสถานที่ที่เฉิงเซ่าพักอาศัยอยู่

ดูทีว่าหลี่จิ้งคงจะวางแผนเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว

โจวเสาจิ่นนึกถึงความดีที่หลี่จิ้งมีต่อเฉิงเจียในชาติก่อน ท้ายที่สุดก็เผยรอยแย้มยิ้มสายหนึ่งออกมา กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าจะไปสืบความมาให้ท่าน ท่านรอข่าวจากข้าก็พอ!”

หลี่จิ้งโค้งตัวคำนับนางอีกครั้งหนึ่ง

โจวเสาจิ่นรีบกลับไปที่ห้องข้าง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามนางว่า “ทางโน้นเป็นอย่างไรบ้าง”

โจวเสาจิ่นไม่อยากโกหกฮูหยินผู้เฒ่ากัว กระซิบกล่าวเสียงค่อยว่า “ข้า…ข้ายังไม่ได้ไปดูเจ้าค่ะ พอดีว่าได้พบกับหลี่จิ้งในลานบ้านโดยบังเอิญ เขามีเรื่องต้องการขอร้องข้า…ข้ารับปากไปแล้ว แต่ก็กลัวว่าท่านจะโกรธ…”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะฮ่า ชี้ไปที่เก้าอี้กระเบื้องเคลือบทรงกลมตรงหน้าพร้อมกับให้ปี้อวี้ไปตักโจ๊กขาวมาเติมให้โจวเสาจิ่นอีกครึ่งถ้วย เอ่ยขึ้นว่า “ก็คงไม่พ้นเรื่องตัดสินใจหนีไปกับเฉิงเจีย นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังจะมีเรื่องอะไรอีกได้”

โจวเสาจิ่นเต็มไปด้วยอาการตกตะลึง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ชีวิตนี้ข้าพบเห็นเรื่องราวมาตั้งเท่าไรต่อเท่าไรแล้ว! เจ้าอยากจะทำอะไรก็ทำไปเถิด ไม่ต้องสนใจข้า! ข้ารังเกียจจวนสามมาโดยตลอด ปล่อยให้พวกเขาวุ่นวายกันไปเองก็แล้วกัน หลี่จิ้งมีความสามารถซื้อตัวคนของวัดกันเฉวี่ยน แล้วก็ยังซื้อตัวคนข้างกายของหลี่ซื่อได้ ส่วนเฉิงเจียด้วยคิดจะหนีไปกับหลี่จิ้งแต่ก็กลัวว่าจะทำให้เจ้าลำบากไปด้วย ก็เลยทำเมินเฉยเจ้ามาตลอด จึงเป็นไปได้ที่หลี่จิ้งผู้นี้จะเจาะจงเลือกเจ้า เจ้าช่วยเหลือพวกเขาเล็กๆ น้อยๆ ครั้งหนึ่ง แล้วก็ไม่ต้องทำให้จวนสามโกรธด้วย เฉิงเจียเองก็นับว่าติดหนี้น้ำใจเจ้าแล้วครั้งหนึ่ง นี่ถือเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง!”

โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโพลง กว่าครู่ใหญ่ถึงได้โพล่งประโยคหนึ่งออกมาว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านช่างเก่งกาจจริงๆ เจ้าค่ะ! ข้าว่าเรื่องบนโลกใบนี้ต้องไม่มีอะไรที่เล็ดลอดไปจากสายตาของท่านได้เป็นแน่เจ้าค่ะ”