เย่หมิงเป่ยได้ยินโจวหมิ่นกล่าวแบบนี้ จิตใจของเขาก็รู้สึกอบอุ่น เขาอยากเหยียบกงล้ออัคคีกลับบ้านแทบแย่แล้ว กล่าวว่า “ภรรยา ขึ้นรถเถอะ ผมจะพาคุณกลับบ้าน!”

ทั้งสองยังอยู่บนถนนใหญ่ มีพี่สาวคนหนึ่งเห็น จึงกล่าวหยอกล้อเคล้ารอยยิ้มว่า “ฉันบอกอะไรให้นะเด็ก ๆ ถ้าพวกเธอทั้งสองคนจะจูบกันก็ไปจูบกันในบ้าน ด้านนอกโรงอาบน้ำไม่ต้องพูดถึงหรอกว่าหนาวขนาดไหน แต่ยังส่งผลกระทบไม่ดีด้วยนะ”

เย่หมิงเป่ยแก้มแดงระเรื่อ

ตอนนี้ไม่ได้ถูกจำกัดแบบคนรุ่นก่อนหน้านี้แล้ว โจวหมิ่นได้ยินกลับนิ่งสงบมาก แต่ก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดีในการหวนรำลึกถึงความหลัง หล่อนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอโทษนะคะพี่สาว พวกเราจะไปแล้วน่ะค่ะ”

พี่สาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์ที่ดีก็เป็นเรื่องดีนะ ช่วงนี้อากาศหนาว ฉันเห็นเธอสวมเสื้อผ้าบาง ๆ รีบกลับไปเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด”

“ขอบคุณค่ะพี่สาว” โจวหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม จึงหันมองคนโง่เง่าของตัวเอง กล่าวว่า “พวกเรากลับกันเถอะ”

เย่หมิงเป่ยลากกระเป๋าเดินทาง จูงมือโจวหมิ่นไปยังที่จอดรถจักรยานเพื่อนำจักรยานออกมา

กระเป๋าเดินทางของโจวหมิ่นค่อนข้างใหญ่ ถ้าจะนั่งเบาะหลังก็ต้องหิ้วกระเป๋าเดินทางไว้ เย่หมิงเป่ยไม่ทำแบบนั้น กระเป๋าเดินทางใบนี้หนักขนาดไหนกัน จะให้ใช้มือถือไว้ได้อย่างไร เขามัดกระเป๋าไว้ที่เบาะนั่ง และเรียกโจวหมิ่นให้มานั่งตรงท่อบนด้านหน้าของจักรยาน

“ฉันนั่งด้านหน้า คุณจะขี่ได้เหรอ?” โจวหมิ่นดวงตาเป็นประกายแวววาว มองตรงมาที่เขา

เย่หมิงเป่ยมองดวงตาคู่นี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าขี่จักรยานได้ไหม ต่อให้ขึ้นสวรรค์ก็ทำได้

“คุณไม่ลองแล้วจะรู้เหรอ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ทำคุณล้มหรอก มา สวมเสื้อหนังแกะตัวนี้ด้วย” เย่หมิงเป่ยหยิบเสื้อหนังแกะออกมาให้หล่อนสวม

“ถ้าคุณขี่ไม่ไหวก็บอกนะคะ” โจวหมิ่นขึ้นไปนั่งตะแคงข้าง

โจวหมิ่นเป็นคนภาคใต้ หล่อนสูง 160 กว่าเซนติเมตร รูปร่างผอมเพรียว ส่วนเย่หมิงเป่ยสูง 180 กว่าเซนติเมตร แถมอาหารที่บ้านก็ไม่เลว จึงทำให้ดูไม่อ้วน ซึ่งความจริงแล้วเขาแข็งแรงมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ขี่จักรยานให้ภรรยานั่ง เขายังปั่นได้อย่างมั่นคงและรวดเร็ว

โจวหมิ่นเอนตัวพิงหน้าอกของเย่หมิงเป่ย สัมผัสได้ถึงหัวใจที่แข็งแรงของเขา ความสุขและความพึงพอใจเช่นนี้ทำให้หล่อนเพลิดเพลินเกินเทียบเทียม

“หมินหมิ่นคุณหนาวไหม?” เย่หมิงเป่ยกล่าว

“คุณอย่าไปฟังคำพูดของพี่สาวคนนั้นเลยค่ะ ฉันใส่กางเกงผ้าฝ้ายกับเสื้อผ้าฝ้าย เพียงแต่ภายนอกฉันสวมเสื้อคลุมขนสัตว์ก็เท่านั้นแหละ ตอนนี้สวมเสื้อหนังแกะเพิ่มเข้ามา แถมคุณยังบังลมด้านหลังให้ฉันอีก ไม่หนาวเลยสักนิด” โจวหมิ่นกล่าว

“คุณเองก็นั่งอยู่ด้านหน้าบังลมให้ผมเหมือนกันนะ” เย่หมิงเป่ยนั่งหลังโจวหมิ่น ภายในใจถึงกับพูดไม่ออกว่าดีงามขนาดไหน

“งั้นคุณชอบให้ฉันบังลมให้คุณหรือเปล่าล่ะคะ?” โจวหมิ่นกล่าวจบก็หันไปลูบไล้ใบหน้าของเย่หมิงเป่ย

สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ทำเอาเย่หมิงเป่ยเสียการควบคุมในการปั่นจักรยาน รถไถลออกนอกเลน ทั้งสองคนจึงล้มลงบนกองหิมะ

“หมินหมิ่น!” เย่หมิงเป่ยตกใจ เขารีบดึงโจวหมิ่นขึ้นมา “หมินหมิ่น คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม!”

โจวหมิ่นนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น

“หมินหมิ่น!” เย่หมิงเป่ยตกใจมาก รีบก้มตัวเพื่อตรวจอาการของหล่อน

โจวหมิ่นดึงเขา ทำให้เย่หมิงเป่ยล้มทับลงบนตัวหล่อน โจวหมิ่นจูบเขาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็มองเขาด้วยรอยยิ้ม

เย่หมิงเป่ยถึงกับผงะ ดวงตาของเขาเป็นประกาย ใบหน้าแดงก่ำขณะกวาดตามองรอบ ๆ ไม่มีใคร เขากล้าแค่สัมผัสใบหน้าของหล่อนเท่านั้น จากนั้นก็กอดหล่อนให้ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “หมินหมิ่น คุณอย่าก่อเรื่องสิ คุณไม่ได้กระแทกโดนอะไรใช่ไหม?”

“หิมะตกหนักขนาดนี้ สวมเสื้อผ้าหนาแบบนี้อีก แถมยังเป็นจักรยานอีก จะกระแทกโดนได้ไงคะ” โจวหมิ่นยิ้มร่า

“งั้นก็ดี” เย่หมิงเป่ยจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

โจวหมิ่นมองไปที่ด้านข้าง มันคือป่าสน หิมะสีขาวโพลนและต้นสนสีเขียว ราวกับภาพวาดด้วยน้ำหมึก

“หมิงเป่ย คุณดูสิ สวยงามขนาดนั้น พวกเราไปที่นั่นกันสักแป๊บเถอะ” โจวหมิ่นยิ้มเบา ๆ จากนั้นจึงจูงมือของเขาเข้าไปในป่าสน

เย่หมิงเป่ยย่อมฟังคำของโจวหมิ่นอยู่แล้ว เขาปฏิบัติตามอย่างเชื่อฟัง

หิมะหนากว่าหนึ่งฟุต ยุบตัวลงหนึ่งครั้งทุก ๆ ย่างก้าว การเดินใช้กำลังมาก เดินไปสักพักโจวหมิ่นก็เดินต่อไม่ไหวแล้ว หล่อนพิงเข้ากับต้นสนต้นหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองเย่หมิงเป่ยอย่างลึกซึ้ง

“หมินหมิ่น เกิดอะไรขึ้น?” เย่หมิงเป่ยไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่หัวใจของเขากลับเต้นรัวเร็ว

“หมิงเป่ย พวกเราไม่ได้เจอกันมานาน คุณไม่คิดถึงฉันที่เป็นภรรยาเลยเหรอคะ ที่นี่ไม่มีคนนะ” โจวหมิ่นกระซิบ

ถ้าเย่หมิงเป่ยยังไม่เข้าใจความหมายนี้อีก เช่นนั้นเขาก็ไม่ใช่ผู้ชายแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ชาย แถมยังเป็นผู้ชายในหมู่ผู้ชายด้วย

ดังนั้นเย่หมิงเป่ยจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เขากอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก้มหน้าจูบลงบนริมฝีปากที่ทำให้เขาปรารถนาคู่นั้น

เมื่อพวกเขาออกมาจากป่า เวลาก็ได้ล่วงเลยไปสี่สิบนาทีแล้ว

แน่นอนว่า ในวันที่หิมะตกหนักแบบนี้ทั้งคู่ไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่จูบกันก็เท่านั้น

ไม่เพียงแต่เย่หมิงเป่ยที่คิดถึงคะนึงหาภรรยาของเขา หลังจากที่หล่อนย้อนอดีตกลับมาได้อีกครั้ง โจวหมิ่นเองก็รู้สึกคิดถึงเขาเช่นเดียวกัน

การบรรเลงจูบนี้แน่นอนว่าถึงขั้นฟ้าหม่นแผ่นดินมืดกันเลยทีเดียว

โชคดีที่เย่หมิงเป่ยยังคงจำได้ว่าต้องกลับบ้านถึงจะทำอะไรต่ออย่างเป็นจริงเป็นจังได้

“หมินหมิ่น พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ” เย่หมิงเป่ยหอบหายใจ ส่วนล่างของเขาแข็งขึงราวกับท่อนเหล็ก แต่จะมาทำอะไรด้านนอกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นถ้ามันถูกแช่แข็งขึ้นมาจะทำอย่างไร?

“อืม” โจวหมิ่นกล่าวเสียงอ่อนนุ่มดุจน้ำ

ขึ้นรถครั้งนี้หล่อนไม่ได้รบกวนเขาอีกแล้ว หล่อนเอนตัวพิงอ้อมแขนของเขา รับฟังการเต้นของหัวใจที่มีพลังของเขาผ่านเสื้อผ้า

เมื่อทั้งสองกลับถึงบ้านก็ดึกมากแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเย่แตกต่างจากตระกูลอื่น ๆ ในเรื่องต้องให้อาหารหมู ทำความสะอาดเล้าไก่ ทำนู่นทำนี่ ป่านนี้ก็คงจะหลับไปแล้ว

เพราะก่อนฤดูหนาวในปีนี้คุณแม่เย่เมินการคัดค้านของคุณพ่อเย่ นางนำหมูสองตัวกลับมาเลี้ยง ที่บ้านจึงมีสิ่งมีชีวิตจำนวนไม่น้อย

แต่ดึกขนาดนี้แล้วพวกเขาทั้งสองคนยังไม่กลับมา คุณพ่อเย่และคุณแม่เย่ย่อมคิดว่าพวกเขาคงพักที่มณฑลไปแล้ว

“แม่ พ่อ พวกเรากลับมาแล้ว!” เย่หมิงเป่ยอยู่ที่ประตูลานตะโกนเสียงดัง จากนั้นกล่าวกับโจวหมิ่นที่ลงจากรถว่า “คุณดูสิ บ้านของพวกเราเปิดไฟอยู่ล่ะ”

แค่โจวหมิ่นมองก็พบแล้วว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ บ้านของคนอื่นมืดหมดแล้ว หล่อนจึงแอบรู้สึกเขินอาย “คุณพ่อคุณแม่รอพวกเราอยู่สินะ ไม่งั้นคงกลับมาให้เร็วกว่านี้”

เย่หมิงเป่ยคิดถึงเรื่องจูบจนฟ้าหม่นแผ่นดินมืดภายในป่าเล็ก ๆ ทว่าภายในใจของเขากลับไม่ได้รู้สึกเสียใจที่กลับสายแม้แต่นิดเดียว กล่าวว่า “ครอบครัวของเรานอนดึกมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“เจ้าสามเหรอ ทำไมลูกถึงเพิ่งกลับมา?” คุณแม่เย่วิ่งมาจากด้านหลังบ้าน “หมินหมิ่นล่ะ กลับมาแล้วเหรอ?”

“คุณแม่คะ!” โจวหมิ่นส่งเสียงเรียกผ่านประตู

หัวใจของคุณแม่เย่ที่ยืนอยู่ด้านหลังประตูได้ยินเสียงเรียกว่า “คุณแม่” พลันเกิดแสงสว่างไสวขึ้นมา พากลับมาบ้านได้ก็ดีแล้ว

“หมินหมิ่นกลับมาแล้วเหรอ? แม่ก็บอกหมิงเป่ยไปแล้ว ถ้าดึกก็ให้พักที่มณฑล หิมะตกหนัก เดินทางไม่สะดวก เจ้าเด็กนี่ก็ไม่ฟัง ระหว่างทางกลับมาคงหนาวแย่เลยสิเนี่ย? ” คุณแม่เย่กล่าวขณะเปิดประตู

“คุณแม่คะ พอดีรถไฟมาช้าน่ะค่ะ ไม่งั้นก็คงกลับมาเร็วกว่านี้” โจวหมิ่นลากกระเป๋าไปพลางก็เดินพูดไปพลาง

เย่หมิงเป่ยกล่าว “ตอนกลับมาจากมณฑลฟ้ายังสว่างอยู่เลย ผมเองก็ไม่อยากรบกวนคนอื่นด้วย ก็เลยกลับมา”

“ช่วงเช้าในฤดูหนาวสั้น ถึงจะเห็นว่าท้องฟ้ายังสว่างอยู่ก็เถอะ แต่แค่พริบตาเดียวก็มืดแล้ว รีบเข้าไปในห้องทำตัวให้อุ่น ๆ ยังไม่ได้กินอะไรกันมาสินะ แม่จะไปทำอาหารให้พวกเธอกิน” คุณแม่เย่ปิดประตู กล่าวกับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม

“คุณแม่คะ มีกับข้าวเหลือไหมคะ พวกเรากินกับข้าวที่เหลืออยู่ก็ได้ค่ะ ไม่ต้องไปทำใหม่หรอก ลำบากคุณแม่เกินไปแล้ว” โจวหมิ่นเห็นว่าแม่สามีไม่ได้ตำหนิหล่อนที่จากไปโดยไม่ส่งข่าวคราวกลับมาอีก ภายในใจจึงรู้สึกผิดและรีบกล่าวออกไป

“ลำบากอะไรกัน มีอาหารที่ทำเสร็จแล้วอยู่ แม่เตรียมของไว้ตั้งนานแล้ว” คุณแม่เย่บอกให้เย่หมิงเป่ยไปจุดเตา ส่วนนางก็เดินไปแบกฟืน

โจวหมิ่นยังต้องพูดอะไรอีก หล่อนบอกให้เย่หมิงเป่ยลากกระเป๋าเข้าห้อง ส่วนหล่อนก็เดินหัวเราะคิกคักตามไป

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

โล่งอกค่ะ นึกว่าจะทำกันกลางป่าสนทั้งที่หิมะตกเสียแล้ว เป็นเพราะจากกันไปนานเลยคิดถึงมากสินะ

ว่าแต่หมิงเป่ยน้อยพ้นจากความทรมานแล้วหรือยังคะ

ไหหม่า(海馬)