บทที่ 36 ฮูหยิน รอข้าด้วย! (4) Ink Stone_Romance
ซูอี้มองฝุ่นที่ฟุ้งกระจายนั้นแล้วยิ้มกว้างขึ้นมา จากนั้นพูดหยอกล้อเล่นขึ้นว่า “ข้าไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่าท่านหญิงมีจิตใจที่กว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้? ทำไมรึ ท่านรอให้สะสางเรื่องในมือเสร็จแล้ว จะปิดบังชื่อเสียงเรียงนามของตนแล้วไปเปิดโรงหมอช่วยเหลือคนเจ็บคนป่วยกับจวินอี้ที่ไหนงั้นรึ?”
ฉู่สวินหยางฟังแล้วกระตุกมุมปากหนึ่งที ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับเขาต่อ นางเพียงแค่ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ก็แค่ช่วยเหลือนางเท่านั้นเอง ไม่ต้องพูดถึงความขัดแย้งภายในของจวนอ๋องหนานเหอหรอก ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้นางก็เป็นผู้ถูก กระทำ!”
พูดตามตรงฉู่หลิงซิ่วเองก็โชคไม่ดีเท่าไร แค่เพราะคำพูดที่นางพูดกับฉู่หลิงอวิ้นไปประโยคนั้นประโยคเดียวก็ทำให้นางตกระกำลำบากมาถึงขั้นนี้ได้…
มันช่างน่าเศร้าสลดและน่าเห็นใจนัก!
แต่ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้คิดเห็นใจนางมากไปกว่านั้น นางรีบเปลี่ยนสีหน้าระงับอารมณ์เอาไว้ แล้วพูดจริงจังขึ้นว่า “แล้วทางฝั่งของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ส่งตัวโม่เสว่กับลั่วสุ่ยไปแล้วน่ะ ถึงแม้จะจัดการให้สิ้นชีพไม่ได้ในดาบเดียว แต่การจัดการคนพวกนั้นภายในเวลาที่กำหนดก็ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง ถึงตอนนั้น…” ซูอี้ยิ้มขึ้นเล็กน้อย สีหน้าอารมณ์ยังคงอ่อนโยน แต่กลับให้ความรู้สึกเยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก
เขาหันไปมองทิศทางของโรงเตี๊ยมแห่งนั้น “สายลับที่ฮ่องเต้ฝึกปรือมากับมือไม่ว่าอย่างไรก็เชื่อมือได้อยู่แล้ว”
“หึ…” ฉู่สวินหยางไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ นางเพียงหัวเราะเย็นชาขึ้นมาอย่างคาดอารมณ์ไม่ได้ “งั้นข้าไปก่อนแล้วกัน ท่านล่ะ? จะไปด้วยกันไหม?”
“ข้ารึ?” ซูอี้เม้มปากขึ้นอย่างสนอกสนใจ “ข้าอยู่ดูสถานการณ์ตรงนี้ต่ออีกหน่อยแล้วกัน เผื่อไว้ก่อนน่ะ อีกอย่าง…เวลานี้ ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะกลับเมืองหลวงไปอย่างเปิดเผยหรอก”
“แล้วแต่ท่านเถอะ!” ฉู่สวินหยางยักไหล่ ขึ้้นหลังม้าบังคับม้าให้หันไปอีกฝั่ง พาพวกเฉี่ยนลวี่กลับไปเมืองหลวงภายใต้ค่ำคืนอันมืดมิด
ซูอี้ยืนมองส่งพวกเขาลับจากไป สีหน้าอารมณ์และท่าทางอ่อนโยนนั้นค่อยๆ หายไปตามบรรยากาศค่ำคืนนั้น จากนั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้น
ในขณะที่ฮ่องเต้ปกป้องตระกูลซูตอนนั้น แท้จริงแล้วซูหังกับซูหลินสองพ่อลูกนั่นก็ไม่ได้เตรียมใจไว้เลยสักนิด การที่ซูหลินถ่วงเวลาไว้สามวันแล้วค่อยเดินทางออกจากเมืองหลวงนั่น ก็เป็นเพราะว่าเขารอเวลาอันสมควรที่จะติดต่อกับคนตระกูลซูมารับช่วงต่อ เตรียมทุกอย่างให้พร้อมแล้วค่อยออกเดินทางต่างหาก
เดิมทีคนที่เขาติดต่อไว้จะต้องไปหาเขาที่โรงเตี๊ยมคืนนี้พอดี แต่ซูอี้กลับชิงตัดหน้าเอาไว้ก่อน ส่งคนของหอเชียนจีไปขวางพวกเขาไว้กลางทาง
ไม่งั้นล่ะก็…
ถึงแม้จะเป็นสายลับของฮ่องเต้ก็ไม่มีทางทำได้อย่างสำเร็จราบรื่นเพียงนี้หรอก
เพียงแต่ว่าคนของหอเชียนจีนั้นส่วนมากจะเน้นเรื่องเส้นสายเสียมากกว่า คนที่มีความสามารถสังหารลอบฆ่าแบบนั้นมีจำนวนไม่เยอะเท่าไร ไม่รู้เหมือนกันว่าลั่วสุ่ยกับโม่เสว่เสียเวลาไปกับฝ่ายตรงข้ามนานแค่ไหน
ซูหลินรีบหนีออกมาจากโรงเตี๊ยมอย่างร้อนรน กระเสือกกระสนวิ่งหนีออกไปทางทิศใต้อย่างบ้าคลั่ง
หากต้องการจะวกกลับเมืองหลวงต้องมุ่งไปทางทิศเหนือ ส่วนตัวเมืองที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ร่างของคนทั้งสามคนที่ไล่ตามเขาออกมาเห็นถึงความผิดปกตินั้น คนที่อยู่ด้านหน้าสุดเพ่งสายตามอง จากนั้นเร่งฝีเท้าไล่ตามเขาไปอย่างว่องไว จนทิ้งระยะห่างกับสองคนที่เหลือ
ซูหลินได้ยินเสียงตามมาจากด้านหลังก็ยิ่งสติแตก จิตใจร้อนรนเป็นอย่างมาก
เขารู้ดีว่าตัวเองมีฝีมือมากเท่าไหน ตอนนี้เขาเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว อีกอย่างเองก็เริ่มรู้สึกแข้งขาอ่อนเปลี้ย ซ้ำยัง…
เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าคนที่บอกว่าจะมารับช่วงต่อของตระกูลซูคนนั้นตั้งใจไม่มา หรือสลบไสลไปพร้อมกันกับพวกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมนั้น
เวลานี้เองเขาก็เลยไม่กล้ารับรองรอความช่วยเหลือของอีกฝ่าย อีกอย่างเห็นว่าพละกำลังของตนเองก็ไม่เอื้อ อำนวยเท่าไรนัก จึงกัดฟันกระโจนเข้าไปในป่า เดินลัดเลาะอยู่ในนั้นเพื่อใช้ต้นไม้น้อยใหญ่เป็นที่กำบัง
คนชุดดำที่วิ่งนำอยู่ข้างหน้าส่งสัญญาณมือบอกคนที่ตามมาด้านหลัง จากนั้นก็รีบไล่ตามเขาเข้าไป
ไม่นานนักสองคนที่เหลือก็ตามพวกเขาขึ้นมาทัน จากนั้นก็แยกออกจากกันคนละทิศทาง วิ่งล้อมประกบซูหลินเอาไว้สองข้างทาง
ภายในป่านั้นมีเสียงสวบสาบดังขึ้นไม่หยุด จนทำให้นกที่อยู่ในละแวกนั้นตกใจส่งเสียงร้องจนบินหนีไป
คนชุดดำที่ไล่ตามอยู่คนแรกคนนั้นว่องไวมาก เขาไล่ตามซูหลินไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหนีได้ทัน ไล่ตามติดอีกฝ่ายอย่างไม่หยุดหย่อน แต่จู่ๆ เสียงฝีเท้าตรงหน้าก็เงียบลงไปในทันที
เห็นได้ชัดเลยว่า…
ซูหลินกำลังซ่อนตัวอยู่
แววตาของเขาจ้องเขม็ง หยุดฝีเท้าลงแล้วเงี่ยหูฟังเสียงความเคลื่อนไหว จู่ๆ ใบไม้แห้งเหี่ยวท่ามกลางฤดูเหมันต์ ก็ร่วงหล่นลงมา
เขาเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นกับคมมีดที่อยู่ข้างใต้พระจันทร์เสี้ยวลอยเด่นอยู่กลางนภา พุ่งลงมากำลังปักเข้ากลางศีรษะของตน
วิกฤตอันตรายเกิดขึ้นแบบนี้จะหลบหนีเยี่ยงไรก็หนีไม่ทัน ร่างกายจึงตอบสนองด้วยการหันคมมีดในมือขึ้นขวางเพื่อป้องกันเอาไว้ การโจมตีอย่างสุดกำลังนั่นของซูหลินยังไม่ทันหล่นลงพื้น จู่ๆ ด้านข้างก็มีเงามืดผ่านหน้าเขาไป ในมือของคนคนนั้นถือหอกเล่มยาวเอาไว้
ซูหลินที่กำลังห้อยตัวอยู่กลางอากาศ เขาพยายามรวบรวมสมาธิโจมตีกลับ แต่เพียงแค่จะหลบเขาก็ยังทำไม่ได้
ภายใต้ความตกใจหวาดกลัวนั้นเอง จู่ๆ ข้อมือก็เริ่มเจ็บชาขึ้นมา จากนั้นมือเขาก็อ่อนแรงจนต้องคลายมือออก
ในขณะเดียวกันนั้น อีกฝ่ายกระโดดถีบเข้าใส่พร้อมกับกิ่งไม้นั่นอย่างเต็มแรง
เสียงกิ่งไม้หักดังขึ้น แตกหักร่วงหล่นลงไปบนพื้น
ร่างกายของซูหลินเองก็ตกลงพื้นไปพร้อมกัน เขาบ้วนเลือดออกจากปาก เจ็บปวดไปทั่วร่าง เอ็นข้อมือข้างซ้ายก็ถูกคนฟันขาดจนเลือดไหลออกมาไม่หยุด
คนที่ห้อยตัวอยู่กลางอากาศคนนั้นกระโดดลงมา เดินเข้าไปตรงหน้าเขา
ซูหลินถอยห่างออกจากร่างนั้น พยายามใช้แสงจันทร์ที่ส่องลอดลงมามองหน้าอีกฝ่าย จู่ๆ ความเจ็บปวดที่มีอยู่นั้นก็หายไป เหลือเพียงความโกรธแค้นที่มากถึงขั้นเบิกตากว้าง พลางตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ซูอี้? ทำไมถึงเป็นเจ้า!”
“แล้วทำไมถึงไม่ใช่ข้าเล่า?” ซูอี้มองอีกฝ่ายอย่างไม่เผยสีหน้าอารมณ์ใดออกมา ใบหน้าแยแสไม่รู้ร้อนนั้นไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาให้เห็นเลยสักนิด
หอกยาวในมือของเขายังคงมีเลือดไหลไปตามคมมีดไม่หยุด สีของเลือดนั้นสะท้อนเข้ากับแววตาอันเย็นชาดุดัน เห็นแล้วช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน
ซูหลินเองก็รู้สึกหายใจไม่คล่องขึ้นมาทันที เจ็บปวดทรมานไปทั้งตัว เหงื่อไหล ออกมาไม่หยุดหย่อนจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
เขาพยายามลุกขึ้นมา แต่มือเท้ากลับไม่มีเรี่ยวแรงเหลือ นอกจากความหวาดกลัวที่มีอยู่ เขาถลึงตาจ้องมองหน้าซูอี้อย่างโกรธแค้น “เจ้าวางแผนนี้เพื่อกำจัดข้างั้นรึ?”
“ข้าจะมีความสามารถมากถึงขนาดนั้นได้เยี่ยงไร?” ซูอี้กล่าวพลางก้มมองหอกยาวในมือ “ข้าก็แค่บังเอิญเข้ามาเจอน่ะ อยากจะมาส่งท่านแทนท่านพ่อสักหน่อย ท่านเองก็จะได้ไม่รู้สึกเสียดายขึ้นมา”
พูดจบก็ตวัดคมหอกนั่นจ่อลงบนหน้าอกของซูหลิน
ซูหลินกระเสือกกระสนถอยหนี ทว่าด้านหลังกลับมีท่อนไม้ที่ขวางทางเอาไว้จนหลบหนีไปไหนไม่ได้ ทำได้เพียงจ้องมองไปยังคมหอกตรงหน้าแล้วพูดเสียงสั่นขึ้นว่า “เจ้ากล้าแตะต้องข้างั้นรึ? ข้าเป็นซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉางซุ่นเชียวนะ ข้าเป็นขุนนางแห่งท้องพระโรง หากเจ้าสังหารข้าไปแล้วไซร้ เจ้าเองก็ยากที่จะหนีรอดไปได้แน่นอน!”
ซูอี้กระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็ยิ้มออกมา
รู้สึกราวกับว่าเวลาอยู่ต่อหน้าพวกคนของตระกูลซูแล้ว เขาขี้คร้านที่จะแสร้งตีสีหน้าเป็นมิตรเข้าใส่เหลือเกิน เขาจึงเพียงมองซูหลินด้วยแววตาเย็นชาอย่างเคียดแค้นฝังหุ่น
จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมา แล้วหันไปมองคนชุดดำร่างบางที่ยืนอยู่ก้านหลังเขาแล้วพูดว่า “หากข้าสังหารเขาไป เรื่องหลังจากนี้พวกเจ้าจัดการแทนข้าหน่อยได้ใช่ไหม?”
ลมพัดคนคนนั้นจนทำให้ชุดปลิวไหวไปตามสายลม ทำให้เห็นว่าร่างกายของเขาแปลกประหลาดอยู่เล็กน้อย
เขาไม่พูดอะไร ซูอี้เองก็หาได้สนใจไม่ เขาหันไปจ้องมองซูหลิน ง้างหอกยาวนั้นขึ้น
ซูหลินตกใจกลัวจนหลับตาลงปี๋ทันที
ความเจ็บปวดจากบาดแผลบนแขนขานั้น ทำให้เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อจนแทบจะสลบลงไป แต่เมื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นตอนนั้น กลับพบว่าตัวเองยังหายใจอยู่ ซูอี้ที่อยู่ตรงหน้าเขายังคงง้างหอกเอาไว้ มองมาที่เขาด้วยสายตาเยาะเย้ยประชดประชัน
เมื่อเขาสองคนสบตามองกัน ซูอี้ก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “วางใจเถอะ ไม่นานหรอก ท่านไม่สามารถอดทนได้ถึงตอนที่เลือดไหลหมดตัวหรอก อย่างมากก็…”
เขาพูดพลางก็หลับตาลงคำนวณอย่างตั้งอกตั้งใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างสบายอกสบายใจว่า “แค่เวลาครึ่งถ้วยชา[1]น่ะ!”
————————————
[1]หนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10 – 15 นาที