ภาคที่ 3 ตอนที่ 45 ฝนดาวตกที่ออกไปจากชิงซาน

มรรคาสู่สวรรค์

สายลมแผ่วเบาและหยาดฝนตกกระทบลงมาบนใบหน้าของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย

เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่คล้ายรู้สึกผิดปกติ ทราบว่าเข้าใกล้ลู่กั๋วกงมิทันแล้ว จึงบีบเครื่องรางที่อยู่ในแขนเสื้อจนแตก

ตู้ม! เสียงดังสนั่นหวั่นไหว!

พื้นดินสั่นสะเทือน ฝุ่นควันคละคลุ้ง เสียงกรีดร้องดังไม่หยุด

คนที่อยู่ค่อนข้างใกล้ถูกระเบิดจนกระเด็นไปกระแทกกับกำแพง

ฝุ่นควันจางหายไป เจ้าหน้าที่คนนั้นนั่งอยู่บนพื้น โลหิตท่วมร่าง พื้นหินที่อยู่ด้านล่างเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว

ในขณะเดียวกับที่เขาบีบเครื่องรางจนแตก ม่านพลังที่ไร้รูปลักษณ์สายหนึ่งได้ตกลงมาจากชายหลังคาของวัดไท่ฉาง ครอบเขาเอาไว้ด้านใน

ม่านพลังสายนั้นไม่รู้ว่าคือของวิเศษชิ้นใด มันสามารถปัดกั้นพลังทำลายจากการระเบิดของเครื่องรางเอาไว้ด้านในได้ทั้งหมด คลื่นอากาศและการทำลายล้างทั้งหมดจึงไปตกอยู่ที่ตัวเจ้าหน้าที่ผู้นั้น!

ลมพัดขึ้นมาอีกครั้ง บนร่างกายของเจ้าหน้าที่คนนั้นมีรอยนิ้วจำนวนมากปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันบนข้อมือก็มีโซ่เหล็กเส้นหนึ่ง นั่นคือกุญแจพลังวิญญาณของกรมชิงเทียน

เจ้าหน้าที่คนนั้นไม่สามารถขัดขืนใดๆ ได้ เขามองดูลู่กั๋วกงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาตกตะลึงเป็นยิ่งนัก

เครื่องรางชิ้นนั้นคืออาวุธที่เขาใช้สำหรับลอบสังหารลู่กั๋วกง ใครจะรู้บ้างว่ากระทั่งม่านพลังอันหนึ่งก็ไม่สามารถระเบิดได้!

หรือนี่จะเป็นหยาดพิรุณโปรยปรายที่เล่าลือกัน?

เจ้าหน้าที่คนนั้นพลันคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา จากนั้นคิดขึ้นมาได้ว่าทางวัดไท่ฉางมีการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า หรือการลอบสังหารครั้งนี้จะถูกล่วงรู้แต่แรกแล้ว?

“เหตุใดพวกเจ้าจึงรู้ว่าข้าเป็นใคร!”

เขามองลู่กั๋วกงพลางถาม

ลู่กั๋วกงมิได้ตอบคำถามนี้ หากแต่กล่าวว่า “ข้านึกว่าพวกเจ้าจะหาโอกาสลงมือข้างนอก คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะเลือกลงมือที่วัดไท่ฉาง หรือพวกเจ้าไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีใครฆ่าข้าได้?”

เจ้าหน้าที่คนนั้นตกตะลึง ไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้

ลู่กั๋วกงกล่าวต่อว่า “เจ้าเป็นแค่มือสังหาร ย่อมไม่รู้ว่าเหตุใดปู้เหล่าหลินจึงต้องการสังหารข้า แต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ของปู้เหล่าหลินกับเผ่าหมิงอย่างแน่นอน เช่นนั้นในวันเวลาอันยาวนานหลังจากนี้ก็ทบทวนตัวเองอยู่ด้านล่างนั้นแล้วกัน”

เมื่อคิดถึงความมืดที่อยู่ด้านล่างวัดไท่ฉาง สีหน้าของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีด สายตาดูโกรธแค้นและสิ้นหวังเป็นอย่างมาก

เขาย่อมต้องการฆ่าตัวตาย เพียงแต่เรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่มีโอกาสให้เขาได้ฆ่าตัวตายเลย ในเวลานี้เขาได้สูญเสียความเป็นไปได้ทุกอย่างไปแล้ว

ลู่กั๋วกงมองดูนักฆ่าถูกลากตัวออกไป เขายื่นมือออกไปยกถ้วยชา กลับเจอแต่ความว่างเปล่า จึงยิ้มเยาะตัวเองแล้วกล่าวถามว่า “ยังมีอีกไหม?”

“ทางนี้ไม่มีแล้ว”

ชายรูปร่างอ้วนคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคน บนตัวสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่

ราชองครักษ์จินหมิงเฉิง

กลุ่มคนถอยออกไปเหมือนสายน้ำ วัดไท่ฉางกลับคืนอยู่ความสงบและระเบียบในทันที

ความวุ่นวายทั้งหมด ล้วนแต่เป็นสิ่งที่คนสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะก่อนหน้านี้ หรือว่าสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในเวลานี้แต่กลับถูกควบคุมเอาไว้ได้

จินหมิงเฉิงขมวดคิ้วกล่าวถามว่า “สังหารกั๋วกงเพื่อสร้างความวุ่นวาย ดูแล้วรู้สึกค่อนข้างแปลก อีกอย่างเหตุใดปู้เหล่าหลินถึงต้องสร้างความวุ่นวายขึ้นที่นี่ด้วย?”

ลู่กั๋วกงกล่าว “ถ้าฆ่าข้า พวกมันถึงจะได้กุญแจบนตัวข้า ขณะเดียวกันก็จะได้สร้างความวุ่นวายด้วย มีแต่ได้กับได้ เหตุใดจะไม่ทำเล่า?”

จินหมิงเฉิงสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวว่า “ดูเหมือนเป้าหมายของพวกมันจะเป็นคุกสะกดมารจริงๆ ด้วย”

ลู่กั๋วกงกล่าว “การจะล่วงรู้ว่าคุกสะกดมารอยู่ด้านล่างวัดไท่ฉางนั้นมิใช่เรื่องยาก คนที่รู้ว่ากุญแจอยู่ที่ข้านั้นมีไม่มาก และการที่มั่นใจว่าถ้าได้กุญแจไปก็จะบรรลุเป้าหมาย แสดงว่าคนผู้นี้รู้จักคุกสะกดมารดีทีเดียว”

จินหมิงเฉิงกล่าว “แต่ระดับชั้นของคนผู้นั้นน่าจะไม่สูง”

ลู่กั๋วกงกล่าว “ใช่”

“เพราะเขาไม่รู้ว่าที่นี่ไม่มีใครฆ่าท่านได้”

จินหมิงเฉิงกล่าวคำพูดของลู่กั๋วกงก่อนหน้านี้ซ้ำอีกครั้ง

ลู่กั๋วกงยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าว “สิ่งสำคัญคือปู้เหล่าหลินจะเข้าไปในคุกสะกดมารทำอะไร นี่เป็นสิ่งที่พวกท่านต้องสืบ”

จินหมิงเฉิงกล่าวว่า “ที่ต่างๆ เริ่มลงมือแล้ว ภายในวันนี้เรื่องนี้จะสิ้นสุดลง แต่ข้าไม่คิดว่าจะสามารถสืบไปถึงขั้นนั้นได้”

เขานั่งลงข้างกั๋วกง มิได้กล่าวกระไรอีก

ฝนในฤดูใบไม้ผลิยังคงตกลงมาในสวน

วัดไท่ฉางเงียบสงบ

ผ่านไปไม่นานก็มีเสียงทยอยดังขึ้นมาในสายฝน นั่นคือชื่อแซ่ของเป้าหมายที่เพิ่งจะถูกจับได้

วันนี้หลายที่ภายในเมืองเจาเกอมีการจับคน กรมชิงเทียนและกองทัพเสินเว่ยล้วนแต่ลงมือเต็มกำลัง

สิ่งที่ไม่มีใครรู้ก็คือ เมื่อคืนมีผู้อาวุโสขั้นแปรจิตคนหนึ่งของสำนักจงโจวได้เข้าไปนั่งอยู่ในคุกของกรมชิงเทียน

เมื่อได้ยินชื่อเหล่านั้น สีหน้าของกั๋วกงและจินหมิงเฉิงล้วนแต่ไม่เปลี่ยนแปลง มีแต่ตอนที่ชื่อสองชื่อปรากฏขึ้นมา พวกเขาจึงสบตากัน

ชื่อแรกคือหลิวเซียง ศิษย์รุ่นที่สองของสำนักคุนหลุน เป็นผู้บังคับการของกรมชิงเทียน

คนที่สองชื่อหยางฉางอวี่ เป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่างของวัดไท่ฉาง

ฝนยังคงตกโปรยปราย แต่เสียงที่อยู่ด้านนอกเงียบหายไปนานแล้ว น่าจะจับเสร็จแล้ว

จินหมิงเฉิงลุกขึ้น ส่ายศีรษะอย่างผิดหวังพลางกล่าวว่า “ล้วนแต่เป็นพวกแมลง”

ลู่กั๋วกงกล่าว “แมลงพอเยอะเข้า กัดกินเสาคาน ตำหนักก็พังถล่มลงมาได้”

จินหมิงเฉิงกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยแน่”

ลู่กั๋วกง “คนสำคัญย่อมไม่มีทางลงมือง่ายๆ”

จินหมิงเฉิงกล่าว “สิ่งที่ฝ่าบาททรงไม่เข้าใจก็คือจุดนี้ เหตุใดผ่านมาหลายปีแล้ว แต่กระบี่พรหมจรรย์ยังอยู่ที่เดิม ไม่เคยขยับไปไหน”

ลู่กั๋วกงมิได้กล่าวกระไร

คืนนั้นเขาเป็นคนพาเจ้าล่าเยวี่ยและกู้ชิงเข้าไปในวัง ย่อมต้องทราบเรื่องนี้ แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ เหตุใดฝ่าบาทถึงต้องส่งกระบี่พรหมจรรย์ออกไปด้วย

……

……

บนยอดเขาเสินม่อ

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าเคยบอกแล้ว ฝ่าบาททรงฉวยโอกาสตามน้ำ หากทางทะเลตะวันตกเป็นผู้สืบทอดของตาแก่ที่อยู่ในทะเลทางใต้จริงๆ เขาจะต้องเอากระบี่พรหมจรรย์กลับมาแน่ แรงกดดันก็จะตกมาที่ชิงซานผ่านทางเจ้า ต่อให้ชิงซานอยากจะอดทนต่อทะเลตะวันตกไปอีกสักหลายปี ถึงตอนนั้นก็คงได้แต่ต้องเปิดศึกก่อนเท่านั้น”

เจ้าล่าเยวี่ยรู้สึกคาดไม่ถึง กล่าวว่า “ข้านึกว่าความสัมพันธ์ของฝ่าบาทและสำนักชิงซานนั้นไม่เลวเสียอีก คิดไม่ถึงว่าพระองค์ทรงใช้ประโยชน์จากพวกเรา”

จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หากข้าอยู่ พระองค์จะต้องมองชิงซานอีกแบบหนึ่งแน่ แต่ในตอนนั้นข้าอยู่ในที่ราบหิมะ พระองค์น่าจะไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “แต่ไม่มีใครคิดถึงว่าข้าจะเอากระบี่ให้สือซุ่ย”

จิ๋งจิ่วรับเอาชาที่กู้ชิงส่งมาให้ พลางกล่าวว่า “การทำอะไรไปโดยไม่คิดทำให้หลายๆ คนต่างไม่เข้าใจ โชคของเจ้าถือว่าดีอย่างมาก”

เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าควรกังวลในเวลานี้คือโชคของเขาจะเป็นอย่างไร”

กู้ชิงกับหยวนฉวี่ฟังอยู่ด้านข้าง รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงหลิ่วสือซุ่ย

จิ๋งจิ่วกล่าว “แค่การเล่นพ่อแม่ลูก กลับทำเอาทั้งแผ่นดินสั่นสะเทือน โชคของเขาไม่รู้เป็นอย่างไร แต่ท่าทีเขาดูไม่เลวเลยทีเดียว”

เจ้าล่าเยวี่ยและอีกสองคนฟังออกว่าอารมณ์ของเขามิสู้ดีเท่าไร การกล่าวชมเชยประโยคนี้คล้ายเป็นการเยาะเย้ย ไม่สิ ควรจะบอกว่ากำลังโมโหมากกว่า

ด้วยนิสัยของหลิ่วสือซุ่ย เขาไม่มีทางหนีออกมาจากปู้เหล่าหลินก่อนล่วงหน้าแน่

หลังจากวันนี้แล้ว เขายังจะหนีออกมาทันหรือเปล่า?

“ดูทิวทัศน์กันเถอะ”

จิ๋งจิ่วดื่มชาพลางกล่าว

ผ่านไปอีกหลายวัน ศิษย์ยอดเขาเสินม่อคุยเล่นกันอีกครั้ง กู้ชิงยังคงต้มชา เป็นเพราะมีทิวทัศน์ที่น่าดู

ในหมู่ยอดเขาเขียวขจี พลันมีกระบี่บินนับหลายร้อยเล่มปรากฏขึ้น

ลำแสงกระบี่หลายร้อยสายบินออกไปทางทะเลตะวันตกอันห่างไกล คล้ายฝนดาวตกก็มิปาน

งามยิ่งนัก

………………………….