บทที่ 313 : เส้นทางสายเลือด

ทันทีที่หลิงหยุนเดินเข้าไปถึงหน้าประตูแห่งความตาย เขาก็หยุดชะงักทันที และไม่ยอมเดินเข้าไปด้านใน

ด้านในประตูแห่งความตายนี้ต่างจากถ้ำหินที่เขายืนอยู่มาก ที่นี่กว้างขวางจนรถไฟสามารถวิ่งผ่านได้ แต่เส้นทางในประตูแห่งความตายนั้นคับแคบเพียงแค่คนสองคนเดินได้ และหลิงหยุนก็ต้องงอตัวเล็กน้อยเพื่อให้สามารถเดินเข้าไปได้

พลังหยินที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยปกคลุมรอบตัวหลิงหยุน จนเขารู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงแผ่นหลัง

พลังหยินในนี้นับว่ามีเหลือเฟือ แต่ในเรื่องของความบริสุทธิ์นั้น มันยังไม่บริสุทธิ์ในแบบที่หลิงหยุนต้องการ

เจ้าขาวปุยเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง มันจึงสามารถสัมผัสพลังหยินที่เข้มข้นนี้ได้ ขนสีขาวของมันตั้งชันขึ้นทั้งตัว และร่างกายก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง ดวงตาสองข้างของมันจ้องมองเข้าไปในถ้ำหิน สายตาของมันบ่งบอกว่าด้านในมีอันตรายแอบซ่อนอยู่

“ไม่ต้องกลัว! ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็ต้องเข้าไป! ไม่เข้าถ้ำเสื้อจะได้ลูกเสือได้ยังไงเล่า?”

หลิงหยุนยังคงยับยั้งใจไม่ดูดซับเอาพลังหยินที่กำลังกระตุ้นเขาอยู่ในขณะนี้เข้าไป แล้วพูดพร้อมกับยิ้มให้กำลังใจเจ้าขาวปุย

“สู้ๆ”

เพียงแค่หลิงหยุนพูดขึ้นมาเท่านั้น เขาก็ได้ยินเหมือนเสียงนกกระพือปีกพรึบพรับอยู่ในถ้ำหินที่มืดมิดตรงหน้า หลิงหยุนรู้สึกประหลาดใจแต่ก็พูดออกไปว่า

“เข้าไปข้างในกันได้แล้ว!”

มือซ้ายของหลิงหยุนถือตะปู ส่วนมือขวากำพู่กันจักรพรรดิไว้แน่น เขาก้มหัวและเดินฝ่าความมืดเข้าไปอย่างช้าๆ ความเร็วที่หลิงหยุนใช้นั้นไม่ต่างจากที่คนธรรมดาเดินเท่านั้นเอง

ตั้งแต่หลิงหยุนลงมาถึงก้นหลุมยักษ์แห่งนี้ เขาก็พบกับงูเหลือมยักษ์ และปีศาจน้ำขนาดใหญ่ ตอนนี้เขามาถึงค่ายกลมังกรหยินหยาง และกำลังจะมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่ตามังกรซึ่งเป็นบริเวณกักเก็บพลังหยินที่บริสุทธิ์อย่างมาก

แต่เดินไปข้างหน้าได้เพียงแค่สามสิบเมตรโดยไม่มีอันตรายอะไร ก็สิ้นสุดทางเดินของถ้ำหินแห่งนี้ และด้านหน้าหลิงหยุนในเวลานี้คือพื้นที่โล่งกว้าง..

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจก่อนจะตัดสินใจเดินไปทางขวา และเจ้าขาวปุยก็วิ่งตามไปเช่นกัน

อุณหภูมิด้านในนี้ลดลงราวสิบองศา และพลังหยินก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น หลิงหยุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าลึกเข้าข้างใน จะต้องมีบางอย่างที่อันตรายและมีพลังหยินเข้มข้นมากด้วย

หลิงหยุนเชื่อมั่นในสัญชาติญาณที่ว่องไวและแม่นยำของตนเองที่มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังอยู่ในโลกบ่มเพาะ

“ตามข้ามา.. แล้วก็ระวังตัวด้วย!” หลิงหยุนหันไปพูดกับเจ้าขาวปุย

สุนัขจิ้งจอกนั้นนับว่าเป็นสัตว์ที่ระมัดระวังตัวที่สุดอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นที่หลิงหยุนจะต้องร้องเตือนมันแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เจ้าขาวปุยเองก็เดินตามติดหลิงหยุนไปอย่างใกล้ชิด

โชคดีที่สายตาของหลิงหยุนในเวลานี้ได้ปรับเข้ากับความมืดได้เป็นอย่างดีแล้ว เขาจึงสามารถมองเห็นได้ระยะเจ็ดถึงแปดเมตรได้อย่างชัดเจน แต่หากในระยะที่ไกลเป็นสิบเมตรก็จะไม่ชัดเจนนัก

ในเวลานี้.. อุณหภูมิภายในถ้านี้ได้ลดลงเหลือเพียงแค่สิบกว่าองศาเท่านั้น แต่หินภายในถ้ำกลับเย็นและแห้ง แทนที่จะเปียกชื้นเหมือนด้านนอก อีกทั้งภายในยังเงียบสงัดจนน่าขนหัวลุก

ท่ามกลางความมืดและความเงียบ หลิงหยุนและเจ้าขาวปุยเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง..

ด้านในถ้ำหินกลับค่อยๆกว้างขึ้น และเพดานถ้ำก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เดินเข้าไปอีกไม่ไกลนัก เมื่อหลิงหยุนเงยหน้าขึ้นสำรวจ เขาก็มองไม่เห็นเพดานถ้ำอีกแล้ว

“…..”

แต่สิ่งที่หลิงหยุนสังเกตุเห็นกลับเป็นเงาดำสิบกว่าเงาบินไปมาอยู่กลางอากาศ และมีซากหนูขนาดใหญ่ที่ตกอยู่บนพื้น

กลิ่นคาวเลือดจางๆลอยเข้ากระทบจมูกของหลิงหยุน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย และรีบเดินไปอยู่ข้างผนังถ้ำ เจ้าขาวปุยไม่รอช้ารีบวิ่งตามไปด้วยทันที

“บนเพดานถ้ำต้องมีอะไรอยู่อย่างแน่นอน เจ้าเดินตามข้ามา เราจะเดินเลาะไปข้างๆแบบนี้ เร็วๆเข้า!”

หลิงหยุนกระซิบบอกเจ้าขาวปุยเสียงเบา เขาต้องการมุ่งหน้าไปยังตามังกรที่กักเก็บพลังหยินเท่านั้น ไม่ได้ต้องการกระตุ้นสัตว์ประหลาดที่นี่ให้ตื่นตกใจ

พูดจบ.. หลิงหยุนก็ใช้เท้าทองคำหมื่นลี้กระโดดออกไปข้างหน้าไกลถึงสิบเมตร ส่วนเจ้าขาวปุยก็รวดเร็วราวสายฟ้าไม่แพ้หลิงหยุน มันกระโจนตามเขาไปได้ติดๆ

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลิงหยุนก็มองเห็นกองกระดูกอยู่ในถ้ำหินเต็มไปหมด มันเป็นกองกระดูกของสัตว์ต่างๆมากมาย แต่โชคดีที่เขาไม่พบกระดูกมนุษย์

หลังจากที่หลิงหยุนวิ่งออกไปไกลหลายสิบเมตร  เขาและเจ้าขาวปุยกลับไม่ถูกนกเหล่านั้นโจมตี แต่ในขณะที่หลิงหยุนหยุดเพื่อจะหันกลับไปมองสิ่งที่อยู่ด้านหลัง เขาก็ได้ยินเสียงกระพือปีกดังกระหึ่มอยู่เต็มถ้ำ สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับร้องเรียกเจ้าขาวปุย “ขาวปุย!”

ทันทีที่หลิงหยุนรู้สึกตัว เขาก็เห็นเงาสีดำพุ่งลงมาเป็นเส้นราวกับดาบ เขายกมือขึ้นซัดตะปูออกไป และมันก็ร่วงตกลงไปบนพื้น มันไม่ใช่นก แต่เป็นค้างคาวน้ำตาลเข้ม

ค้างคาวสีน้ำตาลเข้มนอนตายกองอยู่กับพื้น ปีกและลำตัวของมันมีขนาดเท่ากับกลีบดอกไม้ หลิงหยุนรู้ทันทีว่ามันคือค้างคาวดูดเลือด!

ค้างคาวชนิดนี้มักจะอาศัยรวมกันเป็นกลุ่มอยู่ในถ้ำมืด ปากของมันจะยาวกว่าค้างคาวปกติ มันไม่เพียงดูดเลือดแต่ยังกินเนื้อเป็นอาหาร พวกมันจะรุมทึ้งเหยื่อกันเป็นกลุ่มอย่างน่าสยดสยอง

“ข้ากลัวจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์พวกนี้ที่สุด แต่ในที่สุดก็เจอจนได้!”

สิ่งที่หลิงหยุนกังวลที่สุดนั้น.. ในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้!

หลิงหยุนเห็นค้างคาวจำนวนมากค่อยๆบินต่ำลงมาเป็นเงาทะมึนขนาดใหญ่ เขาซัดตะปูออกไป และรีบใช้มังกรพรางร่างวิ่งหนีออกไปไกลราวยี่สิบเมตร!

การฆ่าสัตว์เหล่านี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ปัญหาคือจำนวนที่มากมายของมันซึ่งอาจจะหลายพันตัว และหลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่ามันจะมีจำนวนมากแค่ใหนกันแน่ หากเขาเลือกที่จะฆ่ามันทั้งหมด ก็อาจจะสูญเสียพลังชีวิตไปโดยใช่เหตุ เพราะหากฆ่าพวกมันไม่หมด ในที่สุดเขาก็อาจตายอย่างน่าสยดสยองก็เป็นได้!

“ขาวปุย.. เจ้าเกาะข้าไว้ให้แน่น!”

หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับซัดตะปูออกไป เขาเรียกยันต์อัคนีออกมา และไม่สนใจกับสิ่งที่อยู่ด้านหลังอีก จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว!

ค้างคาวดูดเลือดจำนวนมากที่บินวนอยู่กลางอากาศราวกับตาข่ายสีดำขนาดใหญ่จนเกือบจะเต็มเพดานถ้ำ ต่างก็บินตามหลิงหยุนและเจ้าขาวปุยที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าเช่นกัน!

ตอนนี้.. ยันต์อัคนีที่อยู่ในมือของหลิงหยุนเจ็ดแปดแผ่น ได้ถูกซัดออกไปจนกลายเป็นลูกไฟขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอล และได้เผาค้างคาวดูดเลือดที่อยู่กลางอากาศจนเสียงเปรี๊ยะๆ ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากไฟไหม้เนื้อดังขึ้นไม่หยุด!

แต่จำนวนของค้างคาวดูดเลือดนั้นมีจำนวนมากมายเหลือเกิน หลิงหยุนจึงซัดยันต์อัคนีออกไปอีกสองสามแผ่น แต่ก็ซัดออกไปได้ไกลเพียงแค่สองร้อยเมตรเท่านั้น

“ชิ้ว…” หลิงหยุนโบกมือไล่ค้างคาวดูดเลือดที่อยู่บนร่างของเจ้าขาวปุยออกไป จากนั้นก็พากันวิ่งต่อ

ยันต์อัคนีเมื่อครู่ทำให้หลิงหยุนมองเห็นสภาพแวดล้อมในถ้ำได้ชัดขึ้น เขาพบว่าสูงขึ้นไปราวสามสิบเมตร เพดานถ้ำที่โค้งงอและมีขนาดเท่าสนามฟุตบอลนั้น มีค้างคาวสีน้ำตาลเข้มจำนวนนับไม่ถ้วนเกาะอยู่

และตอนนี้พวกมันก็อยู่กลางถ้ำ!

หลิงหยุนรู้ว่าเขาและเจ้าขาวปุยนั้นเข้าใกล้กับดวงตามังกรมากแล้ว เขาจึงหยิบยันต์อัคนีออกมาซัดใส่อีกราวสิบกว่าแผ่น ทำให้ค้างคาวดูดเลือดที่อยู่ตรงหน้านั้นถูกเผาจนหมด

“ข้างหน้ามีประตู ตามข้ามาเร็วเข้า!”

หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางประตูหินที่อยู่ด้านหน้าไกลๆ จากนั้นก็เอื้อมมือซ้ายออกไปอุ้มร่างของเจ้าขาวปุยขึ้นมา มือขวากำพู่กันจักรพรรดิไว้นแน่น และวิ่งตรงไปที่ประตูหินสีดำ!

“นี่มันเลือดจริงๆ!”

แม้จะอยู่ห่างจากประตูหินเพียงแค่สองร้อยเมตร แต่หลิงหยุนก็ไม่รู้ว่าจะหลบเลือดค้างคาวที่หยดลงมาได้อย่างไร!

เขาวิ่งไปพร้อมกับใช้พู่กันจักรพรรดิในมือฟาดฟันกับค้างคาวดูดเลือดทั้งที่บินอยู่ด้านบนและด้านหลังของเขาอย่างน่าสยดสยอง!

หลิงหยุนใช้เวลาราวห้านาทีกว่าที่จะวิ่งไปถึงที่หน้าประตูหิน เมื่อไปถึงเขาก็ยกเท้าขึ้นถีบประตูหินจนสุดแรง แต่ประตูหินกลับนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย!

หลิงหยุนวางเจ้าขาวปุยลงที่พื้น ก่อนที่จะใช้ร่างของตนเองวิ่งชนประตู แล้วก็หันกลับมาซัดยันต์อัคนีใส่กลุ่มค้างคาวที่ด้านหลังอีก ลูกไฟสิบกว่าลูกลุกโชนและเผาค้างคาวดูดเลือดจนไหม้เกรียมทันที!

หลิงหยุนอาศัยจังหวะที่เป็นฝ่ายได้เปรียบนี้ รีบสำรวจประตูหินที่อยู่ตรงหน้าทันที แต่โชคร้ายที่ด้านข้างของประตูกลับมีค้างคาวดูดเลือดเกาะอยู่มากมาย ทำให้หลิงหยุนไม่สามารถหาที่เปิดได้!

หางสองหางของเจ้าขาวปุยส่ายสะบัดไปมาอย่างแรงเพื่อปัดค้างคาวที่บินเข้ามาหามันและหลิงหยุน แต่ค้างคาวดูดเลือดมีจำนวนมาก ร่างของค้างคาวตรงหน้าจึงกองโตเกือบเท่าภูเขา

หลิงหยุนสะบัดพู่กันจักรพรรดิในมือ พร้อมกับมือซ้ายก็เรียกยันต์อัคนีออกมาอีกสองสามแผ่นโยนไปที่ข้างประตูหิน หลิงหยุนจ้องมองไปที่แสงไฟ และสังเกตุเห็นปุ่มหินสองปุ่ม!

“เอาล่ะ.. เข้าด้านในกันได้แล้ว!” หลิงหยุนพูดพร้อมกับฟาดฝ่ามือลงไปบนปุ่มหิน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดดังขึ้น มันคือเสียงของประตูหิน!

ในเวลานี้ต่อให้ด้านหลังประตูหินเป็นทะเลมีดหรือภูเขาเพลิง หลิงหยุนก็จะเข้าไป เพราะอย่างน้อยก็ยังดีกว่าเจ้าค้างคาวดูดเลือดพวกนี้!

“ขาวปุย.. เข้าไปด้านในกันเร็วเข้า!”

หลิงหยุนยกมือขึ้นปัดค้างคาวดูดเลือดจำนวนมากที่ต้องการจะบินเข้าไปในประตู ทันทีที่เจ้าขาวปุยวิ่งเข้าไป หลิงหยุนก็รีบมองไปที่ประตูเพื่อหาปุ่มอีกหนึ่งปุ่ม!

ในระหว่างนั้นเอง ค้างคาวดูดเลือดเป็นร้อยๆตัวก็ได้บินเข้าไปในประตูแล้วเช่นกัน หลิงหยุนรีบกดปุ่มหินที่อยู่บนประตูทันที

จากนั้นก็เรียกยันต์อัคนีออกมาอีกครั้ง พร้อมกับใช้วิชาซัดฝนเข็มซัดทั้งยันต์ ตะปู และเข็มจำนวนมากใส่ค้างคาวที่เหลือ หลิงหยุนอาศัยจังหวะที่ยันต์อัคนีทำงาน สังเกตุภายในห้องที่อยู่หลังประตูหิน

“น่าขยะแขยงที่สุด!” ตอนนี้ร่างกายของหลิงหยุนเต็มไปด้วยเลือดที่เหม็นคาวของค้างคาว แต่เพราะเขาได้โคจรดารกะดายันไปจนทั่วร่างกายแล้ว เขาจึงไม่ได้รับอันตรายอะไร มีเพียงชุดเสื้อกีฬาของเขาเท่านั้นที่ชุ่มไปด้วยเลือด

หลิงหยุนถอดเสื้อผ้าและรองเท้าผ้าใบที่เปื้อนเลือดออก จากนั้นก็เรียกน้ำแร่ออกมาจากแหวนพื้นที่และทำการอาบล้างตัว แล้วจึงใส่ชุดกีฬาชุดสุดท้ายที่เขาเตรียมมาด้วย

หลิงหยุนนึกเสียดายที่ไม่ได้ปลุกเสกยันต์ธารามาด้วย..

หลิงหยุนถามเจ้าขาวปุยว่ามันได้รับบาดเจ็บหรือไม่? เมื่อเห็นเจ้าขาวปุยส่ายหน้าในความมืด และเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร หลิงหยุนจึงรู้สึกโล่งอก!

หลังจากผ่านมาจนถึงตอนนี้ หลิงหยุนได้ใช้พลังชีวิตหมดไปถึงเจ็ดสิบหรือแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาจึงเรียกยันต์ขุมพลังออกมา และจัดการเพิ่มพลังชีวิตให้กับตัวเองจนเต็มอีกครั้ง จากนั้นก็ก้าวไปยืนอยู่กลางห้อง..

ภายในห้องมีโลงศพขนาดยักษ์ตั้งอยู่!