บทที่ 265 เคล็ดวิชาของสวี่ชีอัน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 265 เคล็ดวิชาของสวี่ชีอัน

โชคดีที่ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋าระดับสองผู้งดงาม ไม่ได้สนใจแผนการของสวี่ชีอันมากนัก และยิ่งไม่สนใจที่จะตอบคำถามของฉู่หยวนเจิ่น ดวงตาสดใสคู่งามมองไปที่สวี่ชีอัน แล้วพูดเบาๆ ว่า “เกิดอะไรขึ้น”

“ขณะที่ข้าฝึก ‘กระบี่ใจ’ ได้ประสบกับปัญหายุ่งยาก ใคร่ขอให้ท่านราชครูช่วยคลายข้อสงสัยให้ด้วย” สวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

“การเริ่มฝึกกระบี่ใจนั้นยากมากจริงๆ” ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าและพูดว่า “หยวนเจิ่น เจ้าช่วยชี้แนะใต้เท้าสวี่แทนข้าด้วย ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

ฝ่าบาท? ตาเฒ่าจักรพรรดิหยวนจิ่งจะมาด้วยหรือ…ผู้นำเต๋าเอ๋ย กระบี่ใจข้าได้ฝึกขั้นพื้นฐานแล้ว ข้าไม่ได้ขอคำแนะนำเรื่องสูตรคูณจากเจ้า แต่ข้าต้องการขอคำแนะนำเรื่องแคลคูลัสต่างหาก…สวี่ชีอันเย้ยหยันอยู่ในใจ

เหตุผลที่ไม่ได้พูดออกมา เป็นเพราะร่างของลั่วอวี้เหิงหายไปแล้ว ประตูไม่ได้เปิด หน้าต่างไม่ได้เปิด ผู้หญิงคนนี้หายไปจากห้องที่เงียบสงบต่อหน้าต่อตาเช่นนี้เลยหรือ

“นี่มันอภินิหารอะไรกัน?” สวี่ชีอันรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย

“ไม่ใช่อภินิหาร” ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหัว แล้วอธิบายว่า “เดิมทีมันเป็นความคิดของท่านผู้นำเต๋า เมื่อครู่เป็นเพียงการเอาคืนแค่นั้นเอง”

ฝีมือของยอดฝีมือระดับสูงช่างน่าพิศวงยิ่งนัก…

วันนี้สวี่ชีอันสามารถมาที่อารามรัตนะได้ สาเหตุสำคัญคือจงหลีผู้โชคร้ายมีธุระต้องกลับไปที่สำนักโหราจารย์ ไม่เช่นนั้นคนที่ไม่สามารถเข้าไปในอารามรัตนะได้เช่นนาง มีความเป็นไปได้สูงที่จะประสบอุบัติเหตุในเขตพระราชฐาน ไม่ใช่สิ ที่เป็นไปได้มากกว่านั้นก็คืออาจทำให้เขตพระราชฐานต้องประสบกับเหตุที่คาดไม่ถึง

ตัวอย่างเช่นจู่ๆ หลิงหลงก็กลายเป็นบ้า แล้วสร้างความหายนะในเขตพระราชฐานอย่างกำเริบเสิบสาน

ช่วงเวลาตั้งแต่เดินทางจากอวิ๋นโจวกลับมาเมืองหลวง สวี่ชีอันมักจะเข้าออกเขตพระราชฐานเพื่อสืบสวนคดีต่างๆ แต่เขาไม่เคยไปดูหลิงหลงแม้แต่ครั้งเดียว สำหรับราชวงศ์แล้วสัตว์ประหลาดตัวนี้มีความหมายเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่กล้าแตะต้องมัน

หากมีคนเห็นว่าหลิงหลงกลายเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ของสวี่ชีอัน แล้วเล่าลือกันไป เกรงว่าหัวจะหลุดจากบ่า

“การเริ่มฝึกกระบี่ใจขั้นพื้นฐานนั้นยากมากจริงๆ เพราะทหารไม่ชำนาญเกี่ยวกับจิตเดิมเอาเสียเลย…” ฉู่หยวนเจิ่นกำลังจะบรรยายเกี่ยวกับความหมายที่ลึกซึ้งของกระบี่ใจ แต่เขาเพิ่งเอ่ยปากพูดได้ครึ่งประโยค ก็ถูกสวี่ชีอันขัดจังหวะ

“พี่ฉู่ ขอโทษเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้เจ้าเข้าใจผิด” สวี่ชีอันกล่าวอย่างสำรวมว่า “ข้าได้ฝึกกระบี่ใจขั้นพื้นฐานแล้ว”

ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้า ไม่ได้สนใจมากนัก ถามว่า “ฝึกกระบี่ใจมานานแค่ไหนแล้ว”

สวี่ชีอันคิดทบทวนครู่หนึ่ง “ประมาณสิบวัน”

ฉู่หยวนเจิ่นตกตะลึง จ้องหน้าสวี่ชีอันอย่างสงบและพูดอย่างสุภาพว่า “อย่าได้ล้อเล่น”

สิบวันแห่งการฝึกกระบี่ใจขั้นพื้นฐาน จิตเดิมจะต้องอยู่ในระดับใด? แม้แต่สาวกที่ฝึกฝนหัวใจสำคัญของลัทธิเต๋า ก็ยังไม่กล้าพูดว่าลัทธิเต๋าสามารถฝึกขั้นพื้นฐานได้ภายในสิบวัน

“ข้าไม่เคยพูดปด” สวี่ชีอันยิ้ม

“พรสวรรค์ของพี่สวี่ทำให้ข้ารู้สึกตกใจ ไม่ฝึกวิชาของนิกายมนุษย์ ช่างน่าเสียดาย” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยความประหลาดใจ

อย่า อย่ามีความคิดเช่นนี้เด็ดขาด มิฉะนั้นนิกายมนุษย์ก็จะต้องตำหนิว่าสวี่ผิงจื้อไม่ใช่คนเช่นกัน ท่านอาของข้าไม่มีความผิดเลย…

ฉู่หยวนเจิ่นเป็นคนทะนงตัวและไม่แสดงออก เขามีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของปัญญาชน และดื้อรั้นเช่นจอมยุทธ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยแสดงออกด้วยคำพูด

เมื่อเทียบกับเอ้อร์หลางผู้ทะนงตัว หมายเลขสี่เหมือนคนในสังคมที่มีประสบการณ์สูงมากกว่า…สวี่ชีอันพึมพำเบาๆ

แน่นอนว่า คนในสังคมที่มีประสบการณ์สูงไม่จำเป็นต้องเป็นคนสุขุมและไม่แสดงออก ตัวสวี่ชีอันเองก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง เขาเข้าใจโลก แต่ยังคงชอบคุยโว ยังคงเป็นชายหนุ่มที่ชอบเติมเงิน ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง

“พี่ฉู่คิดว่าสำนักสังคีตทุกแห่งของต้าฟ่งมีอะไรแตกต่างกันบ้าง”

กำลังคุยเรื่องเคร่งเครียดจริงจังกันอยู่แท้ๆ จู่ๆ สวี่ชีอันก็ถามขึ้นมา ถึงแม้ฉู่หยวนเจิ่นจะรู้สึกฉงนอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงตอบตามความจริง

“หลังจากละทิ้งตำรามาบำเพ็ญพรต ข้าก็ไม่เคยนอนค้างที่สำนักสังคีตอีกเลย”

ความหมายแฝงคือ ข้าบำเพ็ญตบะแล้ว

หลังจากนั้นไม่นาน สวี่ชีอันก็ถามอีกว่า “เวลาแห่งการแลกเปลี่ยนปรัชญาใกล้เข้ามาแล้ว พี่ฉู่คิดอย่างไรกับหลี่เมี่ยวเจินแห่งนิกายสวรรค์”

ฉู่หยวนเจิ่นพึมพำว่า “กล้าทำในสิ่งที่ชอบธรรม ข้าเลื่อมใสยิ่งนัก”

ไอ้บ้าเอ๊ย ไม่มีพิรุธแม้แต่น้อย…สวี่ชีอันยิ้มแล้วพูดว่า “เราคุยกันต่อ”

แต่ไม่นาน สวี่ชีอันก็พูดสอดอย่างน่ารำคาญขึ้นอีกครั้ง “พี่ฉู่ ราชครูโดนไฟแห่งวิบากกรรมทรมานอย่างหนัก เจ้ารู้สึกทรมานแบบเดียวกันบ้างหรือไม่”

ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวด้วยความงงงันว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ”

สวี่ชีอันผู้มีไหวพริบรีบแก้ตัวว่า “เว่ยกงเคยบอกข้า”

‘อย่างนี้นี่เอง เว่ยเยวียนช่างทุ่มเทอบรมสั่งสอนเขาจริงๆ ถือว่าเขาเป็นคนสนิทและไว้เนื้อเชื่อใจ…’ ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้า ยอมรับคำอธิบายนี้ และคิดว่ามันสมเหตุสมผล

เหมือนกับที่หมายเลขหนึ่งเคยกล่าวไว้จริงๆ ว่าสวี่ชีอันคนนี้ได้รับความชื่นชมจากเว่ยเยวียนอย่างมาก

“ข้าเพียงฝึกเพลงดาบของนิกายมนุษย์เท่านั้น ไม่ได้ฝึกหัวใจสำคัญ”

“หมายความว่าอย่างไร” สวี่ชีอันไม่เข้าใจ

“หากตัดสินโดยระบบของทหาร ข้าอยู่ในระดับหลอมวิญญาณ แต่ข้าฝึกกระบี่ใจ กระบี่ปราณและกระบี่บินของนิกายมนุษย์เป็นหลัก”

“แล้วเจ้าเลื่อนขั้นได้อย่างไร ระดับต่อไปคือระดับอะไร”

วิชาดาบทั้งสามเป็นวิธีพิชิตศัตรู ไม่ใช่รากฐานของระบบ กล่าวคือทางที่ฉู่หยวนเจิ่นเดินไม่ใช่ระบบของลัทธิเต๋า แต่ใช้ระบบทหารเป็นพื้นฐาน ฝึกเพลงดาบของนิกายมนุษย์เป็นหลัก

“ไม่รู้”

ฉู่หยวนเจิ่นเป็นคนง่ายๆ ค่อยๆ ก้าวทีละก้าว “ถนนอยู่ข้างหน้า แค่เดินไปตามทางก็เท่านั้น”

“พวกเราจะคุยเรื่องทักษะการสู้รบจริงของกระบี่ใจต่อ…”

เริ่มคุยเรื่องกระบี่ใจ แล้วฉู่หยวนเจิ่นก็ค่อยๆ พบว่าความรู้ในการบำเพ็ญของสวี่ชีอันนั้นตื้นเขินมาก ไม่เหมือนคนที่ที่อยู่ในระดับหลอมวิญญาณแม้แต่น้อย

‘จริงสิ เขาเพิ่งเข้าสู่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหลังจากคดีเงินภาษีเมื่อเดือนสิบปีที่แล้ว ในตอนนั้นเขาอยู่ในระดับหลอมจิต…ในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปีก็ทะยานสู่ทหารระดับเจ็ด มีพรสวรรค์น่ากลัวอย่างยิ่ง…’ ฉู่หยวนเจิ่นนึกถึงข้อมูลของสวี่ชีอัน

เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที จึงพูดว่า “การพูดแต่ทฤษฎีเป็นเรื่องน่าเบื่อมาก พี่สวี่ พวกเรามาแลกเปลี่ยนความรู้กันดีกว่า”

เขาชอบประลองฝีมือกับคนเก่ง จะได้สังเกตและเรียนรู้ข้อดีของอีกฝ่าย

สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่จะได้รู้เบื้องหลังของหมายเลขสี่ จึงรีบพยักหน้าทันที “ตกลง พี่ฉู่อย่าลืมออมมือด้วย”

อีกด้านหนึ่ง จักรพรรดิหยวนจิ่งและลั่วอวี้เหิงนั่งตรงข้ามกัน บนโต๊ะที่ตั้งระหว่างพวกเขาสองคนมีชาร้อนๆ วางอยู่

“คนของนิกายสวรรค์กำลังจะมาเมืองหลวงแล้ว ฉู่หยวนเจิ่นมั่นใจว่าจะเอาชนะนางได้หรือไม่”

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงจิบพระสุธารสชาร้อน และไอที่ลอยในอากาศทำให้พระพักตร์ของพระองค์ดูเลือนราง

“พูดยาก!”

ลั่วอวี้เหิงกำลังถือชาอยู่ในมือ ท่าทางเย็นชา “แม้ว่าหลี่เมี่ยวเจินจะอยู่ในระดับห้า แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะก้าวเข้าสู่ระดับสี่รวมปราณ หากฉู่หยวนเจิ่นไม่ชักกระบี่ ก็ยากที่จะรู้ผลแพ้ชนะ ”

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ล้วนเป็นรุ่นหลังที่ยอดเยี่ยมทุกคน ต้าฟ่งของข้าไม่มีคนหนุ่มสาวที่ควรค่าที่ข้าจะให้ความสนใจมานานแล้ว” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสด้วยความสะเทือนพระทัย

“คำพูดของฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร ฉู่หยวนเจิ่นเป็นถึงจอหงวนของหยวนจิ่งปีที่ยี่สิบเจ็ด” ราชครูหญิงหัวเราะเบาๆ

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงส่ายพระพักตร์ ฉู่หยวนเจิ่นละทิ้งทิ้งตำแหน่งข้าราชการไปเป็นคนธรรมดา ท่องไปในยุทธภพ ไม่ได้ถูกราชสำนักส่งตัวไปปฏิบัติงานนานแล้ว

พูดแล้วก็แปลก สิบกว่าปีมานี้ ต้าฟ่งไม่เพียงกำลังถดถอยลงทุกวัน แม้แต่คนเก่งก็น้อยลงทุกที โดยเฉพาะไม่กี่ปีมานี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้พบคนรุ่นหลังที่ทำให้พระองค์ทรงพอใจมาเป็นเวลานานแล้ว

“ท่านราชครูวางแผนที่จะโต้ตอบผู้นำเต๋าแห่งนิกายสวรรค์อย่างไร” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงหันมาถาม

แน่นอนว่าพระองค์ไม่มีวันที่จะมาหาลั่วอวี้เหิงเพราะเรื่องของหลี่เมี่ยวเจินอย่างแน่นอน สิ่งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงกังวลก็คือการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับนิกายมนุษย์ที่จะตามมา

“ในการต่อสู้กันครั้งก่อน ผู้นำเต๋านิกายสวรรค์ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่ง พ่อของเจ้ากับเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด และไม่รู้ผลแพ้ชนะ” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสเบาๆ

ขณะที่ตรัสคำพูดเหล่านี้ พระองค์ทรงจ้องมองใบหน้าที่สดใสงดงามของลั่วอวี้เหิงด้วยสายพระเนตรแหลมคม เป็นการบอกความนัยที่ชัดเจนยิ่ง

การบำเพ็ญคู่เป็นเรื่องดีที่ช่วยเอื้อประโยชน์แก่กันและกัน ไม่ใช่การเสริมเวทมนตร์ที่ได้รับประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว

ลั่วอวี้เหิงต้องการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากการบำเพ็ญคู่กับพระองค์แล้วก็ไม่มีวิธีอื่น

ในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็เกิดคลื่นพลังปราณอย่างรุนแรงขึ้น จนทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งและลั่วอวี้เหิงต่างตื่นตระหนกตกใจ

มีคนต่อสู้กันในอารามรัตนะ?

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพบกับเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก

ลั่วอวี้เหิงรวบรวมสมาธิเพ่งมองครู่หนึ่ง แล้วจึงยิ้มอย่างจนใจ

“ท่านราชครู เกิดอะไรขึ้น” จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดพระขนง

“ฉู่หยวนเจิ่นกำลังประลองฝีมือกับสวี่ชีอัน” ลั่วอวี้เหิงตอบ

ทรงได้ยินคำว่า ‘สวี่ชีอัน’ สามคำ จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ทรงไม่เข้าใจว่าฆ้องทองแดงเล็กๆ นั่นมาปรากฏตัวในอารามรัตนะได้อย่างไร แล้วเกิดความขัดแย้งกับอารามรัตนะได้อย่างไร

ลั่วอวี้เหิงอธิบายว่า “ฝีมือการฝึกฝนของคนคนนี้พิเศษเล็กน้อย เว่ยเยวียนพาเขามาที่อารามเพื่อขอฝึกเพลงกระบี่ อาตมาจึงได้สอนไปเล็กน้อย”

เว่ยเยวียนถูกฆ้องทองแดงที่ตัวเองชื่นชมและราชครูโยนความรับผิดชอบให้

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพยักพระพักตร์ ยอมรับคำอธิบาย รวบรวมสมาธิเพ่งมองครู่หนึ่ง ก็ทรงประหลาดใจเล็กน้อย “สวี่ชีอันสามารถต่อสู้กับฉู่หยวนเจิ่นได้อย่างดุเดือดขนาดนี้เชียวรึ?”

ลั่วอวี้เหิงกำลังเบื่อหน่ายที่พระองค์มาตื๊อขอบำเพ็ญคู่หลายครั้งหลายหน จึงรีบเสนอทันที “หากฝ่าบาททรงสนพระทัย ทรงตามอาตมาไปชมการต่อสู้ด้วยกันก็ได้”

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ตกลง”

ทั้งสองเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันออกจากห้องน้ำชา ผ่านสวนดอกไม้และทางเดินคดเคี้ยวสองสาย จนมาถึงอีกด้านหนึ่งของอารามรัตนะ จากระยะไกล มองเห็นสวี่ชีอันและฉู่หยวนเจิ่นต่อสู้กันอย่างดุเดือดในสวนเล็กๆ

ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!

การร่ายรำดาบทองคำดำในมือของสวี่ชีอันนั้นป้องกันได้อย่างแน่นหนา ทุกครั้งที่เกิดการกระทบกันจะเกิดเสียงดังเสมือนฟ้าร้อง ระเบิดคลื่นพลังปราณอย่างรุนแรง

กิ่งไม้สิบกว่ากิ่งปลิวว่อนอยู่ในสวน โจมตีสวี่ชีอันจากทุกมุม ฉู่หยวนเจิ่นยืนอยู่บนภูเขาจำลอง มือไพล่หลัง ยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าเป็นครั้งคราว ราวกับว่ารู้สึกซาบซึ้งชื่นชมพลังต่อสู้ของสวี่ชีอันอย่างยิ่ง

แต่ความจริงแล้วในใจของเขากลับรู้สึกประหลาดใจมากกว่า

แม้จะใช้เพียงวิชากระบี่บิน แต่ท่ามกลางการล้อมโจมตีของ ‘กระบี่บิน’ เช่นนี้ ยังสามารถรับมือได้อย่างไม่สับสนจนถึงตอนนี้โดยไร้ซึ่งช่องโหว่ ยากที่จะเชื่อว่าเขาเป็นทหารที่เพิ่งก้าวสู่ระดับหลอมวิญญาณ

นี่หมายความว่าจิตเดิมของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าที่คิด

ฉู่หยวนเจิ่นเริ่มเชื่อแล้วว่าเขาใช้เวลาเพียงสิบวันก็เห็นหนทางของ ‘กระบี่ใจ’ แล้ว

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทอดพระเนตรฉากนี้ด้วยความตื่นตะลึง ในความทรงจำของพระองค์ สวี่ชีอันเป็นแค่คนตัวเล็กๆ ที่สามารถคลี่คลายคดีได้เสมอ นับตั้งแต่คดีเงินภาษี จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ทรงเคยได้ยินชื่อของเขาแล้ว ในตอนนั้นเขายังเป็นมือปราบของกองปราบอำเภอฉางเล่อ

หลังจากผ่านคดีสำคัญๆ หลายคดี เช่น คดีซังผอ คนคนนี้ก็เลื่อนขั้นขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถของเขาก็ได้รับการยอมรับจากพระองค์ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับพลังต่อสู้ เท่าที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทราบ สวี่ชีอันก็คือมือปราบที่อาศัยการสืบสวนคดีเจริญก้าวหน้า

วันนี้ เมื่อเห็นเขาต่อสู้กับฉู่หยวนเจิ่นอย่างดุเดือด ทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงประหลาดใจอย่างยิ่ง

ระดับของความประหลาดใจนั้น เปรียบได้กับการเห็นปัญญาชนที่กำลังเรียบเรียงหนังสือในสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน แล้วจู่ๆ ก็คว้าอาวุธขึ้นมาเข้าสู่สนามรบเพื่อสังหารศัตรู

“ท่านราชครู…”

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทอดพระเนตรไปที่ลานอาราม อดตรัสไม่ได้ว่า “การบำเพ็ญของสวี่ชีอันเป็นอย่างไรบ้าง”

“ระดับหลอมวิญญาณ” ลั่วอวี้เหิงกล่าวเบาๆ

‘ระดับหลอมวิญญาณ…’ จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพยักหน้าทันที จากมุมมองของพระองค์ ทหารในระดับหลอมวิญญาณนั้นธรรมดา และไม่คู่ควรให้พระองค์สนใจด้วยซ้ำ

แต่ว่า มือปราบอำเภอฉางเล่อคนหนึ่ง สามารถก้าวเข้าสู่ระดับนี้ได้ในเวลาสั้นๆ เพียงครึ่งปี ก็นับว่าไม่เลว

แต่เมื่อฉู่หยวนเจิ่นรูปงามอยู่เบื้องหน้า ความสำเร็จของสวี่ชีอันเพียงแค่นี้กลับดูมืดมัวเหลือเกิน โดยเฉพาะตอนนี้ ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันที่ลานอาราม ฝ่ายหนึ่งสู้อย่างสบายๆ แต่อีกฝ่ายต้องรับมืออย่างเหน็ดเหนื่อย ฝีมือแตกต่างกันมากมาย

“เพลงดาบของนิกายมนุษย์ไร้คู่แข่ง ฝีมือขั้นเทพเช่นนี้ หลอกล่อทหารได้อย่างสบายๆ” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงตรัสพร้อมกับถอนหายใจ

“ฆ้องเงินสวี่ก็ไม่เลวเช่นกัน ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทยังทรงตรัสว่าราชสำนักต้าฟ่งไม่มีคนมีฝีมือ อาตมาคิดว่าฆ้องเงินสวี่คนนี้เป็นคนเก่งคนหนึ่ง” ลั่วอวี้เหิงพูดยิ้มๆ

นางไม่พูดคำพูดเหล่านี้ยังดีกว่า จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงได้ยินกับพระกรรณได้เห็นกับพระเนตร ก็ยิ่งรู้สึกว่าความสามารถของฉู่หยวนเจิ่นนั้นไม่เป็นสองรองใคร สวี่ชีอันนั้นเป็นเพียงส่วนเสริมให้โดดเด่นเท่านั้น

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงขมวดพระขนง “ฝีมือต่ำต้อยเกินไป ท่านราชครูบอกว่าได้ถ่ายทอดเพลงกระบี่ให้สวี่ชีอันแล้วมิใช่หรือ”

พระองค์ทรงไม่ค่อยพอพระทัยการแสดงฝีมือของสวี่ชีอันนัก

“สิ่งที่อาตมาถ่ายทอดให้เขาคือกระบี่ใจ เพลงกระบี่นิกายมนุษย์นั้นล้ำลึก ถึงแม้จะเป็นขั้นพื้นฐาน ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะฝึกได้ในเวลาสั้นๆ” ลั่วอวี้เหิงตอบ “ถึงอย่างไรก็ยังเป็นที่น่าพอใจ…”

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงส่ายพระพักตร์ ในพระทัยทรงเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงพรสวรรค์ของสวี่ชีอันมากยิ่งขึ้น นั่นคือเก่งกว่าคนทั่วไป แต่ห่างไกลจากคนเก่งจริงอยู่มาก

ในเวลานี้ สวี่ชีอันผู้กำลังตกอยู่ท่ามกลางกลุ่มกระบี่รู้สึกกดดันเป็นอย่างยิ่ง กิ่งไม้นับสิบกิ่ง ราวกับกระบี่บินที่แหลมคม ห่อหุ้มด้วยพลังปราณ แผดเสียงก้องประดังเข้ามา

เขาอยู่ในระดับหลอมวิญญาณแล้ว สามารถจับแววอาฆาตและแววสังหารที่อยู่รอบๆ ตัวได้ และป้อนกลับไปยังสมองโดยอัตโนมัติ

แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ไม่ว่าจิตสัมผัสเขาจะว่องไวแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็มีแค่สองแขนกับกระบี่หนึ่งเล่ม รับมือไม่ค่อยไหว

ดังนั้น ระดับต่อไปคือกระดูกเหล็กผิวทองแดง ซึ่งใช้สำหรับโต้ตอบการล้อมโจมตีโดยเฉพาะ…ระบบทหารนั้นแทนความหมายของคำว่าพลังที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง…

สวี่ชีอันมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบทหารอย่างลึกซึ้ง ทุกระดับต่างชดเชยข้อบกพร่องอย่างหนึ่ง หากมีใครสามารถก้าวเข้าสู่ระดับจอมยุทธ์ได้ เกรงว่าในโลกนี้คงไม่มีคู่ต่อสู้แล้ว

‘หึ…’

กิ่งไม้กิ่งหนึ่งทะลุผ่านใต้รักแร้ของสวี่ชีอัน ทำให้เครื่องแบบของเขาฉีกขาด

เมื่อเวลาผ่านไป กิ่งไม้ที่ทะลุผ่านเข้ามาก็มากขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับสภาวะคับขันในเวลานี้ สวี่ชีอันมีวิธีรับมือไม่น้อยกว่าสามวิธี วิธีแรกคือแผนสุดท้ายในจำนวนสามสิบหกแผน

วิธีที่สองคือการใช้หนังสือเวทมนตร์ฉบับลัทธิขงจื๊อ ซึ่งข้างในได้บันทึกคาถาต่างๆ ที่ใช้สำหรับตอบโต้การล้อมโจมตีโดยเฉพาะ

วิธีที่สามคือใช้เพลงกระบี่ดาบเดียวตัดฟ้าดินกับฉู่หยวนเจิ่น โดยไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บของตัวเอง

เป็นแค่การแลกเปลี่ยนความรู้กันเท่านั้น สองวิธีแรกไม่จำเป็นต้องใช้ วิธีหลังเป็นกระบวนท่าสังหาร หากใช้เขาจะต้องพิการ ย่อมต้องเสียความตั้งใจเดิมที่ต้องการแลกเปลี่ยนความรู้กันไปด้วย

ผิดปกตินะ ไม่ว่าพลังปราณจะแข็งแกร่งแค่ไหน เมื่อกระบี่บินเปลี่ยนทิศทางก็ย่อมต้องเฉื่อยลงบ้าง…แต่กระบี่บินของหมายเลขสี่กลับโคจรได้อย่างลื่นไหลซึ่งผิดกฎฟิสิกส์โดยสิ้นเชิง ผู้เฒ่านิวตันไม่ขายหน้าแย่หรือ… อ้อ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนิวตันนี่นา…’

สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคาดเดาในใจ

เขาปัดกิ่งไม้ทั้งหกกิ่งที่พุ่งเข้ามาออกไปด้วยดาบเดียว รวบรวมพลังจิตไปที่กระบี่สีดำทอง หมุนตัว แกว่งกระบี่ฟันไปรอบๆ คมกระบี่สีดำทองนถูกกิ่งไม้ ขณะที่กระทบกัน สวี่ชีอันก็เข้าใจทักษะการระเบิดพลังจิตในทันที

‘เคร้ง…’ พลังความคิดที่มองไม่เห็นแผ่กระจาย แผ่รัศมีเป็นรูปพัดหอบเอา ‘กระบี่บิน’ ด้านหลังเข้าไว้ด้วยกัน

กิ่งไม้เหล่านั้นค่อยๆ ช้าลง จากนั้นก็สูญเสียการทรงตัว ร่วงตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง

ได้ผลจริงๆ ด้วย…สวี่ชีอันดีใจมาก ใช้วิธีเดียวกันในการสร้างพลัง สาดพลังจิตไปข้างหน้าราวกับการสะบัดพู่กันและสาดน้ำหมึกเพื่อตัด ‘กระบี่บิน’ ที่เหลือทั้งหมด

ถึงเวลานี้ ทำลายกระบี่ของฉู่หยวนเจิ่นได้แล้ว

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ากระบี่บินมีพลังจิตของข้าประกบอยู่” ฉู่หยวนเจิ่นพูดด้วยความประหลาดใจ

หึหึ…เพราะข้าตั้งใจเรียนวิชาฟิสิกส์ตอนมัธยมต้นน่ะสิ…สวี่ชีอันใช้กระบี่ยันกาย พักหายใจ มองไปที่จอหงวนบนภูเขาจำลอง “นี่คงจะเป็นพรสวรรค์”

ด้านนอกลานอาราม จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพยักพระพักตร์เล็กน้อย เอียงพระเศียรมองไปทางลั่วอวี้เหิง เห็นใบหน้าที่สวยงามของราชครูหญิงก็เกิดความตื่นตะลึงแวบหนึ่ง

“ท่านราชครู?”

ลั่วอวี้เหิงถอนสายตา แล้วกล่าวชมเชยว่า “คนคนนี้มีพรสวรรค์เป็นที่หนึ่ง”

“คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร”

จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ค่อยเห็นราชครูชมเชยคนรุ่นหลังเช่นนี้ แม้ว่าเมื่อครู่นางได้ชื่นชมสวี่ชีอันไปแล้ว แต่ก็คงเป็นการพูดตามมารยาทมากกว่า แต่ตอนนี้ก็เป็นการชื่นชมจากใจจริง

ทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเกิดความสนพระทัยเล็กน้อย

“ก่อนหน้านี้ได้เคยกราบทูลฝ่าบาท ว่าอาตมาได้ถ่ายทอดเพลงกระบี่ใจให้แก่ฆ้องเงินสวี่ แต่นั่นคือเมื่อสิบวันก่อน”

หลังจากที่ลั่วอวี้เหิงพูดจบ เห็นว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งทรงไม่มีความรู้สึกใดๆ จึงได้อธิบายว่า “เงื่อนไขของกระบี่ใจนั้นสูงมาก แม้ว่าจะเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายมนุษย์ หากจะฝึกขั้นพื้นฐานนานหน่อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งปี ระยะเวลาสั้นๆ ก็ต้องสามเดือน”

การอธิบายเช่นนี้ ทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเข้าใจแล้ว

แต่สวี่ชีอันใช้เวลาเพียงสิบวันเท่านั้น

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทอดพระเนตรฉู่หยวนเจิ่นที่อยู่บนภูเขาจำลอง “แล้วเขาล่ะ”

“เป็นทหารที่ฝึกเพลงดาบของนิกายมนุษย์เหมือนกัน แต่ฉู่หยวนเจิ่นใช้เวลาหนึ่งเดือน”

เมื่อจักรพรรดิหยวนจิ่งทรงได้ยินดังนั้น รอยแย้มพระสรวลที่มุมพระโอษฐ์ก็กว้างขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็ทรงสดับลั่วอวี้เหิงกล่าวเสริมอีกว่า “ในระยะเวลาหนึ่งเดือน ฝึกเพลงดาบขั้นพื้นฐานพร้อมกันสามวิชา”

จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเงียบขรึมอีกครั้ง ในเวลานี้พระองค์ทรงได้ยินฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะแล้วพูดว่า “เคล็ดวิชาของเจ้าคืออะไร”

“เคล็ดวิชาของข้า?” สวี่ชีอันถามกลับ

“อืม ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้ายังไม่ได้ใช้เคล็ดวิชา ถ้าไม่ใช้สักนิดการแลกเปลี่ยนความรู้ครั้งนี้ก็จะน่าเบื่อเกินไป” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าว

“เรื่องนี้…” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างลังเลว่า “เจ้าและหลี่เมี่ยวเจินกำลังจะประลองฝีมือกันเร็วๆ นี้ ข้าเกรงว่าจะทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ จะส่งผลกระทบต่อการประลองฝีมือระหว่างนิกายสวรรค์กับนิกายมนุษย์”

คำพูดนี้ช่างกำเริบเสิบสานเกินไปจริงๆ ลั่วอวี้เหิงและจักรพรรดิหยวนจิ่งละสายตาจากตัวจอหงวน แล้วหันไปมองสวี่ชีอันพร้อมกัน

……………………………………………..