บทที่ 1242 – ปัญหาที่ถูกคลี่คลาย, ชื่อเสียง, ถามไถ่เรื่องหัวใจแห่งมหาทวีป
เมื่อชิงสุ่ยได้ยินชายชราพูดเช่นนี้ เขารู้ดีว่าผลลัพธ์ก็คือต้องยอมรามือไป อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกแปลกใจมาก ผลลัพธ์ของการต่อสู้ในวันนี้ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการเสมอ แท้จริงแล้วควรเป็นชัยชนะของเขา นั่นเป็นเพราะเขาเป็นฝ่ายไปขอท้าประลองกับรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์
การต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้ชิงสุ่ยแข็งแกร่งและมั่นคงขึ้น มันช่วยเขาพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้นมาก และคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าถ้าหากต้องมาตายไปพร้อมกับคู่ต่อสู้ซึ่งเขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น และคงอีกไม่นานที่ความแข็งแกร่งของเขาจะก้าวข้ามรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไปได้
จริงๆแล้วชิงสุ่ยมีความรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆเมื่อชายชราเข้ามาขวางการประลอง ซึ่งตรงกันข้ามกับฟู่เหยียนเทียนที่รู้สึกหดหู่ขึ้นมา เดิมทีก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น เขามีลางสังหรว่าจะต้องถูกจัดการอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นก็คือผลลัพธ์ที่เกิดออกมาเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นลึกๆภายในใจของเขารู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายแพ้
“นายน้อยฟู่ ไหนเจ้าบอกข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้น?” ชายชรายิ้มและถามไปยังฟู่เหยียนเทียน
“เขาได้ผนึกน้องชายของข้าเอาไว้ พลังของเขากำลังสลายออกไปอย่างช้าๆ ข้าต้องการให้เขาคลายผนึกที่ใช้”ฟู่เหยียนเทียนรู้สึกเป็นทุกข์จริงๆ อย่างที่ได้กล่าวเอาไว้ ณ ตอนนี้เขารู้สึกหมดหนทาง
“หืม!” ชายชราตอบและมองไปยังชิงสุ่ย
“ข้ามีความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าและน้องชายของนายน้อยฟู่” ชายชราถามชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“เขามีปัญหาในจุดยืน เขากลับคำพูดหลังจากที่พ่ายแพ้ในการเดิมพัน ข้าต้องทำแบบนั้นโดยไม่มีทางเลือก” ชิงสุ่ยกล่าวอย่างช้าๆ
“เยี่ยม เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าทั้งสองไม่ได้มีความแค้นต่อกันและกันมากมายนัก” ชายชราเผยให้เห็นรอยยิ้มที่สดใสยิ่งขึ้น
“ใช่แล้ว!”ฟู่เหยียนเทียนรีบตอบอย่างรวดเร็ว
“ชิงสุ่ยงุนงงและตอบกลับไปเช่นกันว่า” “ใช่”
ชิงสุ่ยไม่คาดคิดมาก่อนว่าฟู่เหยียนเทียนจะเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เขามีเจตนาที่จะให้ชิงสุ่ยคลายผนึกที่ใช้กับน้องชายของเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข
“จากคำกล่าวที่ว่า ‘การทำลายความเกลียดชังเป็นเรื่องที่ดีกว่าเก็บมันเอาไว้’ ทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันสวรรค์เร้นลับ ถ้าผลของการประลองในวันนี้จบด้วยการเสมอกัน ข้าจะให้ชิงสุ่ยได้รับสิ่งที่เหมาะสมแลกกับการช่วยคลายผนึกของน้องชายเจ้า แบบนี้ฟังดูเข้าท่ากว่าใช่หรือไม่? ” ชายชราพูดพร้อมมองไปยังทั้งสองคน
“ตกลง การที่เขาได้รับเงือนไขที่เหมาะสมย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ข้าจะมอบบทเรียกให้กับน้องชายของข้าเอง” ฟู่เหยียนเทียนพูดโดยเน้นเสียงคำว่า “เหมาะสม”
“ดี เช่นนั้นแล้วชิงสุ่ย เจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่?”ชายชรามองไปยังชิงสุ่ย
“ข้าไม่ขัดข้อง!” นี่เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยควรจะทำตาม ไม่ว่าอย่างไร ชายชราก็ถือว่าได้ช่วยชีวิตเขาไว้ในก่อนหน้า
“ตกลง เช่นนั้นแล้ว ชิงสุ่ยบอกเงื่อนไขของเจ้าออกมา” ชายชราพูดอย่างเร่งรีบ
“เงื่อนไขนั้นง่ายเพียงนิดเดียว ข้าต้องการให้เขาทำตามที่ตกลงไว้ก่อนที่จะมีการประลองนี้เกิดขึ้น” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชายชรารู้สึกตกใจ ฟู่เหยียนเทียนก็เช่นกัน เขาได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมา อย่างไรก็ตามเขาเป็นคนที่รักษาสัจจะ ดังนั้นเขาจึงกัดฟันและพยักหน้า “ข้าให้สัญญากับเจ้า หวังว่าเจ้าจะช่วยคลายผนึกให้กับน้องชายของข้าได้”
“แน่นอน!”ชิงสุ่ยตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
……
“เจ้าชิงสุ่ยคนนี้คือใครกัน? เขามีพลังมากจริงๆ”
“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนที่ไม่แสดงอาการกังวลเมื่ออยู่ต่อหน้ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์”
“จริงๆแล้วผู้อาวุโสหรือแม้กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดบางคนยังต้องแสดงความสุภาพต่อรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ เรียกได้ว่าในครั้งนี้เขาถูกตบหน้าเข้าอย่างจังเชียวล่ะ ข้าสงสัยจริงๆว่าพวกคนที่อยู่ในกลุ่มของรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีท่าทีต่อไปยังไงในอนาคต ”
“ข้าเดาว่าในครั้งนี้ นิกายโลกานฤเบศจะต้องทำอะไรซักอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ๆ ไม่ก็พาไลหิมะหวนจะเป็นคนจัดการแทน”
……
การถกเถียงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากข้างล่าง ในขณะที่ฟู่เหยียนเทียนเดินขึ้นไปบนเวที ชิงสุ่ยก็ช่วยคลายผนึกออกอย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขาพูดเสริมขึ้นมาว่า “มันไร้ประโยชน์ที่จะพึ่งพาคนอื่น แม้แต่คนที่ใกล้ชิดก็ไม่สามารถช่วยเราได้ทุกครั้งไป ไม่สำคัญว่าสุดท้ายใครจะเป็นคนทำให้คนอื่นเจ็บปวด แต่คนประเภทที่ทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวดอยู่เสมอนั้นไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่”
ฟู่เหยียนติงรู้สึกเจ็บปวดราวกับว่าถูกคมดาบทิ่มแทงหัวใจ เหตุผลที่ทำให้พี่ชายของเขาต้องขายหน้า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตัวเขาเองอย่างแน่นอน ความรู้สึกลึกลับที่เขาเคยมอบให้คนอื่นก็ได้หายไปเช่นกัน เรื่องนี้สร้างความเสียหายให้กับกลุ่มรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก เป็นไปได้ว่าจะมีคนมากมายที่จะออกจากกลุ่มไป รวมถึงเรื่องนี้ยังส่งผลต่อความตั้งใจของอีกหลายคนที่เดิมทีต้องการจะเข้าร่วมด้วย
ยังมีเรื่องอื่นๆที่จะยังส่งผลต่อเหล่ารุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์อีก เหตุก็เพราะทุกคนรับรู้ได้ว่าชิงสุ่ยเป็นคนที่มีความสามารถสูง ในอนาคตเขาต้องสามารถก้าวข้ามกลุ่มรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไปได้ นอกจากนี้ผลลัพธ์ของการต่อสู่ระหว่างชิงสุ่ยและรุ่นเยาว์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะไม่มีวันหายไป ดังนั้นถ้าต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์พวกเขาก็จำเป็นต้องเข้าหาชิงสุ่ยและพาไลหิมะหวน.
“เมื่อปัญหาต่างๆได้รับการแก้ไขแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองจะเป็นเพื่อนกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ พวกเจ้าคืออนาคตของสถาบันสวรรค์เร้นลับ ความผิดพลาดไม่มีความหมายใดๆตราบเท่าที่เจ้าเรียนรู้ที่จะยืนขึ้น ไม่มีผู้ใดที่ไม่เคยผิดพลาด เพียงเพราะเจ้าทั้งสองได้ต่อสู่กัน นั่นไม่ได้ทำให้เจ้าทั้งสองเป็นศัตรูกันเสียหน่อย มีประโยชน์มากมายที่เจ้าจะได้รับจากคู่แข่ง อย่ามองเพียงเฉพาะปัญหาเท่านั้น” ชายชรากล่าว
ฟู่เหยียนเทียนที่รู้สึกไม่ดีในก่อนหน้ารู้สึกเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา เขากำมือแน่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เหตุเพราะเขาทำได้เพียงเสมอกับชิงสุ่ยที่มีฐานะต่ำต้อยกว่า ถ้าชิงสุ่ยเป็นถึงระดับหัวหน้าของนิกายโลกานฤเบศ สิ่งต่างๆก็คงจะง่ายดายกว่าและความสามารถของเขาก็จะถูกพูดถึงอย่างมากขึ้น
ในตอนแรก เขาได้รับรู้ความสามารถของชิงสุ่ยมาบ้างแล้ว เมื่อฟู่เหยียนเทียนคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขาก็ค่อยๆสงบลง ความล้มเหลวในวันนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป มันเป็นเหมือนที่ชายชราได้กล่าวไว้ เขาอาจพบคู่แข่งที่ดีในวันนี้ก็เป็นได้
ชายชราจากไป ชิงสุ่ยมุ่งไปยังทิศของพาไลหิมะหวน พี่น้องตระกูลฟู่ ก็จากไปเช่นกันทิ้งไว้แต่เพียงฝูงชนข้างหลัง ผู้คนมากมายยังคงมีบทสนทนาต่อไปเพียงแต่ชิงสุ่ยไม่ได้มีอารมณ์ที่จะอยู่ฟังเท่านั้น
“ท่านพ่อ!” ชิงซาวิ่งเขาโผกอดชิงสุ่ยอย่างมีความสุข
ชิงสุ่ยเห็นความกังวลและความสุขในดวงตาของนาง เขายื่นมือออกไปและลูบหัวของนาง หลังจากนั้นก็จากไปพร้อมเหยียนจินยวี้และองค์หญิงเจ็ด พวกเขาทุกคนมุ่งหน้าไปยังพาไลหิมะหวน ซึ่งองค์หญิงใหญ่ได้แจ้งเรื่องนี้กับพวกเขาแล้ว
แน่นอนว่าชิงซาก็ตามไปด้วย
เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องพาไลหิมะหวนทุกๆคนต่างจ้องไปยังชิงสุ่ยโดยไม่กะพริบตา ชิงสุ่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำได้แค่ยักไหล่ “พวกเจ้ารู้สึกเช่นไรก็แสดงออกมาได้เลย ไม่ต้องมองข้าเช่นนี้ก็ได้ใช่ไหม? พวกเจ้านี่ทำตัวเหมือนพวกอันธพานเลย”
“เจ้าสิเป็นพวกอันธพาน ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มีพลังเพิ่มมากขึ้น? เจ้าเป็นพวกสัตว์อสูรงั้นหรือ? ”
“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ข้ามีพลังเพิ่มขึ้น และข้าก็ไม่ใช้สัตว์อสูรเชื่องๆด้วย”ชิงสุ่ยให้คำตอบที่ไม่ชัดเจนกลับไป
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขายังอยู่ในเมืองตระกูลเหยียน เหยียนจินยวี้รู้สึกว่าชิงสุ่ยเป็นเพียงคนที่อ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น แต่นั่นมันนานแค่ไหนกันแล้ว? ในตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัวเลยทีเดียว
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อองค์หญิงใหญ่กลับมาถึงนางส่งยิ้มให้กับชิงสุ่ย “เจ้าช่างเป็นคนที่ทำให้คนอื่นประหลาดใจได้เสมอ พวกเรารู้สึกมีความสุขในครั้งนี้”
“ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่พอใจที่ผลออกมาเป็นเช่นนี้” ชิงสุ่ยมองไปยังองค์หญิงใหญ่และยิ้มให้
“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? วันนี้เป็นวันที่ดี พวกเรามาฉลองกันเถอะ เช่นนั้นข้าขอเสนอให้ชิงสุ่ยเป็นคนเตรียมอาหาร”องค์หญิงใหญ่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าเห็นด้วย!”เหยียนจินยวี้ยิ้ม
“ข้าก็เช่นกัน!” องค์หญิงเจ็ดเว้นช่วงและกล่าวเสริม
“ท่านพ่อ ท่านทำให้ข้ารู้สึกกลัวในวันนี้ ท่านต้องทำอาหารเพื่อปลอบใจข้าแล้วล่ะ”ชิงซายิ้มออกเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นมีความคลุมเครืออยู่มากแต่มันก็ทำให้เหยียนจินยวี้และคนอื่นๆรู้สึกราวกับว่าพวกเขาอยู่ในภาพลวงตา สิ่งของทุกอย่างนั้นจะมีค่าก็ต่อเมื่อมันมีอยู่เพียงน้อยนิด และรอยยิ้มของชิงซาเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากๆ
ในอีกแง่หนึ่ง ชิงสุ่ยก็ยินดีที่จะทำอาหาร เขามีทักษะในการทำอาหารอยู่มากมาย จริงๆแล้วมีผู้ชายน้อยคนมากทั่วทั้งทวีปที่รู้จักวิธีการปรุงอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกยุทธิ์ สำหรับพวกเขาการทำอาหารเป็นสิ่งที่ยุ่งยากและเป็นการลดค่าตัวเองลง แต่ถึงอย่างนั้นชิงสุ่ยก็เป็นคนพิเศษ สำหรับเขาแล้วผู้ชายที่ดูแลเด็กได้ถือเป็นเรื่องที่ดีมากและคนทำอาหารที่มีชื่อเสียงที่เขารู้จักล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้น
ในครั้งนี้ รายการอาการที่ชิงสุ่ยเตรียมเสนอล้วนเป็นของที่ล้ำค่าจากดินแดนหยกยุพราชอมตะทั้งสิ้น มีทั้งเต่าปลาเทราต์สายรุ้ง ปูและอื่นๆอีกมากมาย พวกมันทั้งหมดถูกตุ๋นด้วยสมุนไพร มีทั้งซุป ทั้งอาหารตุ๋น รวมทั้งอาหารทอด พวกมันไม่เพียงแค่ดูน่าทานเท่านั้น แต่รสชาตที่ออกมายังน่าตื่นตาตื่นใจอีกด้วย
ชิงสุ่ยมีความสุขมากๆราวกับว่ากำลังมีลูกคนใหม่เลยทีเดียว เพราะก่อนหน้านี้เขาเกือบจะโยนชีวิตของตัวเองทิ้งไปเสียแล้ว มีคนกล่าวไว้ว่าคนเราจะเข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้นก็ต่อเมื่อชีวิตกำลังอยู่บนความเป็นความตาย พวกเขาจะเข้าใจสิ่งต่างๆในชีวิตที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะเข้าใจมาก่อน ซึ่งโอกาสที่จะได้เจอช่วงชีวิตที่กำลังเป็นตายนั้นมีอยู่น้อยมาก
และคงไม่มีใครอยากจะเจอกับมันเท่าไหร่นัก เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะจะมีเพียงไม่กี่คนที่จะมีชีวิตรอดกลับมาได้
คนอื่นๆช่วยชิงสุ่ยในการจัดโต๊ะอาหารเช่นกัน ในไม่นานทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยจานอาหาร รายการอาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลและแน่นอนว่าต้องมีจานผักอยู่ในนั้นด้วย
ไม่มีใครสนใจถามถึงที่มาของวัตถุดิบในวันนี้เพราะชิงสุ่ยได้ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจ พวกเขาเสียเวลารอมานานมาแล้ว สิ่งที่ทุกคนต่างรอคอยอยู่คือการได้ลิ้มรสอาหารสุดน่าอัศจรรย์ในตอนนี้
“ในเมื่อเจ้าปรุงอาหารเก่งถึงเพียงนี้ ใครที่ได้แต่งงานกับเจ้าไปจะต้องอ้วนทวนสมบูรณ์แน่ๆ”องค์หญิงเจ็ดกล่าว ไม่มีใครทราบว่านางตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจพูดออกไป
ชิงสุ่ยนำเหล้าองุ่นออกมาสองสามขวด จะขาดเหล้าองุ่นไปได้อย่างไรกับมื้อสุดพิเศษเช่นนี้? ในเมื่อไม่มีคนนอกอยู่เลย องค์หญิงเจ็ดดื่มเหล้าองุ่นไปมากมายและนางได้กล่าวเสริมว่านางต้องการจัดการกับอาหารมื้อนี้ให้เรียบร้อย หลังสิ้นสุดคำพูดนางก็ลงมือทันที
“อร่อยมาก!”
……
“เอ๊ะ…อาหารสามารถช่วยเพิ่มระดับการฝึกยุทธิ์ได้…” องค์หญิงเจ็ดมองไปยังชิงสุ่ยด้วยความตกใจ
“ใช่แล้ว จริงๆไม่ว่าคนเราจะทำอะไรก็สามารถเพิ่มระดับการฝึกยุทธิ์ได้ถ้าหากทำมันในเวลาที่เหมาะสม การทานอาหารถือได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดเช่นกัน ความอดอยากก่อให้เกิดความแปรปรวน การทานอาหารที่เพียงพอจะทำให้เพิ่มพลังได้มากขึ้นและยังทำให้ฟื้นฟูสุขภาพได้ดีอีกด้วย ผลไม้อมตะในตำนานรวมถึงยาสมุนไพรต่างๆถูกเผาผลาญในกระเพาะทั้งสิ้น เช่นนั้นคงไม่มีอะไรให้แปลกใจถ้าหากว่าจะทานอาหารเพื่อเพิ่มระดับการฝึกยุทธิ์” ชิงสุ่ยวางแก้วลงพร้อมยิ้มออกมา
“แม้ว่าเจ้าจะกล่าวออกมาในแง่นี้ แต่คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้ อย่างน้อยเจ้าก็เป็นคนแรกที่ข้าเห็นหรือบางทีก็อาจเป็นคนสุดท้ายเช่นกัน” องค์หญิงใหญ่กำลังซดซุปปลาของนาง
“อ้อใช่ ชิงสุ่ย เมื่อมาคิดดูแล้วว่าในเมื่อผลจากการประลองในครั้งนี้ออกมาเป็นเสมอ พวกระดับสูงจากสถาบันสวรรค์เร้นลับจะต้องมาตามดูเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาอาจจะให้ข้อยกเว้นบางอย่างกับเจ้าและเลื่อนให้ระดับของเจ้าสูงขึ้น อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะได้เป็นระดับอาวุโสหรืออาจจะได้เป็นถึงผู้พิทักษ์เลยก็เป็นได้” องค์หญิงใหญ่พูดกับชิงสุ่ยในขณะที่กำลังทานอาหารไปด้วย
“ยอดเยี่ยม” ด้วยสถานะพวกนี้เขารู้สึกว่าจะสามารถช่วยเหลือมหาทวีอู่เซียตะวันตกได้มากมาย อย่างไรก็ตามเขารู้ว่าถึงในตอนนี้เขายังต้องพึ่งพาสถาบัน แต่ในอนาคตเขาจะต้องทำประโยชน์คืนกลับไปให้กับสถาบันได้อย่างแน่นอน
“ชิงสุ่ย เจ้ารับพาไลหิมะหวนไว้สิ แม้ว่ามันจะยังไม่ใหญ่มากแต่มันจะสามาถช่วยให้เจ้าเป็นผู้ปกครองแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ ในอนาคตทุกสิ่งทุกอย่างในสถาบันสวรรค์เร้นลับจะเป็นของเจ้า” องค์หญิงใหญ่พูดออกมาอย่างจริงจังหลังใช้เวลาคิดอยู่ชั่วครู่
นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่นางพูดออกมาในทำนองนี้ ชิงสุ่ยมองไปยังใบหน้าของนาง ในครั้งนี้นางดูจริงจังเหลือเกิน อย่างไรก็ตามเขายังไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนี้ เขายิ้มและตอบกลับไปว่า “ความทะเยอทะยานของข้า ไม่ได้อยู่ในสถาบันสวรรค์เร้นลับแห่งนี้”
องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยด้วยความสับสน
“ในอีกไม่นานนี้ ข้าจะออกเดินทางไปตามหาภรรยาของข้า ข้ายังมีสิ่งอื่นให้ทำอีกมากมาย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับข้าที่จะอยู่ที่นี่ไปตลอด แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็เป็นสมาชิกของพาไลหิมะหวนตลอดไป และข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการช่วยให้เจ้าก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งระดับสูงในสถาบันสวรรค์เร้นลับ แน่นอนว่ามันอาจจะใช้เวลาสักหน่อย”
“ข้า?”องค์หญิงใหญ่ยิ้มออกมาและส่ายหัว
“เจ้าไม่เชื่อในตัวข้า หรือแม้แต่ตัวของเจ้าเองงั้นหรือ” ชิงสุ่ยพูดและยิ้มออกมา
“แม้ว่าข้าจะมีพรสวรรค์ที่เหมาะสมตั้งแต่กำเนิดและโอกาสของข้าที่จะสู้เพื่อตำแหน่งในระดับสูงก็มีความสดใส แต่เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วช่างต่างออกไปจริงๆ ” องค์หญิงใหญ่มองไปยังชิงสุ่ยและยิ้มออกมา
“ตราบเท่าที่เจ้าต้องการ เจ้าจะต้องได้รับมันอย่างแน่นอน ข้าสงสัยว่าน้องสาวของเจ้าเคยถามถึงหัวใจแห่งมหาทวีปบ้างหรือไม่” ชิงสุ่ยมองไปยังองค์หญิงใหญ่