บทที่ 1243 – เพิ่มพลัง, ลานสวรรค์เร้นลับ, พระราชวัง, การพูดคุย
องค์หญิงใหญ่มองไปยังความรู้สึกจริงจังของชิงสุ่ยและยิ้มออกมา “ขอบใจสำหรับความหวังดีของเจ้า ถึงแม้ว่าข้ามีความคิดที่จะทำเช่นนี้ แต่มันคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี เมื่อเวลาผ่านไปจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย เหตุใดเราไม่ลองปล่อยไปตามนั้นล่ะ?”
ชิงสุ่ยไม่ได้พูดอะไรอีก เขายิ้ม “ข้าจะเชื่อฟังเจ้าก็แล้วกัน แต่ถึงยังไงข้าก็จะยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาทางเพิ่มพลังให้กับเจ้า ข้ามีความรู้เรื่องการใช้ยารวมถึงการฝังเข็มที่จะสามารถช่วยเจ้าได้อยู่บ้าง เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าคงจะมีพลังพอที่จะทำมัน และขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะต้องการมันหรือไม่”
“เอาล่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เจ้าอาจจะถูกมองว่าเป็นศัตรูกับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกพี่น้องในตระกูลฟู่จะต้องหาทางมาจัดการกับเจ้าอีกแน่ ถึงดูเหมือนว่าพวกเจ้าไม่ได้ผิดใจอะไรอีก แต่เรื่องทั้งหมดก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นเจ้าควรระวังตัวเอาไว้” ดูเหมือนว่าองค์หญิงใหญ่จะรู้จักตระกูลฟู่เป็นการส่วนตัว ถึงแม้ว่าฟู่เหยียนเทียนและน้องชายของเขาจะไม่ลงมือทำอะไรด้วยตัวเอง แต่พวกคนอื่นๆจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างเป็นแน่
ตระกูลฟู่ถือว่าเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ จะต้องมีพวกผู้อาวุโสและสมาพันธ์ผู้พิทักษ์และสมาชิกที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดอยู่แน่นอน ไม่เพียงแค่นั้นฟู่เหยียนเทียนยังเป็นความหวังที่จะกลายมาเป็นผู้นำของสถาบันสวรรค์เร้นลับในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นตระกูลฟู่ก็จะรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากมีศัตรูปรากฏออกมา พวกเขาต้องพยายามหาทางกำจัดทิ้งโดยไม่มีเงื่อนไข
จริงๆแล้วไม่ใช่แค่ตระกูลฟู่เท่านั้นที่มีความคิดทำนองนี้ กองกำลังอื่นๆก็มีความทะเยอทะยานแบบนี้เช่นเดียวกัน สถาบันสวรรค์เร้นลับก็เหมือนเนื้อชิ้นโตที่ใครๆก็อยากได้มาครอบครอง องค์หญิงใหญ่พยายามอธิบายสถานการณ์บางส่วนให้ชิงสุ่ยทราบ
“ข้าคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น และคงจะเป็นเรื่องดีหากว่าพวกมันไม่มายั่วยุข้า ถ้าพวกมันทำเช่นนั้น ข้าจะให้มันจ่ายตอบแทนด้วยราคาอย่างงาม” ในครั้งนี้เหมือนกับว่าชิงสุ่ยได้หน้าจากอาจารย์ใหญ่เฉาโดยที่ไม่ต้องตัดมือของฟู่เหยียนติงทิ้ง บางทีเหตุการณ์ในครั้งนี้อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
แม้ว่าเขาจะปล่อยฟู่เหยียนติงไปในวันนี้ แต่ก็ยังมีโอกาสอีกมากมายที่เขาจะได้ทำมันอีก ในเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาและฟู่เหยียนเทียนจะเป็นมิตรกันอย่างที่ชายชราในชุดคลุมสิงโตสีม่วงได้หยิบยื่นไว้ให้ สิ่งต่างๆดูเหมือนจะคลี่คลายลงไปแล้วตราบที่ทั้งสองฝ่ายทำตามที่ตกลงกันไว้ นอกจากนี้ชายชรารู้ดีว่ามีการชิงดีชิงเด่นกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งสองฝ่ายจะอยู่กันอย่างสันติสุข
พวกนิกายโลกานฤเบศและพวกผู้นำ โดยเฉพาะพวกตระกูลใหญ่ๆต้องการให้มีการนองเลือดเกิดขึ้น พวกเขาต้องการให้มีการต่อสู้อันโหดเหี้ยมและการฆ่าสังหารหมู่เพื่อที่จะได้ไต่เต้าไปยังตำแหน่งที่สูงขึ้น การที่จะได้มายังตำแหน่งอันสูงส่งใช่ว่าจะได้มาอย่างสันติสุข แต่สิ่งที่ต้องมีคือทำให้ผู้คนเชื่อฟังหรืออย่างน้อยต้องทำให้คนอื่นรู้สึกเกรงกลัว
สิ่งแรกที่ต้องทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั่นก็คือการมีอำนาจมากขึ้นกว่าคนอื่นๆ เพื่อไปให้ถึงจุดที่ไม่มีใครกล้าจะต่อกรด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องพวกนี้พูดได้ง่ายกว่าลงมือทำ ยังมีอัจฉริยะหลายคนบนโลกใบนี้รวมถึงนักรบทั้งหลาย พวกเขาไม่สามารถยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเองได้โดยปราศจากการทำศึกและการฆ่าล้างสังหาร
ดังนั้น เกือบทุกนิกายบนทวีปแห่งนี้จะต้องส่งพวกลูกศิษย์ออกไปเก็บเกียวประสบการณ์จากการต่อสู้กับสัตว์อสูรหรือแม้กระทั่งมนุษย์ด้วยกันเอง นี่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และอาจถึงขั้นให้คนในต่อสู้กันเองตราบที่ไม่เอากันถึงขั้นเป็นตาย
“ข้าเชื่อว่าในเร็วๆนี้ เจ้าจะแข็งแกร่งพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ในเมื่อเจ้าไม่มีความสนใจในพาไลหิมะหวน ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”องค์หญิงใหญ่ยิ้มในขณะที่กำลังวางส้อมเงินในมือลง
จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ ชิงสุ่ยแอบสังเกตุการทานอาหารของนาง นางดูสง่างามมากเวลาซดน้ำซุปหรือแม้กระทั่งทานอาหารทั่วไป นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของนางยังดูเป็นธรรมชาติจริงๆ ชิงสุ่ยมีความสุขมากๆในเวลานี้ ขณะที่กำลังทานอาหารนางหันมามองชิงสุ่ยบ้างในบางครั้ง อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ยังคงแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ในสายตาที่ชัดเจนของเขาไม่มีความชั่วร้ายอยู่เลย เขาแค่ตะลึงในความงามของนางเท่านั้น หรือในบางทีเขาอาจจะคิดเรื่องสกปรกในจิตใจแต่ปกปิดมันไว้ได้อย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น ริมฝีปากสีชมพูรวมถึงลิ้นนี่น่าดึงดูดของนางทำให้มองได้ไม่เบื่อเลย มันทำให้ชิงสุ่ยเองนั้นจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว อย่างไรก็ตามเขาไม่แสดงอาการอะไรออกมา
……
ตอนนี้เป็นเพียงเวลาบ่ายอ่อนๆเท่านั้น ชิงสุ่ยและชิงซาเพิ่งกลับมาถึงลานหน้าบ้านของตัวเอง เมื่อมาถึงพวกเขาสังเกตุเห็นว่ามีชายชรายืนอยู่คนหนึ่ง เขาไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากจะเป็นชายชราในชุดคลุมสิงโตสีม่วง ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยได้ยินมาจากองค์หญิงใหญ่มาแล้วว่าจะต้องมีคนตำแหน่งระดับสูงมาหาเขาด้วยตัวเอง แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มายังเป็นชายชราคนนี้เสียอีก
“ข้ามาที่นี่โดยปราศจากคำเชิญใดๆ หวังว่าจะไม่เป็นการรบกวน” ชายชราเผยให้เห็นรอยยิ้มเมื่อเจอชิงสุ่ย
“ข้ามีเวลาว่างอยู่เสมอ ถ้าหากท่านอาวุโสต้องการจะพบข้า ท่านเพียงส่งคนมาบอกข้าก็เพียงพอแล้ว”ชิงสุ่ยตอบไปด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่าชายคนนี้แข็งแกร่งมาก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าแข็งแกร่งเพียงใดแต่เขาก็เป็นที่นับหน้าถือตาในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้
“ทำไมเจ้าไม่ไปที่ลานสถาบันสวรรค์เร้นลับกับข้าล่ะ? มีบางอย่างที่ท่านผู้นำต้องการคุยกับเจ้า”ชายชราในชุดคลุมสีม่วงพูดอย่างตรงไปตรงมา
“เอาล่ะ เด็กน้อยเจ้าเข้าบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวพ่อจะกลับมา”
“ได้ค่ะ!”ชิงซาพยักหน้าพร้อมเดินกลับไปที่ลานบ้าน
“เด็กหญิงคนนั้นมีกลิ่นอายที่อันตรายมากๆติดตัวอยู่” หลังจากที่ชิงซาเดินเข้าไป ชายชราพูดมันออกมาเบาๆ
“ตอนนี้นางอางการดีขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยในตอนนี้นางก็ยังรักษาความสงบของตัวเองไว้ได้ ”
“นางยังไม่ได้เขาร่วมกับสถาบันสวรรค์เร้นลับใช่หรือไม่? ข้าสงสัยว่าเจ้าจะให้นางทำเช่นนั้น?”
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าสถาบันสวรรค์เร้นลับจะต้องตรวจสอบภูมิหลังของเขาเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกตกใจอะไร เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบว่า “ข้าก็ไม่แน่ใจเช่นกัน ข้าจะถามนางถึงเรื่องนี้อีกครั้งในภายหลัง นางมีบุคลิกที่แปลกมาก”
ทั้งสองพูดคุยกันในขณะที่กำลังเหาะไปยังลานของสถาบันสวรรค์เร้นลับโดยใช้นกกระเรียนยักษ์ของชายชรา
สถานที่ตั้งของลานสถาบันสวรรค์เร้นลับไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน มันตั้งอยู่ในจุดสูงสุดของรอบนอก รอบๆนั้นมีรูปแบบหมอกเก้าเทวาล้อมรอบอยู่ ถ้าหากมองมาจากภายนอกจะไม่เห็นสิ่งใดเลย แต่ทุกๆอย่างจากภายนอกสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากข้างในนี้
“ชิงสุ่ย เจ้าไม่ได้มาจากสี่มหาทวีปใช่หรือไม่?”
“ข้ามาจากห้า มหาทวีป” นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง ชิงสุ่ยเชื่อว่าพวกเขาต้องรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
“ห้ามหาทวีปเช่นนั้นหรือ ในอดีตถูกกล่าวกันว่าเก้ามหาทวีปเคยเป็นจุดเชื่อมสมดุลและเชื่อมต่อระหว่างที่ต่างๆ ใครจะไปคาดคิดว่าจะถูกแบ่งออกโดยใช้ภูเขาและมหาสมุทร?”ชายชรามองไปรอบๆพร้อมส่ายศีรษะ
“ผู้อาวุโส ข้าสงสัยว่ามีวิธีการเดินทางข้ามไปมาระหว่างห้ามหาทวีปและสี่มหาทวีปนอกเหนือจากต้องใช้รูปแบบผสานบรรพกาลอยู่หรือไม่?” ชิงสุ่ยเก็บคำถามนี้เอาไว้ในใจเสมอมา เขายังคงต้องการที่จะกลับไปพบกับครอบครัวของเขา ไม่เช่นนั้นก็ต้องใช้เวลาสิบปีเพือที่จะได้พบกันเพียงหนึ่งครั้ง
“ข่าวลือเล่าไว้ว่ามีวิธีอยู่ ผู้ที่บรรลุถึงระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจรวมถึงผู้ควบคุมระยะทางในตำนานบางคนสามารถข้ามไปมาได้ นอกเหนือจากนี้ยังมีวิธีอื่นๆอีกที่มหาทวีปมังกรอหังกาล มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ มหาทวีปอุดรเทวา ที่เรายังไม่รู้ถึงมัน” ชายชรามองไปยังชิงสุ่ย ชิงสุ่ยเป็นคนที่มาจากห้าทวีปดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชิงสุ่ยจะถามเช่นนี้
“อ้อใช่ ผู้อาวุโส ยังมีนิกายหรือราชวงศ์ใดๆในระดับห้าหรือไม่ในอีกสามมหาทวีปที่เหลือ?”เมื่อได้ยินเรื่องพวกนี้ ชิงสุ่ยรู้แล้วว่าเขาไม่ต้องรับฟังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถถามถึงเรื่องอื่นๆได้เช่นกัน
“ใช่แล้ว ยังมีอยู่ แม้ว่ามหาทวีอู่เซียตะวันตกจะเป็นหนึ่งในสี่มหาทวีป ความต่างของระดับพลังเมื่อเทียบกับอีกสามมหาทวีปก็ยังคงมีอยู่มาก และยิ่งห่างมากไปกว่านั้นเมื่อเทียบมหาทวีอู่เซียตะวันตกกับห้าทวีป ” ชายชราถอนหายใจแทนความรู้สึกที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
แม้ชิงสุ่ยจะคาดการณ์ไว้ว่าอีกสามมหาทวีปที่เหลือจะต้องมีระดับพลังที่แข็งแกร่งมากจากชื่อของพวกนั้น แต่ก็ใช่ว่าจะจริงเสมอไป เขาไม่รู้เช่นกันว่าเขาควรจะตื่นเต้นหรือจะหมดหวังดี อีกสามมหาทวีปที่เหลือต้องมีการดำรงอยู่ของพวกระดับปราณบรรชาสวรรค์พินาจเป็นแน่ พวกเขาเป็นพวกที่น่ากลัวที่สุดที่มีการดำรงอยู่หรือไม่นะ?
“ผู้อาวุโส จุดสูงสุดของผู้พิทักษ์เทวธรรมขั้นห้าอยู่ที่จุดใด?” ชิงสุ่ยรีบใช้โอกาสเพื่อถาม
“นี่อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่น่าจะอยู่ที่ยี่สิบล้านเมฆาหรือเรียกว่าสองร้อยสุริยา”
“เช่นนั้นแสดงว่าหนึ่งแสนเมฆามีค่าเท่ากับหนึ่งสุริยา ผู้พิทักษ์เทวธรรมขั้นห้าจะเริ่มที่ราวๆยี่สิบสุริยาและจุดสูงสุดจะอยู่ที่สองร้อยสุริยา ช่องว่างของพลังในระดับเดียวกันมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆเรื่อยๆ”ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ยิ่งระดับสูงช่องว่างจะยิ่งเพิ่มขึ้น ความจริงแล้วเมื่อมาอยู่ในจุดนี้ผู้คนก็จะแสดงออกเพียงว่าตนอยู่ในระดับผู้พิทักษ์เทวธรรมเท่านั้น แน่นอนว่ามันฟังดูกำกวม สุดท้ายแล้วก็ต้องประเมิณจากพลังของฝ่ายตรงข้ามเองอยู่ดี เป็นเพราะความแข็งแกร่งพวกนี้ถูกนิยามขึ้นมาเมื่อนานมาแล้ว และในหลายแห่งก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงต่างกันออกไป”
ในระหว่างที่พวกเขาได้พูดคุยกัน สุดท้ายก็เดินทางมาถึงลานของสถาบันสวรรค์เร้นลับ หลังจากที่ได้เดินทางผ่านรูปแบบหมอกเก้าเทวามาได้ ชิงสุ่ยตระหนักขึ้นมาทันทีว่าเขาสามารถเดินทางไปได้ทุกที่ด้วยทักษะย่างก้าวเก้าเทวา
“เจ้ากำลังคิดว่ารูปแบบพวกนี้มันธรรมดาเกินไปใช่หรือไม่?” มีเสียงอ่อนโยนและสง่างามดังขึ้นมา
ชิงสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับชายชราในชุดคลุมมังกรสีทองยืนอยู่ในจุดที่ไม่ห่างจากเขามากนัก ราวกับว่าจู่ๆชายชราคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างดื้อๆเลย อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน ชิงสุ่ยก็ยังไม่สามาถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายใดๆจากตัวชายชราคนนั้น
ชายชราคนนั้นดูสง่าและมีภูมิฐานเป็นอย่างมาก เขามีราศีราวกับเป็นกษัตริย์ เขาเป็นอาจารย์ใหญ่และเป็นหัวหน้าของสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด แต่เขาเป็นคนที่สามารถควบคุมสถาบันเร้นลับแห่งนี้ไว้ได้
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น… ข้าเพียงคิดว่าข้าเริ่มจะคุ้นเคยกับมันขึ้นมาบ้างแล้ว” ชิงสุ่ยรีบตอบคำถาม
“นั่งลงก่อนสิ เป็นเวลานานมากแล้วที่ข้าได้สนทนากับเด็กหนุ่ม ผ่านมานานเท่าไหร่ข้าก็ลืมไปแล้ว ข้าไม่สงสัยในเรื่องของชายหนุ่มผู้นี้เลย” ชายชรากล่าวไปยังชิงสุ่ยและชายชราที่อยู่ในชุดคลุมสิงโตสีม่วง
“ข้าเป็นอาจารย์ใหญ่ของสถานบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ และข้าหวังว่าเจ้าจะไม่มองข้าในแง่ลบ ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเจ้า เป็นเพราะการปรากฏตัวที่น่าอัศจรรย์ของเจ้าทำให้พวกเราหวังจะให้เจ้าแบกชื่อสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ไว้”
“ผู้อาวุโส ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพูดถึงอะไร? ตัวชิงสุ่ยเองมีความลับอยู่มากมายที่แม้กระทั่งคนใกล้ตัวก็ไม่รู้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนนอกเลย และเขาก็ยังไม่มีความคิดที่จะบอกเรื่องพวกนี้แก่คนอื่น ถ้าเขามองข้ามเรื่องพวกนี้ไป นั่นอาจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกสังหารได้”
“ข้าหมายความว่าเมื่อเจ้าไปที่ใดในอนาคตข้างหน้า ข้าหวังว่าเจ้าจะไปในนามของสถาบันสวรรค์เร้นลับ ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถช่วยยกระดับของสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ได้”ชายชรามองไปยังชิงสุ่ยพร้อมกล่าวอย่างจริงจัง
“ข้าไม่ได้เก่งถึงเพียงนั้น ยังมีผู้คนอีกมากมายในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ที่เก่งกว่าข้า แม้แต่พวกหัวหน้าบางคนก็ยังมีพลังมากกว่าข้าเลย” ชิงสุ่ยเผยให้เห็นรอยยิ้มอันขมขื่นพร้อมกับส่ายหน้า
“ฮ่าๆ เจ้ายังคงแสดงออกว่าโง่อยู่ดีแม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าพวกข้า พวกข้ารู้ดีว่าเจ้ามีความลับซ่อนอยู่ แต่ไม่อยากที่จะถามถึงมันก็เท่านั้น ลึกๆแล้วเจ้าไม่เห็นถึงความสูงส่งของสถาบันสวรรค์เร้นลับ แต่เจ้าก็มีความทะเยอทะยานลึกๆในใจของเจ้า ดังเช่น สักวันหนึ่งเจ้าจะแซงหน้าสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ไป”ชายชรากล่าวอย่างมั่นใจ
ในตอนนี้ ชิงสุ่ยรู้แล้วว่าชายชราคนนี้มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นๆที่พบเจอมา เขากล่าวไปอย่างไม่มีทางเลือก “ข้าไม่กล้าที่จะคิดเช่นนั้น”
“เอาล่ะ พวกข้าจะไม่บังคับให้เจ้าแบกรับมัน และจะไม่คอยก้าวก่ายในเรื่องนี้อีก ทุกคนในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้มีอิสระเสรี แม้ว่าข้อตกลงของเราจะไม่สามารถบรรลุได้ แต่พวกข้าจะไม่เก็บมันมาใส่ใจ ที่พวกข้าหวังไว้ก็คืออยากให้เจ้าช่วยสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้จากฝีมือของตัวเจ้าเอง ทั้งหมดนี่ถือเป็นการพัฒนาอนาคตของสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้อีกด้วย แน่นอนว่าพวกข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากจนเกินไป ดังเช่น เจ้าสามารถเสนอสิ่งที่เจ้าต้องการมาได้เลย หากเป็นสิ่งที่ทำได้พวกข้าก็จะลงมือช่วยอย่างเต็มที่” ชายชราพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“ข้าให้คำมั่นว่า ข้าจะอยู่ในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้ในฐานะลูกศิษย์และส่วนหนึ่งของพาไลหิมะหวน”ชิงสุ่ยรู้สึกว่าตัวเขาเองในตอนนี้ยังไม่อยู่ในจุดที่ต่อรองได้ เขารู้สึกว่าในเร็วๆนี้ สถาบันสวรรค์เร้นลับคงเห็นว่าเขามีคุณสมบัติมากพอ และมันคงจะมากพอแล้วเมื่อเขาแสดงจุดยืนว่าเป็นสมาชิกของพาไลหิมะหวน ชายชราเป็นคนที่มีประสบการณ์สูง เขาจะต้องรับรู้ถึงความคิดของชิงสุ่ยได้แน่แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ก็ตาม
“การเป็นคนหนุ่มนี่มันดีจริงๆ เจ้าหนุ่มน้อยเจ้าเป็นคนที่จริงใจ อย่าได้กังวลไปพวกข้าจะช่วยเหลือพาไลหิมะหวนอย่างเต็มที่ ถ้าหากว่าสถานการณ์เป็นใจในอนาคต เจ้าจะได้รับโอกาสดีในการปกครองสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้”
“ข้าขอขอบคุณมากๆ”ชิงสุ่ยรู้ดีว่าชายชรากำลังให้สัญญาจากคำพูดในตอนนี้ ถ้าหากชิงสุ่ยอยากทำให้มันเป็นจริง ยังไงเขาก็ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้มากนัก