ในห้องนั่งรอรถโดยสารมีคนไม่มากเท่าไรนัก ช่วงนี้ไม่มีใครออกไปไหนนอกจากมีเรื่องจำเป็นจริง ๆ

เย่หมิงเป่ยได้ยินจากพนักงานคนหนึ่งว่า รถที่มาจากในเมืองที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปประมาณครึ่งชั่วโมง เขามองออกไปนอกหน้าต่างอย่างคาดหวัง ซึ่งตรงกับประตูใหญ่ที่รถเข้ามาจอดพอดี

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถก็เข้ามาจอดที่สถานี เย่หมิงเป่ยรีบวิ่งออกไปยืนมองอยู่หน้าประตู มีคนลงมาไม่มาก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโจวหมิ่น

เขาไม่ได้ผิดหวัง คิดว่าตอนเที่ยงยังมีอีกรอบ เขาเติมพลังให้ตัวเองอีกครั้ง

แต่รถที่มาจอดในตอนเที่ยงก็ไม่มีโจวหมิ่นอีกตามเคย เย่หมิงเป่ยไม่มีกะจิตกะใจรับประทานแป้งจี่ไข่ที่อยู่ในกระเป๋าแล้ว เขาขอแค่น้ำร้อนมาดื่ม อาศัยความร้อนรอรถช่วงบ่ายอย่างใจจดใจจ่อ

ในขณะนั้นเองโจวหมิ่นที่อยู่สถานีขนส่งในเมืองก็เร่งรีบเช่นกัน หิมะตกหนักมาก รถไฟก็มาสาย เมื่อไปถึงสถานีขนส่ง รถทั้งสองรอบในช่วงเช้าได้ออกไปแล้ว จึงทำได้เพียงแค่นั่งรถรอบบ่าย หล่อนบอกเย่หมิงเป่ยเสียดิบดีว่าจะถึงตอนเช้า เย่หมิงเป่ยไม่เห็นหล่อนในรถทั้งสองรอบ เขาเองก็คงรอจนร้อนรนแล้วกระมัง?

ไม่มีโทรศัพท์นี่มันช่างลำบากเสียจริง!

โจวหมิ่นผู้เคยชินกับการใช้โทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารทุกเมื่อเกิดความเป็นกังวลอย่างยิ่ง

ตอนบ่ายโจวหมิ่นได้นั่งรถเที่ยวแรก ขณะที่รถเคลื่อนตัวออกไป หล่อนก็มองไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ทั้งรู้สึกแปลกและคุ้นเคย

ในปีนั้นหล่อนก็มองทิวทัศน์นอกหน้าต่างแบบนี้ ตอนนั้นสภาพอากาศแบบเดียวกัน หล่อนนั่งรถจากมณฑลเข้ามาในเมือง เพื่อไปเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย จากนั้นก็ไม่ได้กลับมาอีก จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต

ความทรงจำต่าง ๆ ในชาติที่แล้วจนปัจจุบันผุดขึ้นมาในหัว ซับซ้อนจนอธิบายออกมาไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร

แต่หล่อนรู้ว่าตนคิดถึงเขาเข้าแล้ว

คิดถึงเย่หมิงเป่ยผู้ชายหยาบกระด้างที่อยู่ในชนบทคนนี้ คิดถึงมาก ๆ คิดถึงเป็นพิเศษเลย!

อีกนิดเดียวก็จะได้เจอเขาแล้ว ได้เจอผู้ชายทึ่มทื่อซื่อบื่อที่รอหล่อนทั้งชีวิต!

ครั้นถึงเวลาบ่ายสองโมง รถได้ขับเข้ามาในมณฑล โจวหมิ่นลุกขึ้นยืนอย่างห้ามไม่อยู่ และค่อย ๆ เดินไปที่ด้านหน้าประตูรถ

พนักงานขายตั๋วเห็นแล้ว จึงแจ้งเตือนหล่อนว่ายังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะถึงสถานี ให้หล่อนนั่งให้เรียบร้อย ระวังจะล้มหน้าคะมำ

ในที่สุดรถก็มาถึงสถานี ครั้นเห็นเย่หมิงเป่ยที่วิ่งออกมาจากห้องนั่งรอรถโดยสาร ร่างกายของหล่อนก็สั่นสะท้านไปทั้งตัวด้วยความตื่นเต้น

เมื่อรถจอด ประตูรถก็ถูกเปิดออก โจวหมิ่นคือคนแรกที่ลงมาจากรถ หล่อนยืนข้างรถมองดูสามีจอมทึ่มของตน น้ำตาไม่รักดีพลันไหลออกมา หล่อนตะโกนด้วยเสียงขึ้นจมูก “หมิงเป่ย”

เย่หมิงเป่ยยืนอยู่ตรงนั้นมองมาที่หล่อนอยู่อย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เป็นคนที่เขารอคอยมานาน เขาอยากจะเดินเข้าไปหาเหลือเกินแต่กลัวว่าจะเป็นตัวเองที่เพ้อฝัน

กลัวว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความฝันของเขา หล่อนไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ไปเรียนและไม่กลับมาแล้ว

เขากลัวว่าจะทำลายความฝันนี้ด้วยตัวของเขาเอง ทำให้ตัวเองต้องออกมาจากความฝันและกลับสู่ความเป็นจริงที่แสนเหน็บหนาว

“หมิงเป่ย!” โจวหมิ่นกลับควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป หล่อนทิ้งกระเป๋าเดินทางวิ่งสาวเท้าเข้ามาสองสามก้าว สวมกอดเย่หมิงเป่ยทันที น้ำตาของหล่อนไหลพรั่งพรูออกมา

โชคดี โชคดีที่หล่อนกลับมาในชาตินี้ ชาติที่แล้วเขารอหล่อนนานเท่าไรกัน?

ชาติที่แล้วหล่อนได้ยินเรื่องที่รุ่นหลานของตระกูลเย่กล่าวไว้ว่าสิ่งที่ลุงสามของพวกเขาชอบทำมากที่สุดคือการไปสถานี

ประโยคเรียบ ๆ กลับกระแทกร่างหล่อนราวกับค้อนหนัก ๆ ทำให้หล่อนปวดใจถึงขีดสุด ชาติที่แล้วเขารอหล่อนได้อย่างไรกัน?

การรอคอยครั้งแล้วครั้งเล่านำมาซึ่งความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขายังคงรอคอยผู้หญิงเนรคุณที่ไม่มีวันกลับมาคนนี้ตลอดไป

ทำไมเขาถึงโง่ขนาดนี้นะ!

“ตาทึ่ม คุณมันโง่เง่า!” โจวหมิ่นก่นด่าด้วยน้ำเสียงอู้อี้เคล้าน้ำตา หล่อนไม่เคยเจอคนโง่อย่างเขาขนาดนี้มาก่อนเลย ทั้งโง่เง่า ดื้อรั้น!

เย่หมิงเป่ยรู้สึกถึงคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เขายิ้มและกอดหล่อนไว้แน่น ๆ “หมินหมิ่น คุณกลับมาแล้ว ดีจริง ๆ”

หลังจากที่ส่งหล่อนไปเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็เอาแต่บอกกับคนในครอบครัวว่าหล่อนจะกลับมา จะต้องกลับมาแน่นอน

แต่อันที่จริงแล้วเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเขากำลังหลอกตัวเอง แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าหล่อนจะกลับมาแล้ว หล่อนกลับมาแล้วจริง ๆ

หล่อนไม่ได้ทิ้งเขา หล่อนไม่ได้ทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง

ทั้งสองกลับมาพบกันอีกครั้งหลังจากห่างเหินไปนาน ย่อมเกิดความอบอุ่นเป็นอย่างมาก ดึงดูดให้คนที่อยู่รอบ ๆ จำนวนไม่น้อยหันมอง มีบางคนบอกว่าขัดต่อประเพณีและศีลธรรม อยู่ข้างนอกแต่กลับมาโอบกอดร้องห่มร้องไห้เหมือนกับอะไรก็ไม่รู้ หากเป็นเมื่อหลายปีก่อน ถือเป็นความผิดเป็นอาชญากรรมได้เลย

เพียงไม่นานทั้งคู่ก็จัดการกับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว โจวหมิ่นไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร หล่อนจับมือของเย่หมิงเป่ยไว้ ไม่อยากปล่อยมือแม้เพียงครู่หนึ่ง

เย่หมิงเป่ยก็ไม่ยอมปล่อยมือของหล่อนเช่นกัน เขาเดินมาหิ้วกระเป๋าของหล่อนด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองจับมือกันเดินออกไปท่ามกลางการชี้มือชี้ไม้ของคนอื่น

“หมินหมิ่น คุณไม่ได้รับความเป็นธรรมใช่ไหม? ที่มหาวิทยาลัยมีคนรังแกคุณใช่หรือเปล่า?” เมื่อพาหล่อนไปยังร้านอาหารของรัฐเพื่อรับประทานอาหาร เย่หมิงเป่ยจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อครู่เขาเห็นท่าทางน้อยใจของภรรยา เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจ

“ไม่มีใครรังแกฉันหรอกค่ะ ใครจะมารังแกฉันได้? ฉันก็แค่… คุณมันโง่ ถ้าฉันไม่กลับมา คุณก็ไม่คิดจะไปหาฉันที่มหาวิทยาลัยสินะ?” โจวหมิ่นเองก็จัดการกับอารมณ์ไว้แล้ว หล่อนจ้องมองเขาพลางกล่าว

“ผมกลัวว่าจะทำให้คุณอับอายน่ะ” ทำไมเย่หมิงเป่ยจะไม่อยากไปหาหล่อน? เขาอยากไปหาใจจะขาด แต่เขาเป็นคนบ้านนอก จึงกลัวว่าคนที่มหาวิทยาลัยจะรู้ว่าหล่อนที่เป็นนักศึกษาแต่งงานกับเขาที่เป็นคนบ้านนอกแล้วจะถูกเพื่อนนักศึกษาดูถูก

“ไร้สาระ เพื่อนร่วมห้องในหอพักของฉันทุกคนรู้ว่าสามีของฉันอยู่ชนบท สามีของเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งก็ยังพาลูกมาหาหล่อนเลย หล่อนมีความสุขมาก ฉันเองก็คาดหวัง แต่ก็ไม่เห็นคุณ ทำไมคุณถึงได้ใจร้ายขนาดนั้น?” โจวหมิ่นพลิกจากผู้ถูกถามเป็นผู้ถาม หล่อนกล่าวตำหนิทันที

แม้ว่าเย่หมิงเป่ยจะถูกตำหนิ แต่ในใจของเขากลับมีความสุข เขาส่งสายตาหยั่งเชิงมองภรรยาของตัวเอง “หมินหมิ่น งั้นหลังจากนี้ผมจะนั่งรถไปหานะ?”

“จะถามฉันทำไมคะ ฉันหยุดขาคุณไม่ได้สักหน่อย ฉันแค่บอกคุณ ตัวเองดูแลภรรยาได้ไม่ดี ไม่ไปแสดงความเป็นเจ้าของ งั้นก็อย่ามาโทษฉันก็แล้วกันถ้าทนการตามจีบของคนอื่นไม่ไหว” โจวหมิ่นแค่นเสียง

แม้ว่าหล่อนจะมีอายุมากแล้ว แต่เมื่อกลับมาอยู่ในช่วงวัยรุ่น การเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้ ก็ทำให้หล่อนรู้สึกว่าตัวเองยังเป็นสาวน้อย จึงอยากทำตัวเอาแต่ใจบ้าง!

“ปีหน้าผมจะไปหาแน่นอน!” เย่หมิงเป่ยรีบตอบ

โจวหมิ่นจึงกล่าวว่า “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ รีบกินเร็วเข้า กินเสร็จไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำกันค่ะ!”

“ผมไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา” เย่หมิงเป่ยชะงักไปครู่หนึ่ง

“ตอนอยู่มหาวิทยาลัยฉันหาเวลาว่างทำเสื้อให้คุณหนึ่งตัวแล้ว อีกครู่หนึ่งก็เปลี่ยนได้แล้วล่ะ” โจวหมิ่นกล่าว

แม้แต่เกี๊ยวเย่หมิงเป่ยก็ไม่อยากรับประทานแล้ว เขามองภรรยาของตัวเอง ดวงตาดำขลับเป็นมันเงาคู่นั้นทำเอาโจวหมิ่นที่ถูกมองหัวใจเต้นระรัว ร่างกายเริ่มชาไปทั้งตัว หล่อนกล่าวเสียงแหว “มองอะไร รีบกินสิ!”

เย่หมิงเป่ยจึงรับประทาน เพียงไม่นานเขาก็รับประทานเกี๊ยวกับภรรยาจนหมด ร่างกายก็รู้สึกสบายตัว

พวกเขาไม่สนใจว่าอาบน้ำหลังจากเพิ่งกินอิ่มไม่ดีต่อร่างกาย ทั้งสองเดินทางมายังโรงอาบน้ำและอาบน้ำอย่างมีความสุข

ทั้งสองมาเจอกันอีกครั้งที่หน้าทางเข้าโรงอาบน้ำ

โจวหมิ่นโอบรอบคอเขาพลางกล่าวว่า “หมิงเป่ย พาฉันกลับบ้าน!”

ตั้งแต่วันที่หล่อนกลับมาอีกครั้ง หล่อนก็คิดถึงแต่เย่หมิงเป่ยตลอดเวลา คิดถึงช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราในชาติก่อน ช่วงเวลาที่ทั้งสองใช้ร่วมกัน นอกจากความสำนึกผิดแล้ว ที่มากกว่านั้นคือความตื่นเต้นที่ได้คนรักที่หายไปกลับคืนมา

การกลับชาติมาเกิดในครั้งนี้ ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับหล่อนมากไปกว่าเย่หมิงเป่ยอีกแล้ว

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

กลับมาเจอกันอีกในชาตินี้ก็อย่าแยกจากกันอีกนะ เอาความรู้สึกของชาติที่แล้วเป็นบทเรียน

ไหหม่า(海馬)