ตอนที่ 321 เคลื่อนไหว

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

เมื่อได้ยินว่าเฉิงเจียกลับมาแล้ว โจวเสาจิ่นก็โล่งอกไปเปลาะหนึ่ง รู้สึกว่านี่สิถึงจะเป็นหลี่จิ้งคนที่นางประมาณการเอาไว้ผู้นั้น ไม่ใช้อำนาจที่เหนือกว่ากดข่มผู้คน ไม่ว่าสถานการณ์อะไรก็ล้วนวางเฉิงเจียเอาไว้ในตำแหน่งที่สำคัญที่สุด

ชุนหว่านกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “คุณหนูรอง คุณหนูเจียมาด้อมๆ มองๆ อยู่ด้านนอกประตู ป้ารับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูให้นางเข้ามานางก็ไม่เข้ามา กลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ชอบ ท่านไปดูนางสักหน่อยดีหรือไม่!”

โจวเสาจิ่นถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดเพิ่งกลับมานางก็วิ่งพล่านไปทั่วเช่นนี้ได้แล้วหรือ”

เสี่ยวถานที่ถือดอกฉัตรทองหนึ่งกำใหญ่เอาไว้เดินเข้ามายิ้มๆ เอ่ยตอบว่า “เป็นนายหญิงผู้เฒ่าหลี่บอกมาว่าตระกูลหลี่ไม่ได้มีกฎระเบียบมากมายขนาดนั้น ให้คุณหนูเจียสนใจเพียงดูแลรักษาร่างกายให้สบายใจ แต่งเข้าไปอย่างมีความสุขก็พอเจ้าค่ะ และด้วยคำพูดประโยคนี้ ทุกวันนี้ฮูหยินใหญ่หลูจึงเอาแต่นอนอยู่บนเตียง ทว่านายหญิงผู้เฒ่าหลี่กลับส่งหลี่มามาคนข้างกายไปช่วยฮูหยินใหญ่หลูจัดการงานบ้าน ฮูหยินใหญ่หลูเคืองโกรธยิ่งนักจึงไม่สนใจทำอะไรเลยสักอย่าง นายหญิงผู้เฒ่าหลี่จึงประเดี๋ยววันนี้ก็ซื้อเตียงหลังหนึ่งกลับมาให้คุณหนูเจีย ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ซื้อเก้าอี้ไม้ประดู่แดงชุดหนึ่งกลับมาให้คุณหนูเจีย ได้ยินคนที่เรือนหรูอี้กล่าวกันว่า แค่เครื่องเรือนก็มีถึงห้าชุดแล้ว แต่ฟังความหมายจากคำพูดของนายหญิงผู้เฒ่าหลี่แล้ว การแต่งงานครั้งนี้ จะให้ดีที่สุดทุกอย่างต้องจัดเป็นคู่ๆ ยังต้องรวบรวมอีกหนึ่งชุดถึงจะสมเกียรติ จึงสั่งให้พ่อบ้านไปหังโจว บอกว่าต้องการซื้อไม้หนานมู่จากที่นั่นกลับมาบางส่วน แม้แต่นายท่านใหญ่หลูยังทนดูไม่ได้ เกลี้ยกล่อมนายหญิงผู้เฒ่าหลี่ไปหลายประโยค นายหญิงผู้เฒ่าหลี่จึงไม่พอใจ บอกว่าเงินที่นางใช้ซื้อของให้คุณหนูเจียล้วนเป็นเงินส่วนตัวของนางเอง ไม่ได้ใช้เงินของจวนสามเลยแม้แต่แดงเดียว หากผู้ใดทนดูไม่ได้ หากผู้ใดรู้สึกไม่ชอบใจ ก็ให้มาพูดต่อหน้านาง ไม่ต้องเอาไปพูดลับหลังทำตัวเป็นคนขี้ขลาด ยังบอกอีกว่า เงินสินติดตัวของนาง นางอยากจะใช้อย่างไรก็ได้ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ตระกูลเฉิงยากจนถึงขั้นต้องมาคิดบัญชีกับเงินสินติดตัวของสะใภ้เช่นนี้! ความนัยในคำกล่าวนั้นคือจะบอกว่านายท่านใหญ่หลูรับการยุยงของฮูหยินใหญ่หลูมาช่วงชิงเอาเงินส่วนตัวของนาง…

…นายท่านใหญ่หลูได้แต่ยอมจำนนโดยไม่กล้ากล่าวอะไรอีกแม้สักประโยค ส่วนฮูหยินใหญ่หลูก็โกรธจนไม่กินอะไรอยู่หลายวัน แม้แต่คุณชายใหญ่เจิ้ง ก็ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรสักอย่างเท่านั้น…

…ฉะนั้นใครยังจะกล้าไปยุ่งเรื่องของคุณหนูเจียอีกเจ้าคะ!”

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวเสาจิ่นได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้

นางร้อง “อ้อ” ขึ้นเสียงหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวยิ้มๆ ว่า “เสี่ยวถาน ข้าคิดไม่ถึงว่าสายข่าวของเจ้าจะรวดเร็วเพียงนี้!”

เสี่ยวถานหน้าแดงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ข้าก็เพียงเติบโตอยู่ในจวนมาตั้งแต่เล็กจึงรู้จักคนมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้นเจ้าค่ะ”

การรู้จักคนมากก็เป็นข้อได้เปรียบเช่นกัน!

โจวเสาจิ่นยิ้มหวานขณะเดินไปหาเฉิงเจีย

เฉิงเจียยังคงกลัวว่าจะถูกฮูหยินผู้เฒ่ากัวตำหนิจริงๆ จึงลากโจวเสาจิ่นไปนั่งคุยกันบนตั่งหินข้างทะเลสาบของเรือนหานปี้ซานแทน “…เจ้าไม่รู้อะไร นับตั้งแต่ที่เจ้าไม่สบายในครั้งนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ากัวก็หมายหัวข้าเอาไว้แล้ว ข้าจึงไม่อยากไปยั่วโทสะนางอีก”

โจวเสาจิ่นมองสำรวจเฉิงเจียตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เห็นนางแข็งแรงมีชีวิชีวาดี เมื่อเทียบกับหลายวันก่อนแล้วราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ถึงได้วางใจลงได้จริงๆ กล่าวยิ้มๆ ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าดูเย็นชาทว่าจิตใจดียิ่งนัก เจ้าไปกล่าวขอโทษนางสักครั้งและไปพูดคุยดีๆ ด้วยสักสองสามประโยค นางก็หายโกรธแล้ว”

เฉิงเจียแลบลิ้น กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่กล้า หากอยากไปเจ้าก็ไปเถิด!”

ความสัมพันธ์ของคนเรานี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับพรหมลิขิตด้วย

โจวเสาจิ่นเองก็ไม่ได้บีบคั้นนาง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเองก็จริงๆ เลย! ต่อให้อยากไปหาหลี่จิ้ง ก็ต้องวางแผนให้ดีก่อนถึงจะถูก เหตุใดถึงหนีออกไปอย่างไม่ระมัดระวังเช่นนั้นเล่า ตอนนั้นพวกเราต่างเป็นกังวลใจ กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นกับเจ้า…”

เฉิงเจียกล่าวตัดบทคำพูดของโจวเสาจิ่นอย่างอับอายว่า “เจ้าอย่าพูดอีกเลย! ช่วงหลายวันก่อนนั้นหลี่จิ้งก็พร่ำบ่นคำพูดพวกนี้อยู่ข้างหูข้าทุกวัน จนหูของข้าเกือบจะชาไปหมดแล้ว เจ้าอย่าเป็นไปด้วยอีกคนเลย ข้ายอมรับผิดแล้วยังไม่พอหรือ ข้าได้สาบานต่อหน้าหลี่จิ้งไปแล้วว่าต่อไปจะไม่ทำเรื่องที่ทำให้คนที่รักต้องเป็นกังวลใจเช่นนี้อีก เจ้าเมตตาข้าเถิด!”

ดูแล้วหลี่จิ้งมิได้ถูกเฉิงเจียปั่นหัวจนเลอะเลือน

เฉิงเจียนั้นจำเป็นต้องมีคนเช่นนี้มาคอยควบคุมดูแลสักคน!

โจวเสาจิ่นเม้มปากกลั้นยิ้ม

เฉิงเจียจึงหยิบกล่องไม้จันทน์แดงแกะสลักดอกโบตั๋นขนาดเท่าฝ่ามือกล่องหนึ่งออกมา กล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นของขวัญขอบคุณที่หลี่จิ้งมอบให้เจ้า!”

โจวเสาจิ่นประหลาดใจยิ่งนัก รับมาอย่างยินดี

เฉิงเจียยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าลองเปิดดู ข้ากับหลี่จิ้งเลือกด้วยกัน”

โจวเสาจิ่นเปิดกล่องออก

ภายในกล่องบุผ้ากำมะหยี่สีม่วงแดงเอาไว้มีหินสีเขียวมรกตวางอย่างเงียบเชียบอยู่ห้าเม็ด แต่ละเม็ดมีขนาดใหญ่เท่าไข่นกพิราบ สีเขียวเปล่งประกายงดงามสุกใส ทำให้แม้แต่ความงามของฤดูใบไม้ผลิยังดูจืดชืดไปเลยทีเดียว

“นี่…” โจวเสาจิ่นเบิกดวงตาโต

นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหินสีเขียวมรกตน้ำดีขนาดนี้

“มอบให้เจ้า!” เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างภาคภูมิ “งดงามหรือไม่! ข้าบอกแล้วว่าเจ้าจะต้องชอบ หลี่จิ้งยังเตรียมจะมอบทับทิมให้เจ้าด้วย!”

“งดงามมาก!” โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างจริงใจ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เก็บเอาไว้อย่างยินดี “ข้าชอบมาก!”

อย่างมากตอนที่เฉิงเจียแต่งงานเวลาตนเติมสินสอดให้นางค่อยหาของดีๆ สักชิ้นมาให้นางก็แล้วกัน

เฉิงเจียเห็นโจวเสาจิ่นชอบของที่ตนเลือกก็ดีใจเป็นอย่างมาก นางกับโจวเสาจิ่นพูดคุยกันเจื้อยแจ้วถึงเรื่องของหลี่จิ้งไปกว่าครึ่งค่อนวัน

ทว่าโจวเสาจิ่นกลับคิดถึงเฉิงฉือ

ตอนที่ท่านลุงใหญ่หลูมาขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยส่งข่าวไปให้เฉิงฉือนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ปฏิเสธ

ท่านน้าฉือจะต้องไม่ได้กลับมาตามกำหนดการเป็นแน่

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาตอนไหนเท่านั้น

รอให้เขากลับมาถึงบ้าน พอทราบว่าหลี่จิ้งกับเฉิงเจียหมั้นหมายกันแล้ว จะต้องประหลาดใจมากเป็นแน่

นึกภาพใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกใดๆ ของเฉิงฉือเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาแล้ว โจวเสาจิ่นก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เฉิงเจียกระทุ้งนาง “เจ้าหัวเราะอะไร เรื่องที่ข้ากล่าวมาเมื่อครู่น่าขบขันมากหรือ”

จริงๆ แล้วโจวเสาจิ่นไม่รู้ว่าเฉิงเจียพูดอะไรไปบ้าง จึงกล่าวเลี่ยงอย่างกำกวมไปว่า “ข้ารู้สึกน่าขบขันเล็กน้อย”

เฉิงเจียขยับเข้ามากระซิบที่ข้างหูของโจวเสาจิ่นด้วยใบหน้าแดงเรื่อว่า “เช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ารับปากแล้ว!”

นางรับปากอะไรอย่างนั้นหรือ

โจวเสาจิ่นมีสีหน้าเหรอหราเล็กน้อย

เฉิงเจียกล่าวขึ้นอย่างขุ่นเคืองว่า “เหตุใดเดี๋ยวนี้เจ้าถึงเป็นเช่นนี้ พูดคำไหนไม่เป็นคำนั้น! รับปากว่าจะช่วยเย็บเสื้อชั้นในให้ข้าสองตัว…”

ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้

ไม่มีปัญหาๆ

โจวเสาจิ่นรู้สึกประหม่าเล็กน้อย รีบขานรับปาก

เฉิงเจียกลับมาสดใสดังเดิม เดินจากไปอย่างปีติยินดี

โจวเสาจิ่นถอนหายใจอย่างโล่งอก กลับมาที่เรือนหลัก

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวถามนางว่าเฉิงเจียมาหานางด้วยเรื่องอะไร นางเล่าไปตามจริง ฮูหยินผู้เฒ่ากัวครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไปหารือกับนางเรื่องลายเสื้อเสร็จก็กลับมาเลย อย่าอยู่ที่เรือนหรูอี้นาน ข้าคาดการณ์ว่าเจียงซื่อจะต้องใช้โอกาสก่อนที่หลานเจียจะออกเรือนนี้สร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้งเป็นแน่”

โจวเสาจิ่นเชื่อในคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวอย่างไม่สงสัยเลยสักนิด

นางพยักหน้าหงึกๆ วาดลายเสื้อชั้นในให้เฉิงเจียไปเจ็ดถึงแปดแบบ วันถัดมาหลังจากที่รับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปหาเฉิงเจีย

เนื่องจากโจวเสาจิ่นล้วนแล้วแต่เคยทำงานเย็บปักให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและฮูหยินผู้เฒ่ากัวมาก่อน ถึงแม้ของจะไม่มาก แต่ก็ประณีตและแปลกใหม่เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังดูภูมิฐานสง่างามแต่ก็ไม่ขาดความมีชีวิตชีวา จึงได้รับคำชมจากทุกคนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากนายหญิงผู้เฒ่าหลี่ทราบวัตถุประสงค์การมาของนาง ดังนั้นจึงไม่เพียงมอบที่ล้างพู่กันทำจากหยกมันแพะให้นางหนึ่งชิ้นเท่านั้น ยังรั้งให้นางอยู่รับมื้อเที่ยงด้วยกันอีกด้วย

นางยังจดจำคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้ ถึงแม้จะหลีกเลี่ยงมื้อเที่ยงไปไม่ได้ แต่หลังจากรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จเรียบร้อยแล้วไม่ว่านายหญิงผู้เฒ่าหลี่กับเฉิงเจียจะเหนี่ยวรั้งอย่างไร ก็ยังคงยืนกรานจะกลับไปที่เรือนหานปี้ซาน “…พี่สาวเจียกับข้าเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก นี่เป็นงานเย็บปักที่นางขอร้องให้ข้าทำให้ ข้ายังจะเย็บผ้าเช็ดหน้าให้พี่สาวเจียด้วยอีกสองผืน ถึงแม้จะเป็นของเล็กน้อย ทว่าก็เป็นน้ำใจจากข้า ควรจะเย็บให้แล้วเสร็จแต่เนิ่นๆ ถึงจะดีเจ้าค่ะ”

นายหญิงผู้เฒ่าหลี่ได้ยินแล้วก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก จึงหยุดเฉิงเจียที่พยายามรั้งนางเอาไว้เสีย แล้วส่งโจวเสาจิ่นออกจากเรือนหลักไปด้วยตัวเอง

โจวเสาจิ่นถึงได้ผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย

ชุนหว่านเองก็กล่าวขึ้นว่า “หากนายหญิงผู้เฒ่าเอาแต่เกรงใจเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่กล้าไปจวนสามแล้วเจ้าค่ะ”

เนื่องจากยังไม่พ้นเขตของจวนสาม อีกทั้งยังเป็นการกล่าวถึงนายหญิงผู้เฒ่าหลี่ โจวเสาจิ่นจึงบังเกิดความระแวดระวังขึ้นในใจหลายส่วน ถึงแม้ได้ยินคำพูดของชุนหว่านแล้วอยากจะหัวเราะยิ่งนัก ทว่าด้วยความเคยชินก่อนจะหัวเราะจึงหันไปมองรอบๆ ก่อนครั้งหนึ่ง

เวลานี้ตรงกับยามเที่ยงพอดี บ่าวไพร่ในบ้านส่วนใหญ่จึงกำลังพักกลางวันกันอยู่ ทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวทุกหนทุกแห่ง เงียบเชียบไร้เสียงใดๆ

ทว่าสายตาของโจวเสาจิ่นกลับเหลือบไปเห็นชายเสื้อคลุมสีฟ้าตัวหนึ่งเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ

นางตกใจเป็นอย่างยิ่ง รีบแสร้งทำเป็นหัวเราะออกมา ดวงตาจับจ้องสำรวจอยู่ที่ชุดคลุมสีฟ้าตัวนั้น

เนื้อผ้าเป็นผ้าไหมหังโจวชั้นดี เนื้อละเอียดเรียบรื่น ใต้ชายเสื้อคลุมนั้นเป็นรองเท้าสีฟ้าขอบดำคู่หนึ่ง สวมถุงเท้าผ้าฝ้ายซงเจียงสีขาวพระจันทร์ ดูสะอาดสะอ้านและเรียบร้อย

โจวเสาจิ่นพลันนึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา

เฉิงลู่!

นี่เป็นการแต่งกายที่เฉิงลู่มักจะแต่งอยู่บ่อยๆ ในชาติก่อน

ในใจของนางพลันสับสนงุนงงขึ้นมา

นี่เป็นเรือนชั้นในของจวนสาม ตามหลักแล้วเฉิงลู่ไม่น่าจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ถึงจะถูก

แต่เฉิงลู่เป็นลูกหลานของตระกูลเฉิง หากมีธุระต้องเข้าจวนก็มิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้

โจวเสาจิ่นไม่คิดอะไรมาก หันไปส่งสายตาให้ชุนหว่านครั้งหนึ่ง จากนั้นยกชายกระโปรงขึ้น ค่อยๆ ย่องไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นตั๊กแตนต้นใหญ่ขนาดคนโอบรอบต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ หมายว่าจะรอให้อีกฝ่ายเผลอแล้วค่อยหลบออกไปจากที่นี่

ชุนหว่านไม่ได้เห็นชายเสื้อคลุมตัวนั้น ทว่าก็ทำตามโจวเสาจิ่นอย่างจงรักภักดีโดยไม่ถามอะไรสักอย่าง แอบเข้าไปหลบอยู่ด้านหลังต้นตั๊กแตนต้นใหญ่นั้นด้วยท่วงท่าที่ปราดเปรียวว่องไวยิ่งกว่าโจวเสาจิ่นเสียอีก

ไม่นาน ก็มีเสียงดังมาให้ได้ยินรางๆ “…พี่ชายเจิ้ง ข้าคิดไปคิดมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่าตกลงตัวเองไปทำให้ผู้ใดไม่พอใจกันแน่ ถ้าหากเป็นท่านลุงใหญ่อี๋ของจวนรอง เช่นนั้นเขาจะส่งข้าไปเรียนที่สำนักศึกษาเย่ว์ลู่ทำไม ท่านลุงใหญ่หลูยิ่งไม่ต้องพูดถึง ล้วนมีน้ำใจกับหลานชายอย่างพวกข้ามาโดยตลอด อีกทั้งยังมุ่งมั่นกับการศึกษาเล่าเรียน จึงไม่อาจเป็นเขาไปได้อย่างแน่นอน ส่วนท่านลุงใหญ่เหมี่ยนของจวนสี่อย่างมากก็ทำได้เพียงไปกระตุ้นท่านเจ้าเมืองอู๋กับหลินเจี้ยวอวี้เท่านั้น ท่านอาเวิ่นของจวนห้าก็กำลังยุ่งจนหัวหมุนอยู่กับการเตรียมงานแต่งของพี่ชายนั่ว จึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมาตรากตรำทำเรื่องลำบากแต่ได้ผลตอบแทนน้อยเช่นนี้…

…ข้าคิดจนหัวแทบจะระเบิดแล้วแต่ก็คิดไม่ออกจริงๆ จึงได้แต่แอบมาปรึกษาพี่ชายเจิ้งเงียบๆ เท่านั้น!…

…พี่ชายเจิ้ง ท่านว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็น…”

เสียงพูดหยุดลงกะทันหัน

เป็นเฉิงลู่จริงๆ ด้วย!

โจวเสาจิ่นรู้สึกราวกับว่าหัวใจของตัวเองประหนึ่งจะกระโดดออกมาจากอกได้

มีเสียงหัวเราะของเฉิงเจิ้งดังมาจากทางด้านโน้นเสียงหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “นี่เจ้ากำลังสงสัยท่านอาฉืออยู่หรือว่ากำลังหยั่งเชิงดูท่าทีของข้าอยู่กันแน่ น้องชายเซียงชิง จวนสามของพวกข้าไม่อาจต่อกรกับจวนหลักได้ ข้ายิ่งแล้วใหญ่ไม่อาจต่อกรกับท่านอาฉือได้ หากเจ้าคิดจะหาใครสักคนไปช่วยพูดให้เจ้า เกรงว่าคงมาหาผิดคนแล้ว!”

เฉิงลู่ได้ยินแล้วก็แสยะยิ้มเย็นพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “ไม่แปลกเวลาที่คนข้างนอกเอ่ยถึงซอยจิ่วหรูจะรู้จักเพียงว่าจวนหลักมีเฉิงเจียซ่านผู้หนึ่งและจวนรองมีเฉิงโหย่วอี๋ผู้หนึ่งเท่านั้น…เมื่อเปรียบเทียบกับพี่ชายทั้งสองท่านแล้ว พี่ชายเป่าหมิงด้อยกว่าจริงๆ ขออภัยที่ข้ามองคนผิดไป! พี่ชายเป่าหมิงโปรดรักษาตัวด้วย ข้าขอตัวก่อน!”

เป่าหมิงคือชื่อแทนตัวอย่างสุภาพของเฉิงเจิ้ง

โจวเสาจิ่นรู้สึกหัวใจหนักอึ้งเล็กน้อย

เฉิงลู่กับเฉิงเจิ้งต่างเรียกขานซึ่งกันและกันด้วยชื่อแทนตัวอย่างสุภาพ นั่นก็หมายความว่าต่างวางอีกฝ่ายไว้ในสถานะเดียวกันแล้ว

ถึงแม้บทสนทนาของพวกเขาจะไม่ลงรอยกัน แต่ภายในกลับยอมรับอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว

เป็นไปตามที่คาด หลังจากมีเสียงย่ำเท้าลงบนกิ่งไม้ไปหลายเสียงแล้ว เฉิงเจิ้งก็กล่าวขึ้นอย่างกะทันหันว่า “เซียงชิง หยุดก่อน!”

หลังต้นไม้เงียบไปครู่หนึ่ง

กว่าครู่ใหญ่ เฉิงเจิ้งกล่าวเสียงเบาว่า “เซียงชิง มิใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้า แต่ว่าจวนสามของพวกข้ามิอาจต่อกรกับจวนหลักได้จริงๆ ข้าขอพูดกับเจ้าตรงๆ ก็แล้วกัน ข้าตรากตรำเล่าเรียนอย่างยากลำบาก แต่เหตุใดหลังจากสอบได้ซิ่วไฉแล้วถึงไม่ลงสนามสอบต่อไปเล่า นั่นก็เพราะบรรพบุรุษเคยกระทำผิดต่อจวนหลักและจวนรองเอาไว้ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้วจวนหลักกับจวนรองยังคงโกรธแค้น กดมิให้จวนสามของพวกข้าได้โงหัวขึ้นมาในเส้นทางราชสำนัก ได้แต่ขันแข่งกับผู้อื่นด้วยการค้านั่นเท่านั้น นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดอาหญิงของข้าต้องแต่งงานกับพานจื๋อผู้ยากจนและอวดดีผู้นั้น และเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดท่านแม่ของข้าถึงต้องการให้น้องสาวของข้าแต่งให้กับตระกูลที่เป็นบัณฑิต มิใช่ว่าข้าไม่อยากช่วยเจ้า ความจริงแล้วเป็นเพราะข้าเองก็ยากที่จะปกป้องตัวเองได้ จึงไม่มีหนทางช่วยเหลือเจ้าได้จริงๆ!”