กระบี่ค่อยๆ บินห่างออกไปในท้องฟ้า ก่อนจะหายลับจนมองไม่เห็น
“พวกเราไม่ไปจริงๆ หรือ?”
เจ้าล่าเยวี่ยมองจิ๋งจิ่วพลางถาม
จิ๋งจิ่วมิได้ตอบคำถามนี้ หากแต่ลุกขึ้นเดินกลับเข้าไปในถ้ำ
เจ้าล่าเยวี่ย กู้ชิง หยวนฉวี่ต่างสบตากัน ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
สถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจน หลิ่วสือซุ่ยน่าจะตกอยู่ในช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด เผลอๆ อาจจะตายได้ทุกเมื่อ แต่เขาก็ยังไม่ไปดู?
……
……
สำนักคุนหลุนลงมือแล้ว ในเมืองเจาเกอลงมือแล้ว ต้าเจ๋อ จิ้งจง สำนักฌานเป่าทง สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย วัดกั่วเฉิงล้วนแต่ลงมือ การเคลื่อนไหวของทางอู๋เอินเหมินน่ามีมากกว่าสำนักอื่น เวลานี้ยังไม่ไปสนใจยอดฝีมือของพรรคมารเหล่านั้น นับแต่วันนี้ไปสายลับและแหล่งข่าวปู้เหล่าหลินที่แอบส่งเข้าไปอยู่ในสำนักฝ่ายธรรมะและราชสำนักจะถูกจับกุมจนหมด
หลิ่วสือซุ่ยเดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนภายในเมืองไห่โจว ครุ่นคิดถึงข่าวที่เพิ่งจะได้รับการยืนยันเมื่อครู่ จึงรู้ว่าตนเองจำเป็นต้องหนีแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังจะหนีไปได้อย่างนั้นหรือ?
เขาเดินเข้าไปในเหลาสุรา เข้าไปยังห้องส่วนตัวที่คุ้นเคย เสี่ยวเหอเตรียมอาหารไว้พร้อม เขากล่าวขอบคุณพลางนั่งลงฝั่งตรงข้าม จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาเริ่มกินข้าว
ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน เขาไม่ค่อยพูดจา เสี่ยวเหอเองก็นั่งเงียบ เพียงแต่วันนี้ด้านนอกประตูมีเสียงผีผา ดูค่อนข้างแปลก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงผีผาหยุดลง เสี่ยวเหอก้มหน้าพลางกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “เมื่อครู่ได้รับแจ้งมา วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย”
มือที่ถือกาน้ำชาของหลิ่วสือซุ่ยหยุดชะงัก ในใจครุ่นคิด หรือเสียงผีผาก่อนหน้านี้คือการส่งข่าว?
เสี่ยวเหอเงยหน้าขึ้นมามองเขาพลางกล่าว “ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดเจ้ายังไม่หนีไป”
หลิ่วสือซุ่ยยกกาน้ำชาขึ้นมา ก่อนจะเทลงไปในถ้วยชาของนาง กล่าวว่า “ดูเหมือนเจ้าจะรู้เรื่องเยอะทีเดียว ความจริงข้าเองก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนที่พวกเขาส่งมาจับตาดูข้า”
เสี่ยวเหอกล่าว “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นสายที่สำนักชิงซานส่งเข้ามา”
หลิ่วสือซุ่ยนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวถามว่า “รู้มานานเท่าไรแล้ว?”
เสี่ยวเหอกล่าว “นานแล้ว ตอนที่เจอกันครั้งแรกก็รู้แล้ว”
หลิ่วสือซุ่ยมองนางเงียบๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “ดื่มชา”
เสี่ยวเหอยกถ้วยชาขึ้นมา จากนั้นจิบไปคำหนึ่ง
หลิ่วสือซุ่ยยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด
เสี่ยวเหอยกกาน้ำชาขึ้นมา รินชาลงไปในถ้วยของเขาจนเต็มอีกครั้ง
เสียงผีผาหายไป เสียงผู้คนด้านนอกถนนฟังดูวุ่นวาย แต่ภายในเหลาสุรากลับเงียบสงบ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร หลิ่วสือซุ่ยลุกขึ้นยืน เตรียมจากไป
เสี่ยวเหอเงยหน้าขึ้นมองเขา พลางกล่าวว่า “ในเมื่อเตรียมจากไป เหตุใดจึงไม่ฆ่าข้าปิดปาก?”
หลิ่วสือซุ่ยกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าทำเรื่องอะไรมา แต่วันนี้มีคนตายมากมาย เหตุใดต้องเพิ่มเจ้าไปอีกคนหนึ่ง”
ที่นี่คือเมืองไห่โจว
ปู้เหล่าหลินอยู่ในลานเมฆด้านนอกเมือง
ต่อให้สำนักกระบี่ซีไห่ไม่ออกหน้า เขาก็ยากจะหนีออกไปได้
แต่เขาดูเงียบสงบเป็นอย่างมาก บนใบหน้าไม่เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวใดๆ แล้วก็ไม่มีความสิ้นหวังด้วย
“เจ้าเตรียมตัวตายแล้ว?” เสี่ยวเหอมองเขาพลางถาม
หลิ่วสือซุ่ยพยักหน้า
เสี่ยวเหอกล่าวว่า “แบบนั้นไม่ได้”
หลิ่วสือซุ่ยไม่เข้าใจความหมายของนาง
“เมื่อสิบปีก่อนที่นี่คือโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ภายหลังถูกข้าซื้อมาเปลี่ยนเป็นเหลาสุรา”
คำพูดของเสี่ยวเหอยังไม่ทันพูดจบ
เหลาสุราที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาจากโรงเตี๊ยมแห่งนี้พลันพังถล่ม กำแพงด้านนอกแตกเป็นเสี่ยงๆ
เสียงผู้คนบนถนนหายไปจนหมด
ฝุ่นควันคละคลุ้ง แต่ไม่อาจบดบังสายตาได้ รอบๆ เศษซากของเหลาสุราไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว
สถานการณ์อันตรายเป็นยิ่งนัก
บนฝั่งตะวันตกของถนนมีคนชุดดำที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำปรากฏตัวขึ้นมาคนหนึ่ง หมวกเหวยเม่าที่บดบังใบหน้าเขาเอาไว้ถูกดันขึ้นไป คล้ายด้านในมีเขาอยู่สองเขา สองมือสวมถุงมือเอาไว้ บนถุงมือมีเพชรประดับประดาเอาไว้ ดูคล้ายหมู่ดาว
บนฝั่งตะวันออกของถนนมีชายวัยกลางคนรูปร่างผอมแห้งปรากฏตัวขึ้นมาผู้หนึ่ง เสื้อผ้าดูธรรมดา แผ่กระจายกลิ่นอายที่เย็นยะเยือกและแห้งแล้ง คล้ายสายลมที่อยู่ในทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ในมืออุ้มขวดสีน้ำตาลอ่อนเอาไว้ใบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำขึ้นจากหยกหรือกระเบื้อง
หลิ่วสือซุ่ยรู้จักยอดฝีมือของพรรคมารสองคนนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาเคยอ่านบันทึกของยอดฝีมือพรรคมารสองคนนี้ที่อยู่ในม้วนเอกสารมาแล้วมากมาย
คนชุดดำรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมใส่ถุงมือ บนหัวมีเขาประหลาดคนนั้นชื่อถูชิว เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ฝึกฝนร่างกายจนแข็งแกร่ง มีพละกำลังมหาศาลจนยากจะจินตนาการได้ ต่อยหมัดหนึ่งสามารถทลายภูเขา ชายวัยกลางคนที่อุ้มขวดประหลาดเอาไว้คืออวี้ปู้ฮวน เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่ฝึกฝนทางด้านจิต ขวดที่เขาอุ้มอยู่ใบนั้นมีชื่อว่าขวดรกร้าง สามารถดูดของเหลวต่างๆ ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ รวมไปถึงเลือดด้วย
ยอดฝีมือพรรคมารทั้งสองคนนี้เป็นยอดฝีมือที่อยู่ในละแวกใกล้เคียงเมืองไห่โจวที่ปู้เหล่าหลินสามารถเรียกตัวมาได้ทุกเมื่อ สภาวะของพวกเขาล้วนแต่เหนือกว่าหลิ่วสือซุ่ย
หลิ่วสือซุ่ยไม่มีความหวาดกลัว ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย
คนที่มาคือยอดฝีมือพรรคมาร เหล่ายอดฝีมือของสำนักกระบี่ซีไห่มิได้ออกหน้า นี่แสดงให้เห็นว่าปู้เหล่าหลินหวังว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ในความมืดต่อไปได้ เช่นนั้นเขาก็ยังมีโอกาสอยู่
ทันใดนั้นมีเสียงกู่เจิงดังขึ้น ติงตังๆ ฟังดูน่ารำคาญ หลิ่วสือซุ่ยสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
ตึกที่อยู่รอบๆ พังถล่ม สาวน้อยสวมกระโปรงสั้น ทั่วทั้งตัวมีกระดิ่งเงินห้อยอยู่คนหนึ่งขี่ช้างตัวสีแดงมาตรงด้านหน้าเหลาสุรา
กระดิ่งเงินที่แขวนอยู่ทั่วทั้งตัวของนางสั่นไหวไม่หยุด แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ออกมา เพราะกู่เจิงที่ทำจากหยกเขียวที่อยู่ในอ้อมอกของนางส่งเสียงดังกังวาน
หนานเจิง เป็นผู้บำเพ็ญพรตเร่ร่อนที่อยู่ในหมู่เขาทางใต้ ดูเหมือนเป็นสาวน้อยน่ารักคนหนึ่ง แต่ความจริงนางมีอายุสองร้อยกว่าปีแล้ว สภาวะลึกล้ำ ฝีมือแข็งแกร่งโหดร้าย
หลิ่วสือซุ่ยรู้ว่าตัวเองมิอาจหนีรอดไปได้แล้ว
“นายท่านต้องการพบเจ้า”
หนานเจิงมองดูเขา พลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลิ่วสือซุ่ยทำการตอบสนอง
เขามิได้กล่าวอะไร หากแต่ปล่อยกระบี่ออกไป
กระบี่บินที่มีลำแสงสว่างเจิดจ้าเล่มหนึ่งพุ่งเข้าไปหาถูชิว
ขณะเดียวกัน กำปั้นที่มีเพลิงปีศาจลุกไหม้สิบกว่าหมัดก็พุ่งออกไป เป้าหมายยังคงเป็นถูชิว
เขารู้ดีว่าในบรรดายอดฝีมือพรรคมารสามคนนี้ สภาวะของอวี้ปู้ฮวนนั้นอ่อนแอที่สุด แต่ขวดรกร้างนั้นน่ากลัวเกินไป หนานเจิงก็มิใช่คนที่เขาจะท้าทายได้ในตอนนี้
เขาจึงได้แต่ต้องเลือกถูชิวเป็นทางออก
กระบี่บินเป็นวิชาที่เขาฝึกขึ้นมาใหม่หลังจากสังหารลั่วไหวหนาน อานุภาพยังไม่รุนแรงมากพอ แต่วิชาปีศาจโลหิตของเขาในตอนนี้ฝึกถึงขั้นห้าซึ่งเป็นขั้นสูงสุดแล้ว
เสียงกู่เจิงดังขึ้นมาอีกครั้ง กระบี่บินของเขาพลันหยุดค้างกลางอากาศ ราวกับถูกเชือกที่ไร้รูปลักษณ์พันธนาการเอาไว้ ไม่สามารถคืบต่อไปข้างหน้าได้
หมัดที่มีเพลิงปีศาจลุกไหม้สิบกว่าหมัดพุ่งไปถึงตรงหน้าถูชิว
ถูชิวส่งเสียงเฮ่อเบาๆ สองหมัดพุ่งออกไป
เพชรที่อยู่บนหมัดเปล่งประกาย กลายเป็นตราแสงที่มีขนาดประมาณห้องห้องหนึ่ง ขวางกั้นอยู่ด้านหน้าหมัดเพลิงปีศาจเหล่านั้น
ตู้ม! ตู้ม! เสียงกระแทกทึบๆ ดังต่อเนื่อง
ลมรุนแรงหวีดหวิว หมวกเหวยเม่าของถูชิวถูกพัดจนเป็นรูพรุน เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยขนแข็งๆ และเขาที่ดูอัปลักษณ์สองข้าง
ร่างกายของหลิ่วสือซุ่ยหมุนตัวหนีไปอย่างไม่ลังเล
เสียงกู่เจิงดังขึ้นอีกครั้ง
ถูชิวยกกำปั้นขึ้นมากันไว้ด้านหน้า อวี้ปู้ฮวนอุ้มขวดรกร้างถอยไปด้านหลังหลายก้าว
คลื่นที่ไร้รูปลักษณ์สายหนึ่งพุ่งกระจายออกไปรอบๆ โดยมีช้างสีแดงตัวนั้นเป็นศูนย์กลาง
ไม่มีลม แต่เศษซากที่อยู่บนพื้นกลับลอยขึ้นมา ก่อนจะพุ่งกระจายออกไปรอบด้านราวลูกธนู
หลิ่วสือซุ่ยคุกเข่าข้างหนึ่งลงไปบนเศษซาก กำปั้นที่ป้องกันอยู่ด้านหน้าร่างกายมีรอยปริแตกเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา เลือดหยดเล็กๆ ไหลออกมา
หนานเจิงนั่งอยู่บนหลังช้าง มองดูเขาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้ายังขัดขืนจะตายนะ”
อวี้ปู้ฮวนอุ้มขวดรกร้าง เล็งไปทางหลิ่วสือซุ่ยที่อยู่ในเศษซากของเหลาสุรา
หยดเลือดที่ไหลออกมาจากรอยแผลเล็กๆ เหล่านั้นพลันมีขนาดใหญ่ขึ้น จากนั้นหลุดรอยออกมาจากผิวหนัง ก่อนจะบินออกไปข้างหน้า เข้าไปในขวดรกร้าง
จากนั้นหยดเลือดเหล่านั้นก็กลายเป็นน้ำเลือด หลั่งไหลออกมาจากร่างกายของหลิ่วสือซุ่ย
น้ำสกปรกที่อยู่ในเศษซากเหลาสุราก็ลอยขึ้นมาจากพื้น ลอยออกไปข้างหน้า
หลิ่วสือซุ่ยรู้สึกเหมือนชีวิตของตนเองกำลังไหลออกไปพร้อมกับเลือดเหล่านั้น
ในขณะที่เขาเตรียมจะทำอะไรบางอย่าง เบื้องหน้าเขาพลันมืดลง
ใบบัวสีเขียวจำนวนหลายร้อยใบผุดขึ้นมาจากในเศษซาก ในนั้นมีดอกบัวสีชมพูอ่อนงอกออกมาด้วยอีกหลายดอก
ขอบของใบบัวสีเขียวกำลังแห้งเหี่ยวบิดม้วนด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
แต่พลังของขวดรกร้างได้ถูกใบบัวเหล่านี้ัขัดขวางเอาไว้ชั่วคราว
หนานเจิงเลิกคิ้ว นิ้วมือตวัดสายบนกู่เจิงเบาๆ
เสียงผัวะดังชัดเจน ดอกบัวฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ใบบัวขาดสะบั้นเป็นเสี่ยงๆ เผยให้เห็นเศษซากบนพื้นที่อยู่ด้านล่าง
ภายในเศษซากคล้ายมีปากทางเข้าอุโมงค์ใต้ดินอยู่แห่งหนึ่ง แต่มันได้ถูกเศษหินอุดปิดเอาไว้
หลิ่วสือซุ่ยหายไปแล้ว
…………………………