บทที่ 266 ข้อความของหมายเลขห้า
ดวงตาของฉู่หยวนเจิ่นเป็นประกาย เขาไม่โกรธ แต่เต็มไปด้วยความคาดหวัง เขายิ้มและกล่าวว่า “การแลกเปลี่ยนความรู้เมื่อสักครู่นี้น่าเบื่อเล็กน้อย เจ้ามีเคล็ดวิชาอะไรก็จงใช้ออกมาอย่าได้ลังเล”
สวี่ชีอันพยักหน้าและพูดขึ้นมาอีกว่า “ข้าจะเคลื่อนไหวเพียงหนึ่งครั้ง หลังจากการเคลื่อนไหวหนึ่งครั้ง การแลกเปลี่ยนความรู้ของพวกเราก็จะสิ้นสุดลง”
เขาป้องกันไม่ให้ฉู่หยวนเจิ่นคว้ามีด สะบัดมือโต้กลับและแทงเขาจนกลายเป็นเม่น ถึงตอนนั้นสวี่ชีอันก็คงเสียชีวิต สิริอายุได้ยี่สิบปี
ฉู่หยวนเจิ่นไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “หลังจากใช้เคล็ดวิชา เจ้าจะเข้าสู่ช่วงอ่อนแอหรือ”
บัณฑิตจอหงวนช่างฉลาดปราดเปรื่องเสียจริง! สวี่ชีอันชื่นชมเล็กน้อยและพยักหน้า “ใช่”
“เคล็ดวิชาอะไรหรือ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนมองไปทางลั่วอวี้เหิงที่อยู่ข้างๆ
ลั่วอวี้เหิงส่ายหัว อันที่จริงนางรู้ แต่นางไม่อยากอธิบายแก่จักรพรรดิหยวนจิ่ง เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
ท่าทางสงบจิตสงบใจของนางทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งแอบขมวดคิ้ว ในฐานะผู้ที่อยู่จุดสูงสุด เขาครอบครองดินแดนหลายแสนลี้ของต้าฟ่งและบงการความเป็นความตายของพสกนิกร
แต่ต่อหน้าสตรีผู้นี้ เขากลายเป็นจักรพรรดิที่ไม่มีสิ่งใดและไม่มีข้อได้เปรียบใดเลย
จักรพรรดิหยวนจิ่งอยากบำเพ็ญคู่กับราชครูมาตลอดเพื่อบรรลุความปรารถนาที่จะมีชีวิตเป็นอมตะ แต่ทุกครั้งที่เขาเสนอแนวคิดนี้ ลั่วอวี้เหิงก็มักจะเพิกเฉยไม่ก็หลบเลี่ยง
ต่อหน้าผู้นำเต๋าระดับสองผู้นี้ เขาเหมือนกลายเป็นเด็กยากจนที่ทรัพย์สินของครอบครัวร่อยหรอ นี่ทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งท้อแท้มาก
‘ชิ้ง!’
ภายในสวน สวี่ชีอันเก็บดาบยาวสีดำทองกลับเข้าไปในฝักดาบ
จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้า ย่อเข่าลงเล็กน้อย มือขวาค่อย ๆ จับด้ามดาบและตั้งท่าเตรียมจะชักดาบออกมา
ลมหายใจคงที่ อารมณ์สงบนิ่ง เขาดูเหมือนกับชายฝั่งก่อนที่จะเกิดสึนามิ พลังปราณหดตัวและพังทลายลงในร่างของเขา
ฉู่หยวนเจิ่นแสดงสีหน้าจริงจังออกมาและชี้มือขึ้นราวกระบี่ ก่อนจะกวักมือเบาๆ เรียกกิ่งไม้มาถือไว้ในมือ เขาใช้กิ่งไม้แทนกระบี่
‘ชิ้ง…’ ขณะที่สวี่ชีอันใช้นิ้วโป้งดันดาบยาวสีดำทองออกมา ในหัวก็นึกถึงภาพสิงโตสีทองคำราม ตามด้วยเสียงคำรามอันทรงพลัง เขาชักดาบออกมา
“เสียงระเบิด” ดังสนั่นข้างหูฉู่หยวนเจิ่น ราวกับสายฟ้าฟาดเหนือศีรษะเขา จากนั้นเขาก็เห็นปราณดาบเส้นบางๆ สว่างวาบแล้วหายไป
ในช่วงวิกฤตินี้ บัณฑิตจอหงวนยื่นกิ่งไม้ในมือออกไปอย่างใจเย็น
‘ตูม!’
พริบตาที่กิ่งไม้ปะทะกับปราณดาบ คลื่นกระแทกรุนแรงก็กวาดไปทั่วทั้งสวนทันที ภูเขาเทียมใต้เท้าฉู่หยวนเจิ่นระเบิดก่อน ตามด้วยศาลาที่อยู่ด้านหลังเขา เสาสี่ต้นหัก ยอดศาลาลอยกระเด็นขึ้นไปบนฟ้าสูง
น้ำในสระที่สงบนิ่งเกิดคลื่นโหมกระหน่ำ เมื่อเห็นว่าห้องที่เงียบสงบข้างหลังกำลังจะพังทลาย ริมฝีปากแดงของลั่วอวี้เหิงก็เผยอขึ้นเล็กน้อย “ตั้งไว้!”
คลื่นกระแทกรุนแรงหยุดนิ่งทันทีและหายไป
ในสนาม สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิ วางดาบไว้บนเข่า สีหน้าห่อเหี่ยว
แขนเสื้อของฉู่หยวนเจิ่นขาดไปครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นท่อนแขนอันทรงพลังที่มีกล้ามเนื้อชัดเจน เขางอนิ้วทั้งห้าอย่างช้าๆ จากนั้นก็คลาย ทำซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและถอนหายใจ
“เก่ง เก่งมาก…หากเจ้าอยู่ระดับห้า ดาบนี้อาจทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัสได้”
บ้าเอ้ย ข้าโจมตีอย่างสุดกำลัง แต่ตัดได้เพียงความอ้างว้าง…สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ เขาเงยหน้าขึ้น เลียนแบบสีหน้าท่าทางของสวี่เอ้อร์หลางและเอ่ยเสียงเรียบ
“สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถประมือกับหลี่เมี่ยวเจินได้ ข้ายอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริง”
‘สวี่ชีอันเป็นคนที่น่าภาคภูมิใจคนหนึ่งและความเย่อหยิ่งของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่…’ ฉู่หยวนเจิ่นยิ้มเล็กน้อยและพยักหน้า
จักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดตามองสวนและหันไปมองลั่วอวี้เหิง ราชครูหญิงที่รูปโฉมงามเลิศล้ำจ้องมองสวี่ชีอันอย่างแน่วแน่
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็เผยรอยยิ้มร่าเริงออกมา “ฉู่หยวนเจิ่นสมกับเป็นศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายมนุษย์ การฝึกระดับนี้หาได้ยาก สวี่ชีอันยังคงห่างไกล แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงฆ้องเงินคนหนึ่งเท่านั้น เขายังต้องฝึกอย่างหนัก”
เขาดูเหมือนจะชื่นชมฉู่หยวนเจิ่นและเหยียบสวี่ชีอัน แต่ความจริงแล้วมันตรงกันข้าม ฆ้องเงินเพียงคนเดียวก็ตัดแขนเสื้อของฉู่หยวนเจิ่นได้ ฆ้องเงินเช่นนี้ ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยังมีอีกมากมาย
ลั่วอวี้เหิงฝืนยิ้ม
จักรพรรดิหยวนจิ่งร่าเริงขึ้นเรื่อยๆ ทันทีและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้ายังมีธุระต้องทำในวัง จึงอยู่นานไม่ได้ ราชครูไปส่งข้าเถิด”
ลั่วอวี้เหิงผายมือเชิญ
ในเวลานี้เอง จู่ๆ สวี่ชีอันที่อยู่ในลานก็ตะโกนว่า “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
ฉู่หยวนเจิ่นก็โค้งคำนับ แต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
จักรพรรดิหยวนจิ่งกับลั่วอวี้เหิงหยุดฝีเท้า จักรพรรดิหยวนจิ่งกวาดตามองสวี่ชีอันที่เลื่อนขั้นเป็นฆ้องเงินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยตวามสง่างามผ่าเผย เขาไม่ตีหน้าขรึมอย่างหาได้ยากและพยักหน้า
“การประลองช่างยอดเยี่ยม สวี่ชีอัน พรสวรรค์ของเจ้าไม่เลว อย่าทำให้การฝึกที่ราชสำนักมอบให้เจ้าเสียเปล่า”
สวี่ชีอันตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ขอบพระทัยสำหรับการฝึกของฝ่าบาท กระหม่อมจะทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถ ตราบจนชีวิตหาไม่”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้าอย่างพึงพอใจและเดินเคียงข้างลั่วอวี้เหิงไปทางด้านนอกวัดหลวง
การสรรเสริญทางวาจาที่ไร้ประโยชน์นั่นไม่ได้แสดงออกมาอย่างจริงใจเลยสักนิด…สวี่ชีอันมองแผ่นหลังของทั้งสองคนและเบ้ปาก
เมื่อมองไม่เห็นงาร่างของทั้งสองคนแล้ว ฉู่หยวนเจิ่นก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่สวี่โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังเดินไปทางห้องที่เงียบสงบ
หลังจากนั้นไม่กี่นาที ประตูห้องที่เงียบสงบก็เปิดออก ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยเสียงดัง “พี่สวี่เชิญเข้ามาดื่มชา”
สวี่ชีอันก้าวข้ามธรณีประตูไปและเห็นฉู่หยวนเจิ่นนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีขาวพระจันทร์ ส่วนชุดสีครามที่แขนเสื้อขาดตัวนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“เอ๋ พี่ฉู่ไปเอาเสื้อผ้ามาจากไหนหรือ แล้วชุดสีครามตัวนั้นล่ะ” สวี่ชีอันแสร้งมองไปรอบๆ
“ข้ามีอาวุธเวทมนตร์สำหรับใช้เก็บสิ่งของ” ฉู่หยวนเจิ่นรินชาให้เขาและอธิบายอย่างอ่อนโยน
นี่ ข้าอยากจะพูดต่อว่า ‘ว้าว พี่ฉู่ยอดเยี่ยมจริงๆ ใช่คาถาเอกภพในแขนเสื้อหรือไม่! คนที่ซื่อสัตย์เช่นเจ้ามีเสียที่ไหน ชิ ไม่ให้โอกาสข้าเลย ซื่อสัตย์กว่าหลี่เมี่ยวเจินอีก!’ สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจและถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าให้ข้าดูได้หรือไม่”
ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหน้า “ผู้อาวุโสที่มอบของวิเศษให้ข้าเคยบอกว่า ไม่ควรเผยให้ผู้อื่นเห็น”
การปฏิเสธผู้คนก็ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่เป็นไรๆ” สวี่ชีอันตอบกลับอย่างเสียดาย
คำเตือนทำนองเดียวกัน นักบวชเต๋าจินเหลียนก็บอกเขาว่า หลักๆ ก็เพื่อป้องกันนักพรตของนิกายปฐพี อย่างไรเสียนิกายปฐพีก็เป็นนิกายที่สืบทอดกันมานับพันปี แม้ว่าจะเกิดความแตกแยกเมื่อหลายปีก่อน แต่ขุมพลังเบื้องหลังก็ยังคงลึกล้ำมาก
ไม่อาจประมาทได้
“พี่ฉู่ไม่ใช่บัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่หรอกหรือ” สวี่ชีอันถาม
“ข้าเคยเรียนที่สำนักอวิ๋นลู่ แล้วต่อมาก็ไปเรียนที่ราชวิทยาลัยหลวง” ฉู่หยวนเจิ่นไม่ปิดบังและถอนหายใจออกมา “ตอนที่ยังเด็กข้าเต็มไปด้วยอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยพรสวรรค์ และต้องการอุทิศให้กับองค์จักรพรรดิ เมื่อรู้ว่าบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่จะไม่ได้รับการมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ข้าจึงออกจากสำนักอวิ๋นลู่และไปเรียนที่ราชวิทยาลัยหลวง”
“เช่นนั้นเหตุใดหลังจากนั้นถึงลาออกจากราชการล่ะ”
“เพราะผู้ที่ไร้ประโยชน์มากที่สุดก็คือนักปราชญ์ ความรู้ไม่สามารถช่วยต้าฟ่งได้ ข้าจึงลาออกจากราชการ สวมชุดขาวและถือดาบท่องยุทธภพ” ฉู่หยวนเจิ่นถอนหายใจอีกครั้ง
ข้ารู้จักผู้ชายคนหนึ่ง เขารู้สึกว่าเรียนแพทย์ช่วยเหลือประเทศชาติไม่ได้ เขาจึงวิ่งไปในทางตรงกันข้าม…สวี่ชีอันตบโต๊ะและชื่นชม “ช่างห้าวหาญ!”
ไม่แปลกใจที่เมื่อสักครู่นี้ฉู่หยวนเจิ่นเห็นจักรพรรดิหยวนจิ่งจะเพียงแค่โค้งคำนับเล็กน้อย แต่ไม่ได้เอ่ยปากทักทาย…เขาสังเกตเห็นรายละเอียดนี้และเมื่อนำมาเชื่อมโยงกัน คนที่ทำให้ฉู่หยวนเจิ่นผิดหวังน่าจะเป็นองค์จักรพรรดิที่หมกมุ่นกับการฝึกเต๋าผู้นี้
ทั้งสองคนดื่มชาและพูดคุยกัน ทั้งหมดที่ฉู่หยวนเจิ่นกำลังพูดคือการเล่าถึงสิ่งที่เห็นและได้ยินจากการเดินทางหลายปีของเขาให้สวี่ชีอันฟัง
“ชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือมีประชากรเพียงแค่หนึ่งล้านคน ส่วนเมืองใหญ่เมืองหนึ่งของต้าฟ่งของข้ามีประชากรนับสิบล้านคน แต่ผ่านมาหลายพันปีแล้ว สุดท้ายชนเผ่าป่าเถื่อนก็ยังเป็นปัญหาภายในใจของต้าฟ่งของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด เพราะชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือเป็นสายเลือดของเทพเจ้ากับปีศาจโบราณ”
“เทพเจ้ากับปีศาจโบราณหรือ” สวี่ชีอันงุนงง
“ว่ากันว่าเมื่อโลกอุบัติขึ้นครั้งแรก ได้ให้กำเนิดเทพเจ้ากับปีศาจที่เคลื่อนภูเขาถมทะเล เก็บดาวเก็บเดือนได้ขึ้นมากลุ่มหนึ่ง แต่ต่อมาก็ดับสูญไป ชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือถูกเรียกว่าทายาทของเทพเจ้ากับปีศาจ ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าไม่มีมูล พวกเขาเกิดมามีร่างกายกำยำและแข็งแกร่งเป็นพิเศษ บางครั้งในชนเผ่าจะมีทารกที่เกิดมามีลักษณะคล้ายกับบรรพบุรุษ ผิวกายมีเกล็ด บนหน้าผากมีเขาเดียว มีหางงูเหลือมขนาดใหญ่งอกออกมาและสูงถึงสองฟุตหลังจากเกิดมาได้สามปี…นิมิตต่างๆ ล้วนยืนยันคำกล่าวนี้ จากปรากฏการณ์เหล่านี้ อาลักษณ์ของต้าฟ่งคาดการณ์ว่าในช่วงไร้อารยธรรมจะต้องมียุคที่เทพเจ้ากับปีศาจอาศัยอยู่ ในยุคนั้น มนุษย์คงอ่อนแอราวกับมดปลวกและทำได้เพียงพึ่งพาเทพเจ้ากับปีศาจเพื่อดำรงชีวิต จากนั้นจึงมีชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือในตอนนี้ ส่วนพวกเราก็คือเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เรืองอำนาจขึ้นในภายหลัง”
ไม่ เทพเจ้ากับปีศาจและมนุษย์ไม่ได้แยกกันสืบพันธุ์หรือ…สวี่ชีอันต่อปากต่อคำในใจพลางถามว่า “ข้าสงสัยว่าพวกเขาจะเป็นลูกผสมระหว่างมนุษย์กับปีศาจ ไม่ใช่เทพเจ้ากับปีศาจ อย่างไรเสียงชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือก็เป็นพันธมิตรกัน”
ส่วนคำถามนี้ ฉู่หยวนเจิ่นครุ่นคิดอยู่นานและกล่าวว่า “เกี่ยวกับการมีอยู่ของเทพเจ้ากับปีศาจหรือไม่ ข้าเคยได้ยินคำกล่าวหนึ่งว่า เทพเจ้ากู่ที่หลับใหลอยู่ในหุบเหวลึกที่ซินเจียงตอนใต้คือเทพเจ้ากับปีศาจตนเดียวที่รอดชีวิตมาจากสมัยโบราณ”
เทพเจ้ากู่เป็นเทพเจ้ากับปีศาจโบราณหรือ คำถามนี้สามารถขอคำชี้แนะจากหมายเลขห้าได้…จู่ๆ สวี่ชีอันก็ฉุกคิดขึ้นในใจและเชื่อมโยง “ดังนั้นในสงครามด่านซานไห่ในตอนนั้น ชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือกับทางใต้จึงเป็นพันธมิตรกันหรือ”
“ความคิดนี้ไม่เลว พวกเรารู้เพียงแค่ชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือกับทางใต้ยังคงรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ดีเสมอมา เพียงคิดว่ามีต้าฟ่งกั้นอยู่ตรงกลางและพวกเขาต่างก็ละโมบในแพนเค้กชิ้นนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นพันธมิตรกันโดยธรรมชาติ แต่ก็อาจเป็นเพราะสายเลือดของเทพเจ้ากับปีศาจที่ทำให้พวกเขารักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรต่อกัน”
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างตื่นเต้น “หากอาลักษณ์รู้ความคิดนี้ต้องตื่นเต้นมากแน่นอน”
การสนทนายังคงดำเนินต่อไป
“การข้ามพื้นที่ของชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือกับทางใต้ หากไปทางเหนืออีกก็เป็นดินแดนขั้วโลก ที่นั่นหนาวจนทำให้ผู้คนกลายเป็นน้ำแข็งจากภายในสู่ภายนอกได้ แต่ก็ยังมีร่องรอยของการเอาชีวิตรอด ข้าเคยเห็นเผ่าพันธุ์แปลกประหลาดที่มีหัวเป็นมนุษย์และตัวเป็นปลา พวกเขามีสติปัญญา แต่ไม่เข้าใจภาษามนุษย์ ทว่าสื่อสารด้วยภาษามือได้ ในเผ่าของพวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นตัวเมีย จึงมักจะจัดสรรตัวผู้หนึ่งตัวให้ตัวเมียหญิงหลายตัวและรับผิดชอบทำให้พวกนางตั้งครรภ์ นอกจากการผสมพันธุ์แล้ว ตัวผู้ก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องอื่นอีก การล่าสัตว์ก็ให้ตัวเมียทำ”
น่าอิจฉามาก…สวี่ชีอันคิดในใจ
“แต่เพราะทำงานหนักเกินไป ตัวผู้จึงมักจะอยู่รอดได้ไม่เกินยี่สิบปีและลูกหลานที่เกิดมาก็ยังคงเป็นตัวเมียเสียส่วนใหญ่”
ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า เด็กผู้ชายต้องรักษาตัวเองให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปกป้องตัวเองและไม่ควรทำให้ผู้หญิงละโมบในร่างกาย…สวี่ชีอันคิดในใจ
“พวกเขาจะเกิดวิกฤติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทุกๆ หกสิบปี เพราะตัวผู้ตายกันหมดและไม่มีผู้ใดสามารถทำให้ตัวเมียตั้งครรภ์ได้…ในปีนั้น ข้าไปดินแดนขั้วโลกทางเหนือพอดี”
สวี่ชีอันถามด้วยความตกใจ “จากนั้นเจ้าก็ทำให้ตัวเมียตั้งครรภ์ได้สำเร็จหรือ”
‘พรืด…’
ฉู่หยวนเจิ่นสำลักชาและพ่นใส่ใบหน้าของ สวี่ชีอัน
“เหตุใดเจ้าถึงคาดเดาเช่นนี้” ฉู่หยวนเจิ่นยื่นผ้าเช็ดหน้าให้พลางถามด้วยความตกใจ
“เจ้าพูดต่อเถิด” สวี่ชีอันโบกมือและปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้
“ปีนั้นเป็นปีที่ตัวผู้ในเผ่าของพวกเขาดับสูญพอดี เพื่อให้เผ่าพันธุ์สามารถแพร่พันธุ์ได้อีกครั้ง ตัวเมียบางส่วนจะแปลงเป็นตัวผู้และแบกรับภาระในการแพร่พันธุ์อย่างกล้าหาญ ราชินีของเผ่าจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนเพศ เดิมทีนี่ก็เป็นหน้าที่ของนางที่ต้องรับผิดชอบ หลังจากที่ราชินีกลายเป็นกษัตริย์ นางก็จะรับวังหลังและเรียกเหล่าลูกสาวของนางเข้าสู่วังหลังของนาง”
ในหัวของข้าไม่รู้ว่าควรจะอาเจียนหรือทำอย่างไรดี?! สวี่ชีอันทอดถอนใจ “ความอัศจรรย์ของการสรรค์สร้างนั้นทำให้คนพูดไม่ออก”
หลังจากสนทนากันได้หนึ่งเค่อ ฉู่หยวนเจิ่นก็ยิ้ม “อย่าเอาแต่ฟังข้าพูด ชื่อเสียงของพี่สวี่ไม่มีใครในเมืองหลวงไม่รู้จัก เกียรติยศของเจ้าต้องถูกผู้คนพูดถึงในร้านอาหารและโรงน้ำชาแน่นอน เล่าคดีเหล่านั้นให้ข้าฟัง”
“เรื่องมันยาว…” สวี่ชีอันนั่งตัวตรงและพูดว่า
“เช่นนั้นข้าจะเริ่มเล่าจากคดีเงินภาษี ตอนนั้นอารองของข้าถูกลากเข้าไปพัวพันกับคดีขโมยเงินภาษี ไม่นานนักเขาก็รู้ชะตากรรมของตัวเองและทำร้ายผู้อื่น เมื่อข้ารู้เรื่องนี้ ข้าก็พูดกับอารองว่า อารองอย่าตื่นตระหนกไป คดีนี้มีข้อบกพร่องเต็มไปหมด ในสายตาของหลาน มันเป็นเพียงเล่ห์กลเล็กๆ ข้าสามารถคลี่คลายได้ในหนึ่งก้านธูป…แต่ข้าต้องยอมรับว่า ตอนนั้นข้ายังเด็กจริงๆ และประเมินฮีโร่ของโลกต่ำไป”
“หืม เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” ฉู่หยวนเจิ่นสนใจขึ้นมา
“ข้าใช้เวลาถึงสองก้านธูปจึงจะคลี่คลายคดีเงินภาษีได้”
…
สวี่ชีอันเริ่มเล่าจากคดีเงินภาษีจนถึงคดีพระสนมฝู ฉู่หยวนเจิ่นถือถ้วยน้ำชาไว้ เขาไม่ดื่มแม้แต่จิบเดียวและตั้งใจฟัง
เมื่อฟังถึงจุดที่สงสัย เขาก็ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ หลังจากสวี่ชีอันเล่าเรื่องวงใน เขาก็เข้าใจแจ่มแจ้งและยิ้มออกมา
“พี่สวี่วินิจฉัยคดีราวกับเทพเจ้า ข้าเลื่อมใสนัก”
ฉู่หยวนเจิ่นใจเต้นและคิดถึงหมายเลขสามญาติผู้น้องของใต้เท้าสวี่ผู้นี้ ก่อนหน้านี้เขาเดาว่าหมายเลขสามเกี่ยวข้องกับปราณใสที่พุ่งขึ้นฟ้าที่ตำหนักรองปราชญ์เอกและคิดว่านักบวชเต๋าจินเหลียนถูกชะตาความพิเศษของหมายเลขสาม เขาจึงมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้หมายเลขสาม
หลังจากนั้นก็ได้รู้จักสวี่ชีอันญาติผู้พี่ของหมายเลขสาม เขาคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ก็น่าทึ่งเช่นกัน ความจริงนักบวชเต๋าจินเหลียนมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีให้ญาติผู้น้อง แต่จริงๆ แล้วเขาคิดจะกินเรียบทั้งพี่ทั้งน้อง
ตอนนี้เขาได้เห็นความสามารถกับพรสวรรค์ของสวี่ชีอันแล้ว จึงมั่นใจในการคาดเดานี้มากยิ่งขึ้น
“นักบวชเต๋าจินเหลียนฉลาดหลักแหลมจริงๆ”
ในเวลานี้เอง จู่ๆ หน้าอกของฉู่หยวนเจิ่นก็สั่น เขาตระหนักว่ามีผู้ถือครองชิ้นส่วนส่งข้อความมา จึงพูดทันที “ข้าไปห้องน้ำก่อน”
ทันทีที่สิ้นเสียง สวี่ชีอันที่นั่งตรงข้ามก็พูดขึ้นเกือบจะพร้อมกัน “ข้าไปห้องน้ำก่อน”
ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันจึงเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “เชิญพี่ฉู่ก่อน”
ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าและลุกขึ้นออกจากห้องที่เงียบสงบไป เขาคาดว่าสมาชิกพรรคฟ้าดินส่งข้อความมาและคงไม่จบลงในเวลาอันสั้น
หากสวี่ชีอันไปห้องน้ำก่อนแล้วกลับมาบังเอิญเจอเข้าจะไม่ดี
หลังจากเสียงฝีเท้าค่อยๆ ไกลออกไป สวี่ชีอันก็หยิบกระจกหินหยกบานเล็กออกมาและตรวจสอบข้อความ
หมายเลขห้า ‘เงินของข้าถูกโกงไป ข้าควรทำอย่างไรดี’
นี่เป็นเรื่องที่อยู่ในการคาดการณ์และสมเหตุสมผลจริงๆ…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก เมื่อคำนึงถึงสถานะคนตายของเขา เขาก็ไม่ได้ส่งข้อความไปสอบถาม
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เห็นฉู่หยวนเจิ่นตอบกลับ
หมายเลขสี่ ‘เกิดอะไรขึ้น เงินถูกโกงไปได้อย่างไร’
หมายเลขหก ‘หมายเลขห้า ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน อยู่ห่างจากเมืองหลวงมากแค่ไหน แล้วเจ้าถูกโกงเงินไปเท่าไหร่ หากไม่มีที่ให้กินข้าว ลองดูว่าบริเวณใกล้เคียงมีวัดหรือไม่ ไปบิณฑบาตที่นั่นเถิด’
พรืด…สวี่ชีอันปิดปาก เขาเกือบจะหัวเราะออกมา
แต่ไหนแต่ไรมีเพียงภิกษุเท่านั้นที่บิณฑบาต หากหมายเลขห้าไปบิณฑบาตที่วัด เหล่าภิกษุจะรู้สึกอย่างไร
หมายเลขสอง ‘เงินถูกโกงไม่เป็นไร คนอย่าถูกหลอกก็พอ…เผ่าของพวกเจ้านี่จริงๆ เลย วางใจให้เด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งเดินทางไกลแสนไกลมาถึงต้าฟ่งเชียวหรือ ไม่รู้หรือว่าควรส่งผู้อาวุโสมากับเจ้าด้วย’
หมายเลขหนึ่ง ‘จำไว้ว่าอย่าทำสิ่งใดที่ฝ่าฝืนกฎหมายของต้าฟ่ง’
หมายเลขเก้า ‘นี่ หมายเลขห้า หากเจ้าอยู่ไม่ไกลจากซินเจียงตอนใต้ เจ้าก็กลับไปเถิด ฟ้ามืดถนนลื่น ยุทธภพสุดลึกล้ำ’
ทุกคนล้วนเป็นห่วงหมายเลขห้า…นิ้วของสวี่ชีอันสัมผัสกระจกอยู่หลายครั้งแล้วก็หดกลับไป เขารู้สึกอึดอัดและอยากมีส่วนร่วมมาก
…………………………………………………