ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 3-2 นางโจว

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

เมื่อสนทนากันถึงตรงนี้ก็พอประมาณแล้ว ตวนมู่ซินเหมี่ยวไปที่ห้องพักที่ตระเตรียมไว้ให้นาง เติ้งจงฉีจึงถือโอกาสนี้พาน้องสาวไปสนทนากันต่อ กู้โหรวจางอาศัยว่าตนยังไม่เหนื่อย บอกว่าจะไปเที่ยวชมในตัวเมืองซีเหลียง …นางโจวจึงบอกว่าจะให้คนนำทางนางไป และกล่าวขออภัยที่ตนยังต้องจัดการงานต่างๆ ในหมิงเพ่ยถัง จึงไม่อาจพาไปด้วยตนเองได้

กู้โหรวจางคิดแต่จะเล่น และมิได้สนใจว่านางโจวยุ่งจริงๆ หรือดูแคลนที่นางเป็นเพียงบุตรสาวตระกูลใหญ่จึงคร้านจะพาไปด้วยตนเอง เมื่อได้คนนำทางก็ออกไปแล้ว

รอจนแขกแยกย้ายไปหมดแล้ว เสิ่นฉู่จึงถามภรรยาว่า “นอกจากคุณหนูตวนมู่ผู้นี้จะเป็นบุตรสาวภรรยาเอกในสายหลักของตระกูลสูงศักดิ์แล้ว ยังเป็นศิษย์รักของ จี้ชวี่ปิ้งแพทย์เลื่องชื่อในเขตทะเลด้วย ยามนี้หลานย้าวเหยี่ยนอนป่วยอยู่บนตั่งยังลุกไม่ไหว ได้ยินว่าทางเมืองหลวงจึงส่งนางมาดูแล ป้องกันไว้ก่อนหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น …หากเอาสาวใช้ทั่วไปไปปรนนิบัตินางเกรงว่าจะถูกไม่ใจนาง แต่หากไม่มีก็กลับเป็นการล่วงเกินนาง ก่อนนี้นางว่าจะไปขอคนจากหลานสะใภ้ เจ้าก็ปล่อยให้นางไปขอก็ดีแล้ว ในเมื่อสาวใช้ทั้งสองคนคอยดูแลนางมาตลอดทาง ย่อมเป็นที่ยอมรับของนางแล้ว ดีชั่วก็เห็นว่าหลานสะใภ้พาคนมาไม่น้อย คงไม่ถึงกับขาดเหลือสาวใช้เพียงสองคนนั้นหรอก ในดินแดนรกร้างของพวกเราในยามนี้ แล้วจะไปหาสาวใช้ที่ช่างดูแลเอาใจใส่เช่นนั้นให้นางมาจากที่ใด? หากหาไปแล้วไม่ถูกใจนาง แต่เจ้าก็พูดไปเช่นนั้นเสียก่อนแล้ว! ถึงยามนั้นจะแก้หน้ากันอย่างไร!”

นางโจวเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้านี่เลอะเลือนจริง! มิใช่ว่าตอนนี้ก็มีตัวเลือกอยู่แล้วหรือ?”

“ผู้ใด?” เสิ่นฉู่และนางโจวได้รับการไหว้วานให้คอยดูแลคฤหาสน์ดั้งเดิมของหมิงเพ่ยถัง แม้จะบอกว่าเวลานี้คนในสายหลักล้วนอยู่ในเมืองหลวง คนที่อยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้จึงล้วนเป็นบ่าวและคนในตระกูลที่อยู่ในที่ห่างไกลตัวเมืองมาขอพักอาศัยอยู่ด้วยสาเหตุนานา  ทว่าเพราะหมิงเพ่ยถังมีขนาดกว้างใหญ่ และตระกูลสายหลักไม่ได้อยู่ที่นี่ ทว่าตระกูลเสิ่นกำลังเจริญรุ่งโรจน์ จึงไม่ยอมให้คฤหาสน์ดั้งเดิมต้องมีฝุ่นจับหนา ฉะนั้นผู้คนที่มาทำความสะอาดและบำรุงซ่อมแซมจึงมีจำนวนไม่น้อย

ฉะนั้นเสิ่นฉู่และนางโจวจึงแบ่งกันดูแลพื้นที่ด้านในและด้านนอกตลอดมา ในส่วนของสาวใช้ล้วนเป็นนางโจวดูแล เสิ่นฉู่จึงไม่ใคร่คุ้นเคยนัก เมื่อได้ยินนางโจวเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจในยามนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “นางเป็นถึงคุณหนูมีตระกูล ที่มาจากเมืองหลวงแท้ๆ เพียงดูจากเมื่อครู่ที่นางทำประหนึ่งไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาก็รู้แล้วว่ามิใช่คนที่ปรนนิบัติดูแลได้โดยง่าย ในจดหมายของฮูหยินก็บอกแล้วว่าอย่าได้เสียมารยาทต่อนาง เจ้าว่าจะให้ผู้ใดไปปรนนิบัติแขกผู้นี้?”

“…ที่อยู่ทางนั้น” นางโจวเอียงปากไปทางเรือนพักของเสิ่นจั้งเฟิง กล่าวว่า “หร่วนอวี้ผู้นั้นก็ไม่ได้ด้อยกว่าสาวใช้ข้างกายหลานสะใภ้แต่อย่างใด ไปปรนนิบัติคุณหนูตวนมู่จะยังไม่พออีกหรือ?”

เมื่อเสิ่นฉู่ได้ฟังคิ้วก็ขยับขึ้นทันที กล่าวว่า “เจ้าอาศัยโอกาสที่ย้าวเหยี่ยถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสคราวก่อน จึงจงใจส่งนางไปปรนนิบัติใกล้ชิดย้าวเหยี่ยเป็นการเฉพาะ เพียงแต่ย้าวเหยี่ยบาดเจ็บสาหัส จนบัดนี้เรื่องจึงยังไม่สำเร็จ แล้วยามนี้ก็จะย้ายนานไป มิใช่ว่าจะลงแรงไปเปล่าหรอกรึ?”

“เจ้านี่มันสมองขี้เลื่อยโดยแท้!” นางโจวขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเบาๆ กับเขา “เจ้าก็ไม่รู้จักดูเสียบ้างว่าผู้ใดมา? ก่อนนี้ย้าวเหยี่ยอยู่เพียงลำพัง อายุเพียงน้อยๆ ก็ต้องมาโดดเดี่ยวอยู่ในซีเหลียง ข้างกายเขานอกจากเด็กรับใช้แล้ว แม้แต่สาวใช้ทำงานหนักสักสองคนก็ยังไม่มี! ในที่ที่เหน็บหนาวเพียงนี้ หาคนที่เป็นการเป็นงานไปปรนนิบัติเขา ก็นับว่าเป็นความปรารถนาดีของคนเป็นอาสะใภ้เช่นข้า! ทว่ายามนี้หลานสะใภ้มาแล้ว แม้ไม่เอ่ยถึงตัวหลานสะใภ้เอง ก็เห็นว่าหลานสะใภ้พาคนมาตั้งมากมาย ยังต้องกลัววาไม่มีคนดูแลย้าวเหยี่ยดีๆ อีกหรือ? ในเมื่อเป็นดังนี้ หร่วนอวี้ก็ไม่ต้องไปอยู่ขวางหูขวางตาหลานสะใภ้ที่นั่นแล้ว อย่าให้หลานสะใภ้นึกว่าข้าอาศัยจังหวะที่นางไม่อยู่ แล้วจงใจเพิ่มคนในเรือนหลังให้นางเสียเล่า!”

เสิ่นฉู่แค่นเสียงหึคราวหนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าก็รู้รึว่าหร่วนอวี้ขวางหูขวางตาหลานสะใภ้? ข้าก็บอกเจ้าเสียตั้งนานแล้วว่าหลานสะใภ้เป็นบุตรีตระกูลเว่ยที่มีชั้นตระกูลทัดเทียมตระกูลเสิ่นของเรา ได้ยินว่าบ้านฝั่งมารดาของนางรักใคร่นางเป็นที่สุด ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายคนโตของย้าวเหยี่ยแล้ว ฐานะของนางจึงมั่นคงดังขุนเขา! บอกเจ้าว่าอย่าส่งหร่วนอวี้ไปที่เรือนของย้าวเหยี่ย เจ้าก็ไม่ยอมฟัง! ทั้งยังเปลี่ยนชื่อให้นางเป็นหร่วนอวี้[1]เสียอีก เพราะกลัวว่าย้าวเหยี่ยจะมองสิ่งที่ต้องการบอกไม่ออก! ยามนี้หลานสะใภ้มาแล้ว เจ้าก็ยังไม่รีบเอานางไปไว้ที่อื่นเสียก่อน ลำพังแค่หน้าตางามๆ ของนาง หลานสะใภ้ไม่เคลือบแคลงอยู่ในใจก็แปลกแล้ว! ถึงยามนั้นหากสืบสาวมาถึงตัวเจ้า กลับจะพลอยทำให้ข้ารับเคราะห์ถูกหลานสะใภ้ชิงชังไปด้วย!”

นางโจวได้ฟังสีหน้าพลันหนักขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างเย็นเฉียบว่า “เหตุใดข้าต้องส่งนังเด็กนั่นไปปรนนิบัติย้าวเหยี่ย เจ้าก็รู้ดีอยู่แก่ใจ! หากมิใช่เพราะเจ้าดูแลเรือนหน้าก็ยังโลภไม่พอสักที มีเรื่องไม่มีเรื่องก็ต้องมาเดินเตร็ดเตร่ที่ข้างหลังนี่อยู่ทั้งวัน ตาก็ชอบกวาดไปมองแต่สาวใช้หน้าตางามๆ นับแต่ที่ได้พบหร่วนอวี้ก็เอาแต่ขยับไปอยู่ใกล้นางวันและแปดรอบ …หากมิใช่ว่านางอายุน้อยกว่าลูกสาวเรา เกรงว่าเจ้าก็จะเอ่ยปากขอกับข้าแล้ว?!”

“ก่อนนี้หากข้าคิดจะรับนางมาแล้วจะอย่างไร?” เสิ่นฉู่ถูกภรรยาพูดแทงใจดำ หาทางไปไม่ได้ ในขณะที่กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงพูดตรงๆ ไปเสียเลย กล่าวว่า “ข้าก็มิได้คิดจะหลงอนุลืมภรรยานี่! หากเจ้าเป็นภรรยาที่ดีงามจริงดังว่า ยามมองใจข้าออกก็ควรเป็นคนออกปากให้ข้าเสียเลย แต่มิใช่จับนางแต่งเนื้อแต่งตัวเสียครบครัน เปลี่ยนชื่อจนสามารถออกหน้าออกตาได้แล้วส่งไปอยู่ข้างกายย้าวเหยี่ย!”

นางโจวถ่มน้ำลายใส่หน้าเขา “ถุย! เจ้าฝันหวานนักนะ! หลงอนุลืมภรรยา! เจ้าเห็นว่าสายหลังของตระกูลเสิ่นไม่อยู่ที่นี่ เจ้าก็จะวางกฎวางเกณฑ์ด้วยตนเองหมดรึ?ถ้าเจ้ากล้านัก ก็ลองดูสิ! เจ้านึกว่าก่อนนี้ย้าวเหยี่ยบาดเจ็บสาหัสนอนหมดสติ หร่วนอวี้จึงไปปรนนิบัติเขาไม่ได้ ยามนี้หลานสะใภ้มาแล้ว หร่วนอวี้จึงอยู่ข้างกายเขาต่อไปไม่ได้ แล้วข้าก็ไม่อาจไม่เรียกนางกลับมาดูแลรับใช้ที่เดิมเพื่อให้เจ้าสมหวังรึ?! ข้าจะบอกเจ้าไว้ให้ เจ้าเลิกหวังได้เลย! อย่าว่าแต่วันนี้คุณหนูบ้านตวนมู่จะเอาสาวใช้ทำงานละเอียดผู้นี้เลย ต่อให้ไม่มีคุณหนูตวนมู่เป็นทางออก เจ้าก็อย่าได้หวังจะรับนางมา …เจ้าหมายตาที่นางทั้งสาวทั้งสวย แต่ไม่รู้จักคิดถึงหน้าเหี่ยวๆ ของเจ้าบ้าง เด็กสาวนั่นพอใจเจ้าหรือไม่!”

เสิ่นฉู่ถูกภรรยาทั้งถ่มน้ำลายทั้งร้องด่าจึงมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว เขายกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำลายที่ภรรยาถ่มใส่หน้า ยิ้มหยันกล่าวว่า “นางก็เป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง หากข้ายอมรับเข้ามาเป็นอนุอย่างออกหน้าออกตา ก็นับว่าเป็นวาสนาล้นฟ้าแล้ว! ข้า…”

“เจ้าฝันไปเถิด!” นางโจวยิ้มหยันพลางว่า “หากว่ากันเรื่องฐานะ แม้เจ้าและข้าจะเป็นคนในตระกูลเสิ่น และโดยนามแล้วก็ยังเป็นอาและอาสะใภ้ของย้าวเหยี่ย แต่นี่ก็เป็นเพราะย้าวเหยี่ยมีใจคอกว้างขวางเป็นกันเองเท่านั้น หากเขาจะมองเราเป็นบ่าวแล้วเราจะทำอันใดได้? หากว่ากันเรื่องอายุ ไอ้แก่เช่นเจ้าก็อายุปูนนี้แล้ว แต่ย้าวเหยี่ยกำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น! หากว่ากันเรื่องหน้าตา ไอ้แก่เช่นเจ้า หากมิใช่ว่าในมือมีอำนาจน้อยนิดที่ตระกูลสายหลักให้เจ้าคอยเฝ้าคฤหาสน์ เจ้าลองไปดูทั่วทั้งหมิงเพ่ยถังซิว่าจะมีบ่าวหน้าตาอัปลักษณ์สักคนทนสายตาเจ้าไหวหรือไม่?! ความหล่อเหลาเหนือผู้คน เก่งทั้งบู๊บุ๋น ทั้งมีอนาคตยาวไกลเพียงนี้ของย้าวเหยี่ย อย่าว่าแต่เป็นอนุของเขาเลย ต่อให้ชั่วชีวิตนี้ไม่ได้มีฐานะใดๆ ไปอยู่กับเขาก็ยังดีกว่าเป็นอนุของเจ้าเป็นร้อยเป็นพันเท่า! เจ้านึกว่าพอหร่วนอวี้เห็นย้าวเหยี่ยแล้วยังจะมาพึงใจไอ้แก่อัปลักษณ์เช่นเจ้าอีกรึ!”

_______________________________

[1] หร่วนอวี้ หมายถึงหยกชนิดหนึ่งมีเนื้อเนียนละเอียด มักใช้เปรียบเทียบกับผิวพรรณเนียนนุ่มของหญิงงาม