ดีที่ตนมาทันเวลา!
มองดูเสิ่นจั้งเฟิงในสภาพนี้ วันนี้ก็ยังลุกไม่ขึ้น คิดว่าสองสามวันมานี้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ หรือสาวใช้ผู้นี้มีเจตนาเองก็ล้วนไม่มีทางทำสำเร็จได้ แต่หากตนเองมาช้าไปสองสามวัน เมื่อร่างกายของเสิ่นจั้งเฟิงดีขึ้นแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น? ต่อให้เสิ่นจั้งเฟิงไม่ได้สนใจ แต่หากสาวใช้นั่นหน้าด้านหน้าทนเข้าหาเขา สามีก็ยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่นเลือดลมพลุ่งพล่าน …เว่ยฉางอิ๋งก็ไม่กล้าคิดต่อไปเลยจริงๆ!
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าสาวใช้ที่ชื่อว่าหร่วนอวี้ผู้นี้รู้ทั้งรู้ว่าร่างกายของเสิ่นจั้งเฟิงยังไม่แข็งแรงดี แต่กลับปล่อยให้เสิ่นหยิวเจี่ยมาดื่มสุราอยู่ลำพังในห้องต่อหน้าเตียงคนเจ็บ… ก็เห็นชัดแล้วว่าทั้งหัวสมองของนังเด็กคนนี้คิดอยากปีนขึ้นเตียงของนายผู้ชายมากมายเพียงใด เอาแต่คิดว่าจะแต่งตัวและยั่วยวนเช่นใด จะตั้งใจปรนนิบัติดูแลอย่างละเอียดถี่ถ้วนแม้แต่น้อยที่ใดกัน? เมื่อคิดว่าสามีต้องบาดเจ็บสองคราติดต่อกัน เกือบเอาชีวิตไม่รอด กว่าจะช่วยชีวิตเขาไว้ได้ คนที่ดูแลอยู่ที่นี่กลับส่งพวกที่เอาแต่แต่งตัวแต่งหน้าไร้สมองมาปรนนิบัติเขา …แล้วก็ไม่รู้จักกลัวบ้างว่าเสิ่นจั้งเฟิงอาจเกิดเรื่องเพราะไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมถูกต้อง หากถูกเสิ่นเซวียนไล่เรียงสืบสวนเรื่องนี้ออกมาได้ ลำพังแค่ชีวิตคนทั้งครอบครัวของผู้คนเหล่านี้จะชดใช้ไหวหรือ?!
ไอ้เจ้าคนไร้สมองพวกนี้… เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ว่าจะด่าคนเหล่านี้ว่าอย่างไรจริงๆ!
ยามนี้นางมีความคับแค้นเป็นไฟสุมทรวงอยู่เต็มอก คิดว่าเมื่อออกไปแล้วจะต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง ข้าก็อยากจะดูนักว่าเป็นมันที่ผู้ใดที่ไม่รู้จักเรื่องเป็นเรื่องตายเช่นนี้ กล้าคิดมาลงมือกับสามีของนาง …ทั้งที่รู้ว่าวันนี้นางจะมาถึง แต่นอกจากยังเอาหร่วนอวี้ไปคอยรับใช้อยู่ข้างนอกแล้ว ดูจากท่าทีของสาวใช้ผู้นั้นก่อนหน้านี้ก็เห็นชัดว่านางไม่ได้เห็นเว่ยฉางอิ๋งซึ่งเป็นฮูหยินน้อยสามอยู่ในสายตาเลย!
เมื่อคิดถึงคำที่แม่สามีเอ่ยบอกตนอย่างอ้อมๆ มาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเรื่องของ เสิ่นเซวียนพี่น้อง ที่ปีนั้นเพราะบิดามารดาเสียไปเร็ว จึงต้องต่อสู้และเกิดความบาดหมายกับคนในตระกูล …ทันใดนั้นเว่ยฉางอิ๋งพลันมีรัศมีการฆ่าปรากฏขึ้นมาในใจ
เสิ่นจั้งเฟิงหลับตาพลางส่งเสียงอื่มมาคำหนึ่ง เสียงทั้งบางทั้งเบา แต่กลับดึงความสนใจของเว่ยฉางอิ๋งที่ตอนนี้กำลังใจลอยกลับมาได้ พลางเอื้อมมือไปเสยผมเขาอย่างอดไม่ไหวเป็นหนักหนา ด้วยก่อนนี้เสียเลือดไปมากเกินไป ตอนนี้สีหน้าของเสิ่นจั้งเฟิงซีดขาวจนผิดปกติ จึงขับให้คิ้วที่ดำสนิทนั้นยิ่งงดงามหล่อเหลายิ่งขึ้น
สามีที่แม้ว่ากำลังอยู่ระหว่างพักรักษาตัวก็ยังคงหล่อเหลาไม่เสื่อมคลาย เว่ยฉางอิ๋งยิ้มหยันอยู่ในใจว่า บุรุษที่ดีเช่นนี้ก็มิน่าเล่าจึงมีผู้คนมากมายหมายปอง …เพียงแต่หากปิดบังไม่ให้นางรู้ก็แล้วไป ในเมื่อยามนี้รู้แล้ว ถ้าไม่ตัดรากถอนโคน ก็สิ้นเปลืองคำสอนที่ท่านย่าแม่เฒ่าซ่งและท่านแม่ฮูหยินซ่งกำชับกับนางมาเป็นการส่วนตัว และสิ้นเปลืองท่านอาหวงที่ท่านย่าตั้งใจบ่มเพาะมานานปีเพื่อให้มาเป็นบ่าวติดตามของนางไปเปล่าแล้ว!
นางโน้มตัวลง จูบที่แก้มเสิ่นจั้งเฟิงหนแล้วหนเล่า กำลังจะเอ่ยคำ จู่ๆ เสิ่นจั้งเฟิงก็กลับลืมตาขึ้นมา แล้วหันมายิ้มให้นางพลางว่า “เอาล่ะ ไม่แหย่เจ้าแล้ว ‘เพชรน้ำหนึ่ง’ ที่ด่านเตี๋ยชุ่ยท่านนั้น หาได้เอ่ยถึงรูปโฉมของเขา หากแต่หมายถึงความรู้ของเขา การจู่โจมอย่างกะทันหันของถูหลี่ว์ก็เป็นคนผู้นั้นที่บัญชาการอยู่ที่ด่านเตี๋ยชุ่ยจึงได้ป้องกันด่านเอาไว้ได้ เพียงแต่ฟังจากปากคำของขุนนางที่ด่านเตี๋ยชุ่ยแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดคนผู้นี้จึงไม่ยอมรับราชการ และไม่ยอมไปทำงานกับผู้ใด ครานี้หากมิใช่เพราะเขาเกิดและเติบโตที่ด่านเตี๋ยชุ่ย จึงไม่ยอมให้บ้านเดิมของตนตกอยู่ในมือพวกตี๋ เขาก็จะไม่ยอมยื่นมือมาช่วย หลังจากข้าได้ยินเรื่องนี้จึงเกิดความคิดจะไปทาบทามเขามา เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจจึงไปหาด้วยตนเอง”
สาเหตุที่เว่ยฉางอิ๋งยังไม่ออกไปในทันทีก็เพราะหลังจากแก้ไขเรื่องเข้าใจผิดไปได้แล้ว จึงตัดใจแยกจากสามีไม่ได้ขึ้นมาชั่วขณะ ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงกลับนึกว่านางยังคงคิดถึงเรื่อง ‘เพชรน้ำหนึ่ง’ ที่เอ่ยถึงก่อนหน้านี้อยู่ แต่ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ครานี้จึงยื่นนิ้วไปแตะที่แก้มเขา ยิ้มพลางว่า “เจ้าจะแหย่ข้าสำเร็จรึ? ครั้งอยู่ที่เมืองหลวง เจ้าก็ชอบทำเช่นนี้ นึกว่าข้าจะตกหลุมพรางทุกครั้งไปสิท่า?” แล้วเอ็ดเขาว่า “หากเจ้าอยากจะดึงตัวเขามา ก็น่าจะรอให้อาการบาดเจ็บดีขึ้นสักหน่อยค่อยไปสิ! ที่นี่คือซีเหลียงนะ ยังจะมีผู้ใดมาแย่งเจ้าอีก? อีกประการ ก่อนนี้ก็ไม่มีคนที่ดึงตัวเขาไปได้นี่?”
เสิ่นจั้งเฟิงหัวเราะเยาะตนเองคราวหนึ่ง กล่าวว่า “ก็เพราะได้ยินมาว่าไม่มีคนดึงตัวเขามาได้สำเร็จ ข้าจึงคิดว่าจะไปทั้งยังบาดเจ็บอยู่ยิ่งจะทำให้ใจอ่อนได้ แต่ปรากฏว่าระหว่างทางกลับถูกลอบทำร้าย จนบัดนี้ก็ยังไม่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นดังเสียงร่ำลือจริงหรือไม่”
“เจ้านี่!” เว่ยฉางอิ๋งไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “เจ้ายังไม่ทันรู้เลยว่าเขาเป็นดังคำร่ำลือจริงหรือไม่ก็ไปหาทั้งยังบาดเจ็บอยู่รึ?”
“นั่นหาเป็นสิ่งใดไม่ ดีชั่วครานั้นด่านเตี๋ยชุ่ยก็เพิ่งเผชิญไฟสงครามมา” เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “หากเขาเป็นดังเสียร่ำลือ เช่นนั้นข้าก็เดินทางไปเพื่อเขาโดยเฉพาะ แต่หากเขาไม่เป็นดังคำร่ำลือ เช่นนั้นข้าก็ไปตรวจดูความเสียหายที่ด่านเตี๋ยชุ่ย ที่นั่นก็มีคนตระกูลเสิ่นอยู่จำนวนมาก ข้าเป็นบุตรหลานในสายหลักไปสอบถามปลอบโยนสักหน่อยก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งกล่าวว่า “เฮ่อ ข้าก็ยังรู้สึกว่าเจ้าเสี่ยงเกินไป เรื่องเช่นนี้เจ้าอย่าได้ทำอีกเป็นหนที่สองเชียว” แล้วเอ่ยถามอย่างระแวงว่า “ในเมื่อพวกคนร้ายหลบอยู่ใต้สะพาน ย่อมรู้มาก่อนหน้าว่าเจ้าจะใช้เส้นทางใดและผ่านไปเวลาใด แน่ใจว่าคนร้ายมีเพียงพวกตี๋เท่านั้นหรือ?”
เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อิ๋งเอ๋อร์ฉลาดจริงๆ” แล้วเก็บรอยยิ้มไป กำชับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ไส้ศึกที่พวกตี๋ซื้อไปมีอยู่หลายคน ก่อนนี้ข้ากับหยิวเจี่ยก็กำจัดไปแล้วบางส่วน ทว่าครานี้เพิ่งจะพบว่ามีปลาที่หลุดจากแห่ไปได้! ในยามปกติ เมื่อเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ ก็ต้องระวังให้ดี อย่าให้พวกฉินเกอห่างจากตัวเจ้า”
“ข้าส่งพวกของฉินเกอไปดูแลรับใช้ท่านหมอเทวดาจี้แล้ว ยามนี้อยู่ที่เฟิ่งโจว” เว่ยฉางอิ๋งเม้มปากแล้วเอ่ยออกไป “ทว่าเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าก็หาใช่สตรีที่มือไม้บอบบางไม่ คนร้ายมาลอบทำร้าย ก็มิใช่ว่าข้าไม่เคยสังหารมาก่อน!”
“ใช่แล้ว” เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มออกมาอีกครั้ง “กลับลืมไปเสียได้ว่าภรรยาข้ามีฝีมือเก่งกาจ เป็นถึงบุคคลที่เด็ดหัวหัวหน้าพวกกองโจร ! กลับเก่งกาจสามารถกว่าข้านัก”
แต่ก็ยังเอ่ยเตือนไปว่า “ระวังไว้สักหน่อย หากไม่จำเป็นก็อย่าออกไปข้างนอก หากจะออกไปก็ต้องพาคนไปให้พร้อมสักหน่อย อีกประการ ไม่ว่าจะมีเรื่องใดต้องมีคนอยู่ใกล้ตัวเสมอ ต้องเตรียมระวังไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต่ำต้อยเพียงใด …ก็ต้องระวังให้มากเอาไว้ก่อน ห้ามวางใจเป็นอันขาด!”
“ข้ารู้แล้ว!” เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าคราวนี้เขาพูดเสียงเบากว่าเก่ามา จึงเอ็ดเขาไปประโยคหนึ่ง ชี้นิ้วไปแตะหว่างคิ้วเขา พลางเอ่ยเสียงอ่อนว่า “เจ้าพักผ่อนให้ดีเถิด เข้าจะออกไปจัดการเรื่องต่างๆ สักหน่อย ให้ท่านอาเฮ่ออยู่คอยดูที่นี่ ข้าพาพวกของจูเสียนมาด้วย ถวนเยวี่ย ซินเยวี่ยก็ด้วย ยามนี้ล้วนอยู่ข้างนอก”
เสิ่นจั้งเฟิงยิ้มน้อยๆ พลางว่า “ภรรยาข้ามาแล้ว เรื่องเหล่านี้ข้ายังต้องเป็นกังวลใดอีกเล่า?”
เว่ยฉางอิ๋งได้ฟังก็รู้สึกหวานจับใจนัก พลันเข้าไปจูบเขาอย่างอดไม่ได้…
______________________________