ภายในโถงหลัง เนื่องจากเว่ยฉางอิ๋งและเสิ่นจั้งฮุย พี่สะใภ้และน้องสามีเข้าไปเยี่ยมเสิ่นจั้งเฟิงข้างในห้อง เสิ่นฉู่สามีภรรยาจึงสนทนากับกู้โหรวจาง ตวนมู่ซินเหมี่ยว เติ้งวานวานสามคุณหนูมีตระกูลและเติ้งจงฉีที่เหลืออยู่ในโถงคำแล้วก็คำเล่า สอบถามถึงความลำบากระหว่างเดินทาง
เพียงแต่ยังไม่ทันพูดเรื่องความลำบากได้ถึงสองประโยค …ตวนมู่ซินเหมี่ยวนอนหลับมาตลอดทางและเวลานี้เพิ่งจะตื่นขึ้นมาแต่สติยังไม่กลับมาครบดี เอ่ยโต้ตอบไปด้วยจิตใจล่องลอยเพียงไม่กี่คำ คุณหนูที่สืบทอดความไม่เกรงอกเกรงใจจากอาจารย์ของนางผู้นี้จึงขัดการสนทนาของทุกคนขึ้นมาตรงๆ ด้วยการเอ่ยถามว่า “เตรียมห้องไว้ให้พวกเราแล้วหรือไม่?”
นางโจวรีบตอบไปว่า “เตรียมเอาไว้แล้ว! ตั้งแต่เพิ่งได้รับข่าวก็สั่งให้คนไปเก็บกวาดทำความเอาสะอาดเอาไว้แล้ว และเติมถ่านไว้ใต้เตียงเตาทุกวันเพื่อไล่ไอหนาวให้ออกไป เพียงแต่ซีเหลียงหนาวเย็นนัก ของใช้ต่างๆ ล้วนมีไม่ครบครัน เกรงว่าต้องทำให้คุณหนูทุกท่านลำบากสักหน่อยแล้ว”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวโบกมือแล้วเอ่ยอย่างใจกว้างว่า “นี่ก็ไม่เป็นไร ผู้ใดยังหวังจะได้มาเสพสุขที่ซีเหลียงนี่เล่า?” แม้ว่านี่จะเป็นความจริง ทว่าเมื่อทุกคนได้ยินกลับพากันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ตัวตวนมู่ซินเหมี่ยวเองกลับไม่ได้มีความรู้สึกใด แล้วร้องขอต่อไปว่า “หาคนพาข้าไปที่ห้องก่อน ตลอดทางที่มานี้ทำเอาข้าทรมานแย่แล้ว…วานวาน มิใช่เจ้ากำลังจับไข้? จะไปที่ห้องด้วยกันกับข้าหรือไม่ ข้าจะจัดยาให้เจ้า?” นางพกของที่จำเป็นมาด้วย ทั้งเครื่องมือแพทย์ที่ใช้บ่อยครั้งและยาสมุนไพรที่ไม่ค่อยพบเห็นที่ซีเหลียงมาด้วยจำนวนหนึ่ง
เติ้งวานวานเดินทางติดตามมาพันลี้ ก็เพื่อต้องการให้แน่ใจว่าพี่ชายปลอดภัยดี เวลานี้เมื่อเห็นว่าเติ้งจงฉีสบายดีทุกประการ นางจึงกำลังยินดีเป็นนักหนา แม้ยังคงมีอาการไออยู่บ้าง แต่จะตัดใจแยกจากพี่ชายได้อย่างไร? จึงเอ่ยไปทันใดว่า “ขอบคุณพี่ตวนมู่มากเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้ายังอยากจะสนทนากับพี่ชายต่อ…”
“เช่นนั้นเมื่อเจ้าว่างแล้ว หากยังไม่หายดีค่อยไปหาข้าก็แล้วกัน” เดิมทีครั้งอยู่เมืองหลวงพวกนางสองสามคนก็ไม่นับว่าสนิทสนมกัน โดยเฉพาะตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งแม้ว่านางจะมีชื่อเสียงไปทั่วแต่เพราะเป็นคนนิสัยประหลาดคนที่คบค้าสมาคมกับนางจึงมีน้อยจนนับคนได้ ทว่าตลอดทางที่เดินทางมา คนจำนวนไม่กี่คนนี้ต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน แม้ระหว่างเดินทางตวนมู่ซินเหมี่ยวจะนอนหลับ ทว่าเวลาพักย่อมต้องตื่นมาทานอาหารและทำธุระต่างๆ ตลอดทางเวิ้งว้างเหน็บหนาว สองข้างทางก็ไม่มีทัศนียภาพใดให้ได้ชม เมื่อเบื่อๆ ขึ้นมาจึงทำได้เพียงมาสนทนากัน กลับทำให้สนิทสนมกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ครานี้ถูกเติ้งวานวานปฏิเสธ ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็ไม่ได้ใส่ใจอันใด เพียงพูดไปคำหนึ่ง แล้วหันหน้ามาถามกู้โหรวจางว่า “โหรวโหรว แล้วเจ้าเล่า?”
กู้โหรวจางไม่มีภาระใดให้ต้องเป็นกังวล เพราะเดิมทีนางก็ไม่เชื่อว่าพี่ชายทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว เหตุที่พยายามติดตามขบวนมาถึงซีเหลียงนี้ก็เพียงเพราะต้องการมาร่วมสนุกล้วนๆ เท่านั้น การเดินทางยาวไกลในครานี้ ด้วยเหตุที่นางและเว่ยฉางอิ๋งคอยออกมาขี่ม้าเปลี่ยนบรรยากาศอยู่บ่อยครั้ง พอเบื่อแล้วก็มีรถม้าให้เข้าไปพักได้ จึงเป็นคนที่ยังมีเรี่ยวแรงดีที่สุด ที่สุดยามนี้ก็มาถึงที่หมายแล้วจึงกำลังอยู่ในช่วงตื่นเต้นดีใจ จนเรียกได้ว่ากระปรี้กระเปร่าสดใสเป็นที่สุด ได้ยินคำ ไม่ทันคิดก็บอกไปว่า “นี่ข้าเพิ่งเคยมาซีเหลียงเป็นคราแรกเชียวนะ ข้าอยากไปดูให้ทั่วสักหน่อย!”
นางโจวเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “คุณหนูกู้จะไม่ไปที่เมืองเซียนเฉิงหรือป้อมปราการวั่งหลิ่วหรือเจ้าคะ?” ซึ่งทั้งสองแห่งนั้นก็คือสถานที่ที่กู้ซีเหนียนและกู้อี้หรานประจำการอยู่
กู้โหรวจางเอ่ยอย่างมีเหตุมีผลหนักหนาว่า “พวกพี่ชายล้วนกำลังสร้างผลงานให้ชาติบ้านเมือง จะมีเวลามาสนใจข้าที่ใด? ถ้าข้าไปก็มิใช่เป็นการรบกวนพวกเขาหรอกหรือ? ไม่ไปหรอก ข้าออกไปเดินชมทั่วๆ เองเป็นพอแล้ว” ดูท่าว่าคุณหนูผู้นี้จะเห็นว่าการมาที่ซีเหลียงเป็นการมาเที่ยวชมนกชมไม้จริงๆ เสียแล้ว!
ครั้งนางโจวได้รับข่าวว่าขบวนของเว่ยฉางอิ๋งจะมาที่ซีเหลียงนั้น ก็ได้ยินว่า คุณหนูกู้ผู้นี้แอบติดตามมาในขบวนด้วย …ซึ่งคุณหนูกู้ผู้นี้เป็นถึงบุตรสาวในสายหลักของตระกูลกู้แห่งเมืองหลวง เพียงคิดก็รู้ได้ว่าปกติแล้วต้องไม่มีทางไม่มีคนคอยอบรมสอนสั่ง แต่กลับทำเรื่องเช่นนี้ได้ เพียงได้ฟังก็รู้ว่านางมิใช่ตะเกียงที่พร่องน้ำมัน[1]เป็นแน่
ฮูหยินซูเสนอแนะกับนางโจวว่ารอจนคนมาถึงแล้วก็ให้ส่งนางไปหากู้ซีเหนียนโดยทันที ประการแรกเพราะเว่ยฉางอิ๋งคงไม่มีเวลาคอยดูแลควบคุมนาง ประการที่สองพวกตนก็ไม่อาจมาดอยดูแลเป็นห่วงแทนตระกูลกู้เช่นนี้ได้ จึงต้องส่งมอบนางให้แก่กู้ซีเหนียนพี่ชายบุตรอนุของนาง ให้กู้ซีเหนียนไปปวดหัวเอง!
ฉะนั้นเมื่อได้ยินกู้โหรวจางบอกว่าจะออกไปเที่ยวชมให้ทั่ว นางโจวจึงไม่สนใจว่าต้องเกรงอกเกรงใจหรือไม่แล้ว และจงใจเอ่ยถึงเมืองเซียนเฉิงและป้อมปราการวั่งหลิ่วขึ้นมา คิดว่ากู้โหรวจางเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง ก็ควรต้องรู้สึกอายจนหาทางไปไม่ได้ และทำได้เพียงบอกว่าจะไปหาพวกพี่ชายตามคำบอกกล่าวของนางกระมัง? ผู้ใดจะคิดว่าพอกู้โหรวจางอ้าปากก็หาเหตุผลที่ไม่ต้องไปหาพวกพี่ชายได้ทันที เพียงแต่เหตุผลนี้ก็…
เติ้งจงฉีไม่วางใจเรื่องที่น้องสาวร่วมท้องผู้ซึ่งอ่อนแอบอบบางเดินทางมาไกล จึงขอลาเสิ่นหยิวเจี่ยมาเป็นการพิเศษ แล้วเร่งมาต้อนรับน้องสาวที่ประตูเมือง เวลานี้เขารู้สึกวางตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดดี เติ้งวานวานเองก็ปากค้างติดอ่าง เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “เวลานี้การศึกก็ไม่ได้วุ่นวาย”
กู้โหรวจางจึงเพิ่งตระหนักขึ้นมาว่าคำพูดนี้ไปล่วงเกินพี่น้องบ้านเติ้งเสียแล้ว จึงรีบบอกว่า “อ๊ะ วานวานเจ้ากล่าวถูกต้อง ในเมื่อพวกเขาไม่ยุ่ง แต่ก็ไม่ได้มารับข้า คาดว่าต้องมีเรื่องอื่นทำให้ปลีกตัวมาไม่ได้ ข้าว่าข้าก็อย่างเพิ่งไปรบกวนเขาดีกว่า ผ่านไปสักสองสามวันค่อยว่ากันเถิด!”
นางโจวนิ่งงัน ยามนี้จะทำให้คุณหนูกู้ผู้นี้ไปได้อย่างไรนะ? หากบอกไปว่าคุณชายกู้ทั้งสองท่านอาจไม่มีเรื่องใดที่ทำให้ปลีกตัวมาไม่ได้ ก็เท่ากับว่ากู้ซีเหนียนและกู้อี้หรานไม่รักใคร่น้องเท่าเติ้งจงฉี แต่หากจะให้กู้โหรวจางไปหาคนทั้งสองนั้น นางก็บอกแล้วว่าเห็นใจพี่ชายจึงไม่ไปรบกวน…
แต่ตวนมู่ซินเหมี่ยวกลับไม่ได้คิดอันใดมากมายเช่นนางโจว เอ่ยไปอย่างเกียจคร้านว่า “ในเมื่อเป็นดังนี้ ข้าก็จะไปที่ห้องก่อน ใช่สิ ท่านน้าโจวเจ้าคะ ในห้องนั้นมีบ่าวอยู่รับใช้หรือไม่เจ้าคะ?”
เพราะโจวเยวี่ยกวงแม่เลี้ยงของตวนมู่ซินเหมี่ยวเป็นบุตรสาวตระกูลโจวแห่งซีหลินเช่นเดียวกับนางโจว ตวนมู่ซินเหมี่ยวจึงเรียกขานนางโจวว่าท่านน้า …นางโจวได้ยินนางถามเช่นนี้ก็นิ่งเหม่อไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมาแล้วบอกว่า “ย่อมมีอยู่แล้ว…” พอพูดไปได้ครึ่งหนึ่งนางโจวก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง เมื่อสังเกตดูในโถงอย่างละเอียดจึงเพิ่งพบว่าสาวใช้ที่สวมชุดสีสันสดใสซึ่งยืนอยู่รอบตัวนั้น คล้ายว่าล้วนยืนอยู่ข้างหลังกู้โหรวจางและเติ้งวานวานทั้งสิ้น?!
นางจึงโพล่งเอ่ยต่อไปว่า “เพียงแต่ล้วนเป็นพวกบ่าวทำงานหนัก ซินเหมี่ยวเจ้า… สาวใช้ของเจ้าเล่า?”
ตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยออกไปอย่างประหลาดใจ “ข้าไม่ได้พาสาวใช้มาเจ้าค่ะ!”
“…” นางโจวเงียบลงอีกครั้ง ในปีนี้ คนในสายห่างๆ ของตระกูลมีชื่อที่ตกต่ำ อย่างน้อยก็ต้องมีสาวใช้ข้างกายสักสองคนไว้คอยปรนนิบัติ แม้แต่กู้โหรวจางที่แอบหนีออกมาก็ยังพาสาวใช้ที่ถูกนางบังคับให้มาด้วยสองคน ผู้ใดจะคิดว่าตวนมู่ซินเหมี่ยวซึ่งเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกในสายหลักของตระกูลตวนมู่แห่งจิ่นซิ่วกลับ…เดินทางมาเพียงลำพังคนเดียว แม้แต่คนคอยรับใช้ข้างกายสักคนก็ไม่มี?
ครานี้ก็ได้ยินตวนมู่ซินเหมี่ยวเอ่ยอีกว่า “ตลอดทางล้วนเป็นจูหลานและจูสือที่ดูแลข้างกายพี่เว่ยเป็นคนปรนนิบัติข้า ในเมื่อในห้องไม่ได้เตรียมสาวใช้ดูแลใกล้ชิดไว้ให้ข้า เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวข้าก็จะไปขอพวกนางสองคนมาจากพี่เว่ยก็แล้วกัน”
นางโจวรีบบอกไปว่า “ก็มิใช่ว่าไม่มี เพียงแค่นึกว่าเจ้าจะพาคนมาเอง จึงไม่ได้ส่งคนไป เจ้าวางใจเถิด อีกสักพักข้าจะส่งคนไปให้เจ้า! รับรองว่าต้องดูแลเจ้าได้อย่างดีแน่นอน”
………………………………………….
[1] ตะเกียงพร่องน้ำมัน หมายถึง คนที่ชอบไม่ชอบหาเรื่องหาราว อยู่อย่างสงบ