ตอนที่ 629 ใครกำลังเรียกเธอว่าคุณหนู / ตอนที่ 630 มีคนสอนเธออยู่ตลอด

หวานรักจับหัวใจท่านประธาน

ตอนที่ 629 ใครกำลังเรียกเธอว่าคุณหนู

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ฟ่านอวี่ก็พยักหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว

 

 

“ผมจำที่นั่นได้ ผมพาพวกคุณไปได้” ฟ่านอวี่พูด พลางวางแก้วน้ำชาในมือลง แล้วลุกขึ้นยืน

 

 

เขามองเหนียนเสี่ยวมู่ด้วยแววตาอ่อนโยน

 

 

หากนับรวมเวลาที่พวกเขาแยกจากกัน ก็เกือบสิบปีแล้ว

 

 

แม้เขาจะจำเรื่องราวมากมายได้ แต่กลับจำได้ไม่ชัดเจนนัก

 

 

บวกกับเขาหาเธอไม่พบเสมอมา หลังจากกลับมาที่ประเทศจีน เขาจึงไม่มีความกล้ากลับไปยังสถานที่ของพวกเขาโดยสิ้นเชิง

 

 

คิดๆ ดูแล้ว ฟ่านอวี่ไม่ได้เหยียบไปที่นั่นเกือบสิบปีแล้ว…

 

 

ไม่นานพวกเขาทั้งสามคนก็ออกเดินทางไปยังที่อยู่เก่าของตระกูลนั้น

 

 

แต่ยังไม่ทันถึงที่หมาย พวกเขาก็เป็นคฤหาสน์ผุพังที่ผ่านไฟไหม้ครั้งใหญ่อยู่ไกลๆ

 

 

“ผมได้ยินว่า ที่นั่นมีคนตายเพราะถูกไฟไหม้ ตลาดหลักทรัพทย์เลยเห็นว่าเป็นอัปมงคล จึงทิ้งร้างขายไม่ออกอยู่หลายปี รวมๆ แล้วยังมีร่องรอยตอนเกิดเรื่องอยู่”

 

 

เมื่อรถเข้าไปใกล้ซากคฤหาสน์ ฟ่านอวี่ก็เอ่ยเสียงเรียบ

 

 

เขาเพิ่งพูดจบ เหนียนเสี่ยวมู่ก็เกาะหน้าต่างรถ เหม่อมองที่อยู่เก่าของตระกูลสิง ที่พวกเขาเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

 

 

รั้วที่ล้อมรอบด้านนอกสุดของลานบ้าน แทบจะถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว ส่วนที่เหลือก็เปลี่ยนไปบ้างในหลายปีนี้

 

 

แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเห็นสถานที่นี้ เธอถึงใจเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

 

 

เลือดทั่วร่างกายเริ่มพุ่งพล่าน

 

 

ในหัวปรากฏภาพที่แตกเป็นเสี่ยงๆ จำนวนหนึ่ง

 

 

“คุณหนู หลังจากนี้ที่นี่จะเป็นที่อยู่ของคุณ ถ้าคุณหนูต้องการอะไร ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็จะหามาให้…”

 

 

“คุณหนู ในสวนตั้งชิงช้าที่คุณหนูชอบไว้แล้ว อยากจะไปลองดูเลยไหมคะ”

 

 

“พี่ชายสุดหล่อ พี่ชื่ออะไรคะ”

 

 

“พรุ่งนี้พี่จะมาหาหนูอีกไหม แต่พี่ไม่มาก็ไม่เป็นไรนะ บอกที่อยู่ของพี่ไว้ หนูไปหาพี่ก็ได้…”

 

 

“…”

 

 

ฟ่านอวี่บอกเธอเรื่องในอดีต ที่เธอกับเขาเคยมีปฏิสัมพันธ์กัน แต่เธอจำไม่ได้เลยสักนิด

 

 

แต่พอคิดถึงตรงนี้ ความทรงจำที่เธอลืมไป ก็เหมือนเริ่มคืนกลับมาแล้ว

 

 

“ฉันเหมือนเคยมาที่นี่…รู้สึกคุ้นมาก…” เหนียนเสี่ยวมู่กัดริมฝีปาก เพราะภาพเลือนรางในความทรงจำ ทพให้สีหน้าของเธอดูไม่ดีอยู่บ้าง

 

 

อวี๋เยว่หานกอดเธอไว้ในอก

 

 

“ไม่ต้องรีบร้อน พวกเราค่อยเป็นค่อยไปก็ได้”

 

 

เหนียนเสี่ยวมู่ซบอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ดูใจเย็นลงบ้างแล้ว

 

 

เธอไม่รีบร้อยคิดถึงเรื่องในอดีต

 

 

จนกระทั่งรถจอดลงตรงหน้าที่อยู่เก่าของตระกูลสิง

 

 

ประตูรถเปิดออก คนที่ลงจากรถก่อน คือฟ่านอวี่

 

 

เชาแต่งกายด้วยชุดสูทสีขาวทั้งตัว เมื่อยืนอยู่บนพื้นดินที่เคยถูกไฟไหม้แล้ว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาพลันฉายแววเจ็บปวด

 

 

ราวกับยังคงตำหนิตัวเอง ว่าตอนนั้นไม่ได้ดูแลลิ่วลิ่วให้ดี

 

 

เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนั้น ว่าเธอจะกลัวแค่ไหน ในใจของเขาก็ยิ่งโทษตัวเองมากขึ้น

 

 

“ที่นี่ก็คือสถานที่ที่พวกเราเจอกันในตอนนั้น ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนของตระกูลสิง มีชิงช้าอยู่อันหนึ่ง ปกติแล้วคุณจะนั่งอยู่บนชิงช้านั้นเสมอ บ้างก็อ่านหนังสือ บ้างก็วาดรูป สิ่งที่คุณวาด นอกจากแมวของตัวเองแล้ว ก็เป็นพี่ชายสุดหล่อ”

 

 

ฟ่านอวี่ชี้ไปที่สวน

 

 

แม้ตรงนั้นจะถูกไฟไหม้ไปแล้ว แต่ก็ยังเห็นต้นอ่อนของต้นไม้ที่งอกออกมาใหม่

 

 

เมื่อหลับตาลง ตรงหน้ของเขายังปรากฎภาพที่ลิ่วลิ่วของเขากอดกระดานวาดรูป นั่งวาดรูปอยู่ใต้ต้นไม้

 

 

“ตอนนั้นฉันอาจจะวาดได้แค่แมวกับคน ถ้าไม่วาดตัวเอง ก็ต้องวาดพี่ชาย” เหนียนเสี่ยวมู่รู้สึกถึงลมหนาวที่พัดมาจากข้างหลัง ก่อนจะอธิบายแทนตัวเองอย่างรีบร้อน

 

 

 

 

ตอนที่ 630 มีคนสอนเธออยู่ตลอด

 

 

ขยิบตาให้ฟ่านอวี่แทบตาย

 

 

พี่ชายคำนี้ ต่อให้พูดอีกกี่ครั้ง ก็ผ่านไปไม่ได้จริงๆ…

 

 

แต่เห็นได้ชัดว่าเธอแยกกับฟ่านอวี่ไปหลายปีแล้ว จึงไม่ได้รู้ใจกันดีอีกต่อไป

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ฟ่านอวี่ก็กระตุกยิ้มที่มุมปาก

 

 

ครั้นเหลือบมองใบหน้าดำคล้ำของอวี๋เยว่หาน ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหรือเปล่า เขาตั้งใจเน้นย้ำว่า “คุณไม่ใช่แค่วาดรูปสิ่งของเก่งหรอก ผมจำได้ว่าคุณวาดอย่างอื่นเก่งมากด้วย เคยได้รางวัลด้านการวาดภาพ และมาขอรางวัลจากผมอยู่เลย”

 

 

“…”

 

 

“ผมจำได้ว่าตอนนั้นให้ภาพวาดสีน้ำมันคุณไปภาพหนึ่ง เพราะตั้งใจจะเล่นใหญ่ ก็เลยนำของเลียนแบบมาบอกคุณว่าเป็นของจริง แต่คุณรู้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น แถมยังสาบานกับผมว่า ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดอะไร ขอเพียงคุณเห็นตรงหน้าแวบเดียว ก็ดูออกแล้วว่าเป็นของจริงหรือปลอม…”

 

 

ฟ่านอวี่พูดถึงตรงนี้ เขาราวกับนึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไป จึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

เขาเงยหน้าขึ้น อยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้

 

 

ตอนที่พวกเขารู้จักกัน ทั้งสองคนยังเด็ก

 

 

ในเมื่อโตเร็วกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นเด็ก เรื่องราวมากมายดูแปลกๆ อยู่ในสมัยนั้น แต่ลองคิดดูในตอนนี้แล้ว กลับมองเห็นช่องโหว่มากมาย…

 

 

ถ้าเป็นจริงอย่างที่สิงลี่ว่า ตระกูลสิงที่แค่พอมีพอกินนี้ ทำไมต้องให้เหนียนเสี่ยวมู่ที่ยังเด็กอยู่ในตอนนั้น เรียนวิชาต่างๆ มากมายด้วย

 

 

ฟ่านอวี่แน่ใจมาก เขาอายุมากกว่าเธอ ดังนั้นทักษะหลายๆ อย่างของเธอ เขาจึงเป็นคนสอน

 

 

แต่เขาจำได้ ก่อนที่เขาจะกลายเป็นคุณครูตัวน้อยของเธอ เธอก็แทบจะเคยร่ำเรียนมาทุกวิชาแล้ว

 

 

บางอย่างเขายังไม่เคยได้สอนเธอด้วยซ้ำ แต่เธอก็รู้แล้ว

 

 

ก็เหมือนกับภาพวาดได้รางวัลที่พิ่งพูดถึง…

 

 

เรื่องแบบนี้ เด็กในครอบครัวธรรมดาจะทำเป็นได้อย่างไร

 

 

เขาเป็นผู้สืบทอดของตระกูลฟ่าน ดังนั้นเรียนรู้ที่จะจัดการเรื่องทุกอย่างก็เป็นเรื่งปกติมาก

 

 

แล้วลิ่วลิ่วของเขาล่ะ?

 

 

ชายหนุ่มรู้เพียงว่าเธอมีความสามารถเป็นที่จับตามอง รับรู้เรื่องตัวเลขได้ไวเป็นพิเศษ ทักษะแบบนี้ มีผู้เชี่ยวชาญคอยสอนเธออยู่ตลอด

 

 

แม้จะยังเด็ก แต่ก็มีความเห็นเกี่ยวกับความรู้เรื่องธุรกิจ

 

 

บางครั้งเขายกตัวอย่างมาสอนเธอ สุดท้ายก็เขาก็ต้องตกใจกับความอยากรู้อยากเห็นของเธอ

 

 

ตอนนั้นเขาร้สึกเพียงว่าลิ่วลิ่วฉลาดมาก ทั้งยังช่างสงสัย เธอชอบถามเขาเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจ แล้วเขาก็สอนเธอทุกอย่าง แต่ไม่เคยคาดคิดเลย ว่าทำไมเธอถึงเรียนเรื่องพวกนี้…

 

 

แถมยังมีเรื่งบอดีการ์ดที่เฝ้าอยู่ที่รั้วบ้านอีก…

 

 

“ฉันจำได้ เดิมทีที่นี่ควรจะเป็นสวนผลไม้…” เหนียนเสี่ยวมูไม่ได้สังเกตว่าแววตาของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป ขณะที่เธอกำลังย่ำเข้าไปในพื้นที่รกร้าง

 

 

สุดท้ายเธอก็หยุดลงตรงที่ว่าง

 

 

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพยายามหวนคิดถึงอดีต

 

 

จนสุดท้าย จู่ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้น มองไปทางฟ่านอวี่ “ที่นี่เป็นสวยสตรอว์เบอร์รี ฉันชอบกินสตรอว์เบอร์รี ที่บ้านจัดที่ว่างเล็กๆ ผืนหนึ่ไว้ปลูกมน เพื่อให้ฉันได้กินสตรอว์เบอร์รีสดๆ ใช่ไหม”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ฟ่านอวี่ก็ชชะงักค้างไปทั้งตัว!

 

 

ก่อนจะเดินไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น

 

 

“คุณนึกออกแล้วเหรอ”

 

 

สวนนี้เคยปลูกสตรอว์เบอร์รีจริงๆ

 

 

ทุกครั้งที่ถึงฤดูกาลเก็บสตรอว์เบอร์รี เธอมักจะถือตะกร้าเล็กๆ เก็บมันจนเต็มตะกร้าให้เขา

 

 

จากนั้นก็ถือโอกาสตอนที่ไม่มีคนสังเกตเห็น ลอดออกจากช่องของรั้ว เพื่อไปส่งมันให้เขาถึงที่บ้าน

 

 

หลังจากวางตะกร้าไว้บนขอบหน้าต่าง เธอถึงเคาะกระจกแล้ววิ่งไป

 

 

เขาเคยถามเธอ ว่าทำไมวางไว้แค่บนขอบหน้าต่าง ไม่เข้ามาส่งให้เขาถึงในบ้าน

 

 

คำตอบในตอนนั้นของเธอ ทำให้เขากระอักกระอ่วน จนถึงทุกวันนี้เขายังคงจำได้ ใบหน้าเล็กสะสวยนั้น เต็มไปด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ พลางตอบอย่างจริงจัง

 

 

“แบบนี้เรียกว่าแหย่แล้วหนี ไม่รับผิดชอบ!”