ตอนที่ 320 ประนีประนอม

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

คำพังเพยกล่าวเอาไว้ได้ดีว่า ไม่ว่ากี่พันกี่หมื่นความบุบสลาย แต่การประจบเอาใจมิเคยบุบสลาย

ยิ่งไปกว่านั้นโจวเสาจิ่นยังกล่าวออกมาได้อย่างจริงใจเป็นอย่างยิ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “หากเป็นตอนที่ข้าอายุยังน้อยอยู่คงกล้ารับคำพูดประโยคนี้ของเจ้า เพียงแต่ว่าตอนที่นายท่านผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่นั้นมักบ่นว่าข้าชอบสร้างปัญหา ไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น ด้วยเรื่องนี้ข้ายังเคยทะเลาะกับนายท่านผู้เฒ่าครั้งใหญ่อีกด้วย ตอนนี้อายุมากแล้ว กำลังวังชาไม่ดี เวลาจะทำอะไรขึ้นมาก็มักจะหลงๆ ลืมๆ อยากจะยุ่งก็ทำไม่ไหวแล้ว และก็คร้านจะยุ่งด้วย เห็นได้ชัดว่าเรื่องต่างๆ บนโลกใบนี้ล้วนไม่เที่ยงเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เรื่องที่เมื่อก่อนเคยคิดว่ายิ่งใหญ่มาก เมื่อผ่านไปสักสองสามปีแล้วหันกลับไปมอง ก็เดินผ่านมันมาแล้ว และเมื่อผ่านไปอีกหลายสิบปีแล้วหันกลับไปมอง มันก็เพียงแค่นี้เท่านั้น ฉะนั้นชีวิตนี้ควรจะทำใจให้สบายแล้วใช้ชีวิตอย่างมีความสุขจะดีกว่า”

โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าสิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวมานี้มีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง

ชาติก่อน นางต้องประสบกับเรื่องราวมากมาย จึงคิดแต่ว่าอยากจะตายไปเสีย

แต่ต่อมาด้วยกลัวว่าพี่สาวจะเสียใจ กลัวพี่สาวจะต้องแบกรับความอับอายและเสียชื่อ นางจึงค่อยๆ ยอมรับมัน จนผ่านมันมาได้และมีชีวิตต่อไปอีกสิบกว่าปี

นางอยู่คุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวอีกสองสามประโยค จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็เร่งให้นางรีบไปจัดการธุระของตัวเอง “…หลานเจียมีเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ เวลานี้คงอยากหาคนสนิทสักคนเพื่อพูดคุยความในใจด้วยเป็นแน่ เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนนางเถิด จะได้ปลอบให้นางสงบใจลงด้วย อย่าเอาแต่วิ่งพล่านไปทั่วอย่างไม่ใช้หัวคิดเช่นนี้ ครั้งนี้ถือเป็นโชคดีของนาง แต่ชีวิตของคนเรานี้มิอาจเอาแต่พึ่งพาโชคดีได้ เจ้าเอาคำพูดของข้าประโยคนี้ไปบอกนางด้วย จะฟังหรือไม่ฟังนั้นก็ต้องแล้วแต่นางแล้ว”

ฮูหยินผู้เฒ่าช่างสมกับเป็นแบบฉบับของคนที่แข็งนอกอ่อนในจริงๆ

โจวเสาจิ่นรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใกล้ชิดกับฮูหยินผู้เฒ่ามากยิ่งขึ้น กอดแขนของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้พร้อมกับเอ่ยเสียงนุ่มว่า “อื้อ” ออกมาเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “ข้าไปประเดี๋ยวเดียวแล้วจะรีบกลับมาเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเด็ดเดี่ยวมั่นคงมาตลอดจนชิน ไม่มีบุตรสาว ถึงแม้หลานสาวทั้งสามคนจะเติบโตมาจากการเลี้ยงดูของนาง เฉิงเจิงเป็นคนเคร่งขรึมจริงจัง เฉิงเซียวเป็นคนไว้เนื้อไว้ตัว ส่วนเฉิงเซิงเป็นคนน่ารักมีเสน่ห์ แต่ก็ไม่มีสักคนที่ตรงไปตรงมาทว่าก็ทำให้คนเอ็นดูรักใคร่ได้เหมือนโจวเสาจิ่น จึงอดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของนางแล้วให้สื่อมามาออกไปส่งนางที่ประตู

สื่อมามายิ้มให้โจวเสาจิ่นมากกว่ารอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของโจวเสาจิ่นถึงสองส่วน

เวลามีแขกมาที่บ้าน ต้องเป็นภรรยาผู้มีหน้าที่จัดการหน้าที่ภายในเรือนถึงจะมีคุณสมบัติพอให้นางต้องเดินออกไปส่ง คุณหนูรองเพียงออกไปดูคุณหนูเจียเท่านั้น ก็ให้นางเดินออกมาส่งแล้ว เมื่อก่อนก็เป็นคุณหนูเจิงที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ มาวันนี้คุณหนูรองก็ได้รับโอกาสเทียบเท่าคุณหนูเจิงแล้ว

นางเลิกผ้าม่านขึ้นให้โจวเสาจิ่นด้วยตัวเอง

โจวเสาจิ่นไม่ได้ใส่ใจถึงเรื่องนี้

ในใจของนางเต็มไปด้วยเรื่องของเฉิงเจีย

ควรจะเล่าแผนการของหลี่จิ้งให้เฉิงเจียฟังดีหรือไม่

หากนางทราบเรื่องแล้วจะเก็บอาการไม่อยู่จนเผยความลับออกมาหรือไม่

ถ้าหากอาการป่วยของนางยังต้องรักษาต่อไปอีก หลี่จิ้งปล่อยให้นางรักษาอาการป่วยอยู่ที่ซอยจิ่วหรู จะทำให้เสียเวลา และทำให้เฉิงเจียกับบุตรชายของเจ้าเมืองอะไรผู้นั้นหมั้นหมายกันจนสำเร็จหรือไม่

ในกรณีที่หมั้นหมายกันสำเร็จแล้ว หลี่จิ้งจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

โจวเสาจิ่นรู้สึกปวดขมับ ได้แต่คาดหวังให้เฉิงฉือรีบกลับมา

หากท่านน้าฉือกลับมา นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว!

สาวใช้ที่เฝ้าเวรยามอยู่ที่ประตูเลิกผ้าม่านขึ้นให้นางเดินเข้าไปในห้องข้างที่จวนสามพักอยู่

ห้องข้างห้องนี้มีขนาดสามห้องกั้น ห้องโถงหนึ่งห้องและห้องส่วนตัวอีกสองห้อง นายหญิงผู้เฒ่าหลี่พักอยู่ด้านหนึ่ง ส่วนเฉิงเจียกับเจียงซื่อพักอยู่อีกด้านหนึ่ง เนื่องจากเป็นที่พักของสตรี เฉิงหลูจึงไปพักที่อื่น

ตอนที่โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปนั้นเฉิงหลูกับเฉิงเจียเพิ่งทะเลาะกันเสร็จ เขานั่งหน้าถมึงทึงอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนในห้องโถง ส่วนเจียงซื่อนั่งนัยน์ตาแดงก่ำอยู่ตรงข้ามเขา พอเห็นโจวเสาจิ่น เฉิงหลูฝืนตัวหันมาพยักหน้าให้นาง ส่วนเจียงซื่อเอ่ยขึ้นอย่างอึดอัดใจเล็กน้อยว่า “ขอบใจเจ้ามากที่มาเยี่ยมนาง! ลูกเจียไม่ค่อยดีนัก เพิ่งหลับไป…”

หรือความหมายอีกนัยก็คือต้องการไล่แขกนั่นเอง

โจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำ

เฉิงหลูไม่ได้กล่าวอะไร

คงกลัวว่าเฉิงเจียจะเผลอพูดอะไรออกมาจนหมดประหนึ่งเทเมล็ดถั่วออกมาจากปล้องไม้ไผ่แล้วทำให้พวกเขารู้สึกเสียหน้ากระมัง

ถ้าหากเป็นยามปรกติ โจวเสาจิ่นคงหันหลังกลับออกไปแล้ว แต่เมื่อนึกถึงคำขอร้องของหลี่จิ้ง นางจึงทำหน้าหนายืนอยู่ที่เดิม เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ในเมื่อพี่สาวเจียหลับไปแล้ว ข้าจะไม่พบนางแล้วก็แล้วกันเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าอาการบาดเจ็บของพี่สาวเจียเป็นอย่างไรบ้าง ยังจำเป็นต้องใช้ยาของพระอาจารย์ซื่อฮุ่ยรักษาต่อไปอีกหรือไม่เจ้าคะ”

คำถามเหล่านี้ถามอย่างแฝงความนัยเอาไว้เล็กน้อย

ทำให้เฉิงหลูกับเจียงซื่อต่างคาดเดาว่าเป็นฮูหยินผู้เฒ่ากัวให้นางมาสอบถาม

เจียงซื่อจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลูกเจียไม่เป็นอะไรแล้ว พระอาจารย์ซื่อฮุ่ยเพิ่งมาดูอาการไปเมื่อครู่ สั่งยาให้อีกหนึ่งชุด บอกว่าหลังจากกินยาชุดนี้หมดก็หายดีแล้ว ท่านลุงใหญ่หลูของเจ้ากำลังเตรียมจะไปหารือกับฮูหยินผู้เฒ่าเรื่องจะเดินทางกลับซอยจิ่วหรูในวันมะรืนนี้”

เช่นนั้นก็ดี!

โจวเสาจิ่นรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อนนะเจ้าคะ!”

แต่ใครจะรู้ว่าคำพูดของนางเพิ่งจะจบลง ก็มีเสียงของเฉิงเจียดังออกมาจากภายในห้องว่า “เสาจิ่น ข้าตื่นแล้ว! เจ้าเข้ามาคุยเป็นเพื่อนข้าเถิด” ยังกล่าวอีกว่า “ข้ากับเสาจิ่นเปรียบเสมือนพี่น้องกัน อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในจวนเดียวกัน ปิดบังได้ช่วงหนึ่งแต่ไม่อาจปิดบังไปได้ตลอดทั้งชีวิต พวกท่านทำเช่นนี้จะมีความหมายอะไร”

“เจ้า…” เจียงซื่อได้ยินแล้วก็เกือบจะกระโดดพรวดขึ้นมา ทว่าถูกเฉิงหลูจับเอาไว้พร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “เจ้าพูดให้น้อยลงสักสองประโยคจะได้หรือไม่!”

เจียงซื่อหันศีรษะหนีไปทางอื่นอย่างขุ่นเคือง

เฉิงเจียเอนตัวนอนอยู่บนเตียงเงียบๆ สีหน้าเหลืองซีด ร่างกายดูผ่ายผอมและซีดเผือด

นางหันศีรษะมากล่าวกับโจวเสาจิ่นด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นว่า “เจ้าคงรู้สึกว่าข้าโง่เขลามากเป็นแน่ ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าข้าจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้เช่นกัน แต่เพียงข้าคิดว่าต้องแต่งกับผู้อื่น ต้องใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น ข้าก็ทนไม่ได้อีกต่อไปแม้แต่วินาทีเดียว ต่อให้ข้าต้องปีนขึ้นภูเขาดาบหรือลงทะเลเพลิงข้าก็ยอม…”

โจวเสาจิ่นเดินเข้าไปหาช้าๆ นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียง สั่งให้สาวใช้เด็กที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ไปขอถั่วเขียวต้มเย็นๆ มาให้นางสักถ้วย พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “…อากาศร้อนยิ่งนัก!”

ก็เพียงนำความไปแจ้งที่หน้าประตูเท่านั้น

สาวใช้เด็กไม่ได้สงสัยเป็นอื่น รับคำยิ้มๆ แล้วถอยออกไป

โจวเสาจิ่นกล่าวขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “หลี่จิ้งต้องการพาเจ้าหนีไป แต่ก็กลัวว่าอาการป่วยของเจ้าจำเป็นต้องใช้ยาของซื่อฮุ่ยรักษาเท่านั้น เจ้าคิดหาวิธีเอายามาไว้ในมือให้ได้ ข้าจะไปแจ้งหลี่จิ้งให้ทราบ”

ขอบตาของเฉิงเจียพลันรื้นชื้นจนพร่ามัว จับมือของโจวเสาจิ่นเอาไว้แน่น กล่าวขึ้นว่า “เสาจิ่น ชีวิตนี้ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว!”

โจวเสาจิ่นยิ้มน้อยๆ แต่ก็ยังคงกล่าวขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ว่า “จะคุ้มค่าหรือไม่”

“คุ้มค่า!” เฉิงเจียกล่าว ใบหน้าที่เคยห่อเหี่ยวและเหลืองซีดราวกับได้ฉาบทาเคลือบด้วยแสงเปล่งปลั่งอันสุกสกาวชั้นหนึ่งก็ไม่ปาน “ถึงแม้ว่าต่อไปจะถูกเขาละทิ้งเอาไว้อย่างไม่แยแส แต่ข้าก็ได้รู้ว่าเวลานี้เขาจริงใจกับข้าจริงๆ”

โจวเสาจิ่นมีชีวิตมาสองชาติภพ แต่ไม่เคยมีความรู้สึกร้อนแรงเช่นนี้มาก่อน

หรือควรจะกล่าวว่า ไม่เคยมีความคิดกล้าหาญเช่นนี้มาก่อน

นางนึกถึงคำพูดของจี๋อิ๋งขึ้นมาอีกครั้ง

จะมีชีวิตอย่างเสแสร้งแกล้งทำเพื่อรักษาชื่อเสียงอันดีงามเอาไว้ไปตลอดชีวิต หรือจะใช้ชีวิตอย่างอิสระตามที่ใจปรารถนา…

โจวเสาจิ่นเริ่มตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง

สาวใช้เด็กที่นำความไปแจ้งกลับมาแล้ว นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง ถั่วเขียวต้มของท่านจะมาถึงในไม่ช้านี้เจ้าค่ะ”

โจวเสาจิ่นกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเกือบลืมไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเคยย้ำกำชับกับข้าว่าช่วงฤดูร้อนให้ข้าอย่ากินของอะไรที่เย็นๆ เอาเป็นว่าไม่รับแล้วก็แล้วกัน”

นางไม่อยากอยู่ในห้องของเฉิงเจียนานเกินไป

คาดว่าเมื่อหลี่จิ้งได้รับข่าวจากนางก็คงจะเริ่มลงมือเลย หากนางอยู่ที่นี่นานเกินไป หลังจากเกิดเรื่องแล้วคงไม่พ้นถูกเจียงซื่อสงสัยเอาได้

นางไม่กลัวหากเจียงซื่อจะสงสัย แต่นางกลัวว่าจะทำให้จวนหลักต้องลำบากไปด้วย

โจวเสาจิ่นลุกขึ้นกล่าวอำลา

เฉิงเจียจับมือของนางเอาไว้พร้อมกับขอร้องนางว่า “เจ้าช่วยดูแลชุ่ยหวนให้ข้าได้หรือไม่!”

นางยังนอนป่วยอยู่บนเตียง หลี่จิ้งพานางออกไปได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว คงไม่อาจพาชุ่ยหวนไปด้วยได้

นอกจากนี้โจวเสาจิ่นก็มิใช่ญาติผู้ยากไร้ที่มาอาศัยอยู่กับตระกูลเฉิง นางมีบ่าวรับใช้ของตระกูลโจวอยู่ข้างกาย จึงน่าจะปกป้องชุ่ยหวนได้

โจวเสาจิ่นพยักหน้า กลับไปยังห้องข้างที่ที่นางกับฮูหยินผู้เฒ่ากัวพักอยู่

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกำลังสนทนาอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่ากวน “…ไม่ว่าอาการป่วยของหลานเจียจะเป็นอย่างไร ข้าก็เตรียมจะออกเดินทางกลับในอีกประเดี๋ยวนี้อยู่ดี พวกเขาเอาแต่ทะเลาะโหวกเหวกโวยวายกันทั้งวันเช่นนี้ ข้าปวดหัว”

ฮูหยินผู้เฒ่ากวนเองก็กำลังคิดจะหนีไปเหมือนกัน คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวตรงกับความต้องการของนางพอดี จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าจะกลับพร้อมกับท่านเจ้าค่ะ!”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้า

โจวเสาจิ่นก้าวเข้าไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่ากวน

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวจึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ามาพอดี ข้าให้พวกบ่าวรับใช้ไปเก็บข้าวของแล้ว เจ้าไปที่จวนสามอีกครั้งหนึ่ง ไปกล่าวอำลาพวกนางแทนข้า”

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จวนสามก็จะยิ่งคิดว่าโจวเสาจิ่นได้รับคำสั่งของฮูหยินผู้เฒ่ากัวไปสอบถามอาการป่วยของเฉิงเจีย

นัยน์ตาของโจวเสาจิ่นดูคลุมเครือเล็กน้อย ขานรับคำเบาๆ ว่า “เจ้าค่ะ” แล้วไปที่จวนสาม

คนของจวนสามคิดเช่นนั้นจริงๆ

กระทั่งโจวเสาจิ่นและคนอื่นๆ เก็บของกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฉิงหลูกับเจียงซื่อมาส่งฮูหยินผู้เฒ่ากัวและคนอื่นๆ ด้วยตัวเอง

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเองก็ไม่ได้กล่าวอะไรมากอีก ตรงไปขึ้นรถม้าเลย

โจวเสาจิ่น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวและฮูหยินผู้เฒ่ากวนกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย

ช่วงบ่ายของวันถัดมา เฉิงหลูปราดเข้ามาที่เรือนหานปี้ซานด้วยใบหน้าซืดเผือดแข้งขาอ่อนแรง คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากัว “ท่านป้าใหญ่ ขอร้องท่านให้จื่อชวนกลับมาเร็วสักหน่อยเถิดขอรับ! เฉิงเจียหายตัวไปแล้ว! หลี่จิ้งก็หายตัวไปแล้วเช่นกัน! ต้องเป็นหลี่จิ้งตัณหาจัดผู้นั้นล่อลวงเฉิงเจียไปเป็นแน่ เรื่องนี้ทั้งไม่อาจเผยแพร่ออกไปแล้วก็ไม่อาจไปแจ้งความกับทางการได้ ข้าจึงได้แต่ต้องมาขอร้องจื่อชวนแล้ว หลายปีมานี้เขาดูแลกิจการของตระกูล รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตา จวนสามของพวกข้าจะออกค่าใช้จ่ายเอง ท่านให้จื่อชวนช่วยตามหาเฉิงเจียกลับมาได้หรือไม่ขอรับ ข้ามีบุตรสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น…”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเหลือบมองโจวเสาจิ่นที่ยังคงทีท่าสงบนิ่งครั้งหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารีบลุกขึ้นมา ข้าจะให้คนส่งข่าวไปให้เจ้าสี่!”

เฉิงหลูพยักหน้า ทว่าผ่านไปครู่ใหญ่แล้วก็ยังไม่ยอมลุกขึ้นมา สื่อมามาจึงไปประคองเขา เขาถึงได้เดินโซซัดโซเซออกจากเรือนหลักไป

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถอนหายใจกล่าว “น่าเห็นใจบิดามารดาในใต้หล้านี้!” แล้วให้ปี้อวี้ไปหยิบป้ายชื่อของตัวเองไปเชิญพ่อบ้านที่ลานชั้นนอกให้จัดคนไปส่งข่าวให้เฉิงฉือ

แต่เรื่องที่ทำให้ผู้คนต่างคิดกันไม่ถึงก็คือ หลังจากผ่านไปหนึ่งวันแล้ว หลี่จิ้งส่งแม่สื่อเข้ามาสู่ขอเฉิงเจีย

แม่สื่อกิริยามารยาทนอบน้อม สินสอดที่นำมาด้วยก็มากมาย ทำให้จวนสามที่ร่ำรวยมาตลอดต่างตกใจกันเป็นการใหญ่

เจียงซื่อเดือดดาล กระโดดตัวโหยงขึ้นมาอยากจะระเบิดใส่แม่สื่อให้แตกเป็นจุนไปเสีย

ทว่าเฉิงหลูกลับให้แม่สื่อรั้งอยู่ด้วยใบหน้ามืดครึ้ม พร้อมกับรับใบดวงชะตาของหลี่จิ้งเอาไว้ กล่าวกับแม่สื่อผู้นั้นว่า “หากต้องการจะสู่ขอบุตรสาวของพวกข้าไป ให้เขาหาห่านป่าคู่หนึ่งมาเป็นสินสอดสู่ขอ”

เดี๋ยวนี้ห่านป่าหายากขึ้นทุกวัน เวลาสู่ขอจึงมักจะใช้ห่านบ้านแทน

แม่สื่อปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

คุณชายใหญ่ตระกูลหลี่บอกเอาไว้ว่า ไม่ว่าการสู่ขอจะสำเร็จหรือไม่ ขอเพียงนางเดินทางมาครั้งหนึ่ง ก็จะตกรางวัลให้นางสิบเหลี่ยง

เจียงซื่อไม่ยอม

รอจนแม่สื่อกลับไปแล้วก็โวยวายกับเฉิงหลูขึ้นมา

เฉิงหลูกล่าวขึ้นด้วยนัยน์ตาแดงก่ำว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร จะให้ลูกเจียไปเป็นอนุของคนต่ำต้อยผู้นั้นอย่างนั้นหรือ”

เจียงซื่อตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

นายหญิงผู้เฒ่าหลี่ผู้ไม่เคยสนใจเรื่องอะไรมาก่อนได้ยินข่าวแล้วรีบเร่งมาหา เมื่อเห็นท่าทางของเจียงซื่อแล้วแสยะยิ้มเย็นออกมา กล่าวขึ้นอย่างเป็นปริศนาว่า “ตกลงเจ้ารังเกียจที่หลี่จิ้งเป็นคนไม่ดีหรือรังเกียจที่เขามีชาติกำเนิดไม่ดีกันแน่”

เฉิงหลูเหลือบมองมาด้วยสายตาเย็นชาครั้งหนึ่ง

เจียงซื่อสั่นเทาไปทั้งร่าง

รู้ว่าเรื่องใหญ่มาเยือนแล้ว

เหตุผลที่นางคัดค้านมาตลอดก็เพราะชาติกำเนิดของหลี่จิ้ง เห็นๆ อยู่ว่าหลี่จิ้งเป็นหลานชายตระกูลฝั่งมารดาของแม่สามี หากบอกว่าชาติกำเนิดของหลานชายตระกูลฝั่งมารดาของแม่สามีไม่ดี มิเท่ากับบอกว่าแม่สามีไม่ดีหรอกหรือ

นางนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนอย่างผิดหวัง รู้สึกว่าตนเลี้ยงดูบุตรสาวผู้หนึ่งมาอย่างเปล่าประโยชน์

ช่วงบ่ายในวันเดียวกันนั้น หลี่จิ้งก็ส่งห่านป่าคู่หนึ่งเข้ามาให้

สามวันต่อมา ทั้งสองตระกูลหมั้นหมายกันเรียบร้อย เฉิงเจียถูกส่งตัวกลับมา