“ครั้งนั้นบาดแผลบนตัวเจ้ายังไม่ทันหายดี เหตุใดจึงต้องเดินทางไปถึงด่านเตี๋ยชุ่ย?” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินสามีเล่าเรื่องถูกลอบสังหารก็ไม่เข้าใจอย่างยิ่งพลันเอ่ยถามด้วยความสงสัย “แต่ไรมาเจ้าไม่ใคร่ชอบนั่งรถ ก่อนหน้านี้นอกจากออกไปกับข้าหรือไม่ก็ฝนตก เจ้าก็จะขี่ม้า คนร้ายผู้นั้นกลับซุ่มอยู่ใต้สะพาน แล้วฉวยโอกาสลงมือตอนเจ้านั่งเกี้ยวเล็กผ่านไป เห็นชัดว่าครั้งนั้นเจ้ายังขี่ม้าไม่ได้จึงต้องนั่งเกี้ยว ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเกี้ยวเล็กด้วย ก็เพื่อป้องกันไม่ให้บาดแผลฉีกออก ในเวลาเช่นนี้ยังมีเรื่องยิ่งใหญ่สำคัญอันใดที่เจ้าต้องเดินทางไปด้วยตนเอง? เหตุใดเจ้าไม่ทะนุถนอมตนเองเช่นนี้?”
ด้วยเหตุที่ข้างนอกมีสาวใช้หน้าตางดงามนางหนึ่ง อารมณ์ของเว่ยฉางอิ๋งในเวลานี้จึงสับสนไปหมด แอบคิดในใจว่าด่านเตี๋ยชุ่ยรึ? ภายหลังต้องให้คนไปตรวจที่แห่งนี้ให้ดี คงมิใช่ว่าเขารับสาวใช้งามเอาไว้แล้วก็ยังไม่พอใจอีก จึงต้องไปเลี้ยงดูแก้วตาดวงใจอันใดไว้ที่ด่านเตี๋ยชุ่ยอีก จนถึงขั้นบาดเจ็บอยู่ก็ยังหักใจอยู่ไกลกันไม่ได้ และต้องมาหาทั้งยังเจ็บอยู่เชียวรึ?!
ก็โทษไม่ได้ที่นางต้องเคลือบแคลงใจเช่นนี้ ด้วยเสิ่นจั้งเฟิงมิได้เป็นคนที่ไม่รู้จักว่าเรื่องใดควรไม่ควร หรือรู้จักแต่อวดอ้างตนเช่นนั้นจริงๆ เขาย่อมไม่มีทางไม่รู้ว่าความปลอดภัยของตัวเขามีความหมายเพียงใดต่อทั้งตระกูลเสิ่น หาไม่แล้วหลังจากได้รับบาดเจ็บก็จะไม่มีทางรีบกลับมารักษาอาการบาดเจ็บที่คฤหาสน์ดั้งเดิมในตัวเมืองซีเหลียง ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วเป็นที่เหมาะสมมากที่สุด
ทว่าเสิ่นจั้งเฟิงซึ่งเป็นคนที่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรกลับออกไปข้างนอกทั้งยังบาดเจ็บอยู่ก็ยังแล้วไป แต่องครักษ์ที่ออกเดินทางไปด้วยก็ยังละเลยจนถึงขั้นเกือบทำให้คนร้ายลงมือได้สำเร็จ! ในเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงมีบาดแผลอยู่กับตัวไม่อาจวางแผนจัดการได้อย่างรัดกุม คนข้างกายเขาก็ไม่ควรทำเรื่องผิดพลาดเช่นนี้ ฉะนั้นความเป็นไปได้ที่คนร้ายเกือบลงมือได้สำเร็จจึงมีเพียงประการเดียว นั่นก็คือเขาออกเดินทางไปอย่างเร่งรีบ เร่งรีบเสียจนพวกบ่าวไม่อาจเตรียมตัวอย่างรอบคอบรัดกุมได้ทันการ
ทว่านี่เป็นเขตอิทธิพลของตระกูลเสิ่น ในขณะที่ว่าที่ประมุขของตระกูลได้รับบาดเจ็บกำลังพักรักษาตัวอยู่ แล้วจะมีเรื่องใดนักหนาจึงกล้ามารบกวนเขาเพียงนี้?
เว่ยฉางอิ๋งไม่อาจไม่นึกถึงความเอาอกเอาใจของเสิ่นจั้งเฟิงครั้งที่ทั้งสองคนอยู่ที่เมืองหลวงขึ้นมา เช่นตอนที่เพิ่งแต่งงานใหม่เขามีรอยข่วนอยู่เต็มแผ่นหลัง เพื่อหน้าตาของตนกลับไม่ยอมทายาเพื่อมิให้คนได้กลิ่นยาแล้วมาหัวเราะเยาะเว่ยฉางอิ๋ง หลังจากนั้น ด้วยเหตุที่ภรรยามีอันต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงตั้งแต่ก่อนแต่งเข้าบ้าน เขาจึงให้สาวใช้หน้าตางดงามที่เคยปรนนิบัติตนมานานปีออกไปจากเรือน เพื่อมิให้สาวใช้หน้าตางดงามถือดีว่ามีความชอบและทำให้ภรรยาต้องลำบากใจ และยังมี…ระหว่างที่เดินทางไกลมาแต่งงาน เป็นเพราะเว่ยฉางอิ๋งชอบทัศนียภาพแห่งหนึ่งระหว่างทางเป็นอย่างยิ่ง หลังจากเสิ่นจั้งเฟิงรู้เข้าก็จงใจหาเหตุผลให้หยุดพักที่นั่นสองวันเพื่อให้นางได้ชื่นชมได้ตามใจ
สามีที่เคยเอาใจใส่เอาอกเอาใจนางดังนี้ หรือยามนี้จะไปเอาใจใส่เอาอกเอาใจผู้อื่นอีกคนแล้ว?
เว่ยฉางอิ๋งอดกำมือหมัดแน่นไม่ได้ จิตใจล่องลอยไปน้อยๆ
เสิ่นจั้งเฟิงอธิบายไปเบาๆ ว่า “ที่นั่นมีคนสำคัญมากอยู่ผู้หนึ่ง ต้องให้ข้าไปด้วยตนเองสักหน”
“…ผู้ใด?” เมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำนี้ สีเลือดบนใบหน้าก็อดจะหดหายไปจนหมดไม่ได้ พลันเอ่ยถามเสียงหนัก
เสิ่นจั้งเฟิงพลันสะดุ้งเมื่อเห็นนางเป็นดังนี้ จากนั้นก็คิดบางสิ่งออก สบตานางแล้วค่อยๆ มีสีหน้าเย้าหยอก เอ่ยเสียงอ่อนโยนไปว่า “จะว่าไปฉางอิ๋งเจ้ามาครานี้เหมาะเจาะพอดี ข้ากำลังจะแนะนำคนผู้นี้ให้เจ้ารู้จัก …ไม่คิดจริงๆ ว่าในดินแดนรกร้างเช่นซีเหลียงนี้ ในบ้านโกโรโกโสกลับมีเพชรน้ำหนึ่งซ่อนตัวอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเพียบพร้อมทั้งหน้าตาและความสามารถเป็นพิเศษเสียด้วย….”
เว่ยฉางอิ๋งหรี่ตาลง ยิ้มน้อยๆ พลางว่า “เพชรน้ำหนึ่ง? ครั้งข้าอยู่ในเมืองหลวงก็เคยเห็นเพชรน้ำหนึ่งมามากมายนักแล้ว คาดว่าท่านพี่เองก็คงไม่ได้เห็นมาน้อยกว่าข้า เพชรน้ำหนึ่งผู้นี้ถึงกับทำให้ท่านพี่ต้องเอ่ยชมเพียงนี้ เกรงว่าต้องล้ำเลิศกว่าบรรดาคนในเมืองหลวงเหล่านั้นกระมัง? แต่กลับไม่รู้ว่าท่านพี่ไปหาพบจากที่ใด?”
“ว่าไปเรื่องยาว” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยด้วยใบหน้าชื่นชมยินดี “สามเดือนก่อน ถูหลี่ว์แม่ทัพใหญ่ของมู่ซิวเอ่อร์ถือดีว่าตนชำนาญพื้นที่ นำทัพใหญ่เข้ามารุกรานในเวลาค่ำคืน บุกตีด่านเตี๋ยชุ่ยในทันใด ครั้งนั้นทั้งข้าและหยิวเจี่ยล้วนอยู่กันที่นี่ เมื่อได้ยินข่าวก็ตื่นตกใจกันใหญ่ …ยังนึกว่าทำได้เพียงต้องรวบรวมกำลังคนและม้าไปชิงเอาด่านเตี๋ยชุ่ยคืนมาเสียแล้ว ผู้ใดจะคิดว่า…”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสิ่นจั้งเฟิงก็จงใจหยุดคำพูด แล้วยิ้มน้อยๆ มองไปทางภรรยา
หากเดาตามหลักการทั่วไปแล้ว นับตั้งแต่รู้จักเพชรน้ำหนึ่งผู้นั้นแล้ว ก็คงเพราะเหตุนี้จึงทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงด่านเตี๋ยชุ่ยขึ้นมา … ทว่าเว่ยฉางอิ๋งกลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง นางจ้องเขาอยู่เป็นนาน เมื่อเห็นว่าเขาไม่พูดต่อไป จึงบอกว่า “ครานี้ คุณหนูตวนมู่แปดก็มากับข้าด้วย เพียงแต่นางเมารถหนักหนานัก เวลานี้เกรงว่าต้องรักษาตัวเองสักสองวันจึงค่อยอาการดีขึ้นมา บันทึกชีพจรและยาที่เจ้าใช้ในระยะนี้เป็นผู้ใดเก็บเอาไว้? ข้าจะเอาไปให้นางดูก่อนสักหน่อย”
จู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้นมาอย่างฉับพลัน เสิ่นจั้งเฟิงนิ่งเหม่อไปคราวหนึ่งจึงบอกว่า “ล้วนเก็บไว้ที่เสิ่นเตี๋ย”
เว่ยฉางอิ๋งได้ยินว่าเป็นเสิ่นเตี๋ยคอยดูแล มิใช่สาวใช้งามที่เรียกตนเองว่า ‘หร่วนอวี้’ ซึ่งอยู่ข้างนอกเป็นคนดูแล ก็ยิ่งคาดเดาในใจได้ค่อนข้างแน่ใจแล้ว จึงพูดอีกว่า “ตอนข้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นว่าคนที่ดูแลเจ้าอยู่ที่นี่ช่างไม่ได้ความเลยจริงๆ หลังจากเจ้าหลับไป เสิ่นหยิวเจี่ยยังคงนั่งดื่มสุราอยู่ที่นี่ไม่ยอมไปก็ยังแล้วไป บ่าวที่ดูแลเจ้าอยู่ข้างนอกก็ไม่รู้จักบอกให้ออกไป ดูท่าว่าโง่เสียยิ่งนัก คนชนิดนี้ไยจึงยังใช้งานอยู่อีก?”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “เจ้าหมายถึงสาวใช้ที่สวมชุดสีฉูดฉาดข้างนอกนั่นหรือ? หลังจากข้าได้สติขึ้นมาจากการถูกลอบทำร้ายก็เห็นนางแล้ว คิดว่าคงเป็นบางคนที่มีประสงค์อื่นใด เดิมทีคิดอยากให้เสิ่นเตี๋ยไปเปลี่ยนเอาคนสองคนมา ภายหลังได้รับข่าวว่าเจ้าจะมา จึงคิดว่านี่คงเป็นคนที่เตรียมไว้เพิ่มบารมีให้แก่เจ้า ยามเจ้าออกไปก็ให้นางไปเสียดีกว่า”
“เป็นผู้ใดจัดการเรื่องนี้?!” เว่ยฉางอิ๋งได้ยินคำก็รู้สึกเกินคาดนัก …เมื่อรู้ว่ามิใช่สามีมีใจเป็นอื่น นางย่อมเบิกบานยินดี ทว่าฟังจากน้ำเสียงของเสิ่นจั้งเฟิงว่าเขาไม่ได้คิดนอกใจแต่กลับมีคนส่งเสริมให้เขารับอนุ! เว่ยฉางอิ๋งย่อมบันดาลโทสะยกใหญ่!
เสิ่นจั้งเฟิงถอนใจอย่างบางเบาคราวหนึ่ง คร่ำครวญว่า “เจ้าดูสิ ตอนนี้สามีอยู่ในสภาพนี้ หรือจะมีเรี่ยวแรงไปสืบหา? อิ๋งเอ๋อร์คนดี ยามนี้สามีอ่อนล้านัก เมื่อเห็นเจ้ามาก็สามารถวางใจได้แล้ว ทั้งคนและเรื่องราวสับสนวุ่นวายเหล่านี้ล้วนมอบให้เจ้าแล้ว” พูดไปเขาก็หลับตาลง
ในเมื่ออธิบายเรื่องเข้าใจผิดจนกระจ่างแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็ทั้งนึกไม่ถึงทั้งสงสาร รีบสอดชายผ้าห่มเข้าไปใต้ตัวเขา กล่าวว่า “เจ้าพักฟื้นอย่างวางใจเถิด ข้าต้องจัดการคนในจวนนี้ทั้งหมดให้เจ้าเอง จะไม่ให้เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้มารบกวนเจ้าแน่นอน” น้ำเสียงของนางอ่อนโยน แต่ในดวงตากลับมีความดุร้าย เพื่ออนาคต ตนเองต้องละทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขที่อายุไม่ทันครบปี เดินทางข้ามน้ำข้ามเขามาเยี่ยมสามี ผู้ใดจะคิดว่าพอได้พบหน้าก็แทบโมโหจนกระหืดกระหอบ! จนทำให้สามีที่ไม่ได้พบหน้ามานานยังไม่ทันได้เอ่ยถึงความคิดถึงหลังจากกันก็เกือบจะเกิดความเข้าใจผิดกันเสียแล้ว!
เดิมทียังนึกว่าเสิ่นจั้งเฟิงโดดเดียวลำพังอยู่ในซีเหลียง จึงรับสาวใช้งามไว้คลายเหงาระหว่างทำศึก …ไม่คิดว่ากลับเป็นผู้อื่นพยายามยัดเยียดเข้ามาข้างกายเขา! ทั้งยังฉวยโอกาสตอนเขาเจ็บหนัก ด้วยหวังให้สาวใช้ที่ชื่อว่าหร่วนอวี้ผู้นั้นเข้ามาปรนนิบัติเช็ดเนื้อล้างตัวข้างกาย ฉวยโอกาสทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกเสียเลย และทำให้เสิ่นจั้งเฟิงต้องรับนางเอาไว้เช่นนั้นรึ?
———————————