บทที่ 14 นี่คือที่สุดของวิชากระบี่

ท่องภพสยบหล้า

ในคฤหาสน์หรูหรากินพื้นที่เกือบสิบหมู่[1]ของเจ้าหรู่เฉิง ร่างคนสองคนผละออกแล้วพุ่งเข้าหากันอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงกระบี่

เคร้ง!!

มือของเจ้าหรู่เฉิงสั่นสะท้าน กระบี่ยาวกระเด็นหลุดจากมือ ส่วนกระบี่ของเจียงวั่งก็พาดมาหยุดที่ข้างคอเขา กำลังมองเขาเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“เยี่ยมยอดมาก!” เจ้าหรู่เฉิงตะลึงนัก “นี่คือวิชากระบี่อะไรกัน”

วิชากระบี่ของเขากับเจียงวั่งห่างชั้นกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าไร ปกติตอนประลองกระบี่ สิบยกเขามักจะชนะได้สักสามยกห้ายก แต่วันนี้สู้ติดกันยี่สิบยกกลับไม่ชนะแม้แต่ครั้งเดียว!

เจียงวั่งหัวเราะพลางเก็บกระบี่ วิชากระบี่วิชานี้สมแล้วที่เป็นวิชาอัศจรรย์ซึ่งใช้ยุทธ์ผสานเต๋า มีท่าฝึกฝนทั้งหมดเก้ากระบวน ท่าสังหารห้ากระบวน ตอนนี้เขาบรรลุสี่กระบวนท่าฝึกฝน หนึ่งกระบวนท่าสังหารแล้ว ความเข้าใจในวิชากระบี่มากยิ่งกว่าเมื่อก่อน

เขาคิดกับตัวเองว่ากำลังต่อสู้เข้าขั้นแล้ว หากเจอมารที่บุกมาในคืนนั้นอีกต้องสู้ได้อย่างแน่นอน

“วิชากระบี่นี้ข้าได้มาโดยวาสนา ไม่มีชื่ออะไร หรู่เฉิงเจ้าเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นและบู๊ เจ้าว่าชื่ออะไรดี”

เจ้าหรู่เฉิงเงียบไปครู่หนึ่ง “นี่คือที่สุดของวิชากระบี่ ชื่อว่า…หมอกมงคลแห่งบูรพา”

“หมอกมงคลแห่งบูรพา…” ในดวงตาของเจียงวั่งมีประกายฉายวาบ “เป็นชื่อที่ดีมาก!”

ในพริบตาเมื่อครู่ เขาเหมือนเห็นบุคลิกยิ่งใหญ่องอาจบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนบนร่างของเจ้าหรู่เฉิง

แต่ว่าคงคิดไปเอง เพราะต่อมาเจ้าหรู่เฉิงก็หยิบกระบี่ที่ร่วงลงพื้นขึ้นมา ก่อนจะกระโดดมาตรงหน้าเขา ท่าทางยังคงไม่ใส่ใจอะไรเช่นเคย พูดหน้าตาระรื่นว่า “พี่สามสอนข้าด้วย!”

“ได้” เจียงวั่งยิ้มสดใส

ทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือวิชากระบี่ในโลกมนุษย์ ต้องรู้ความล้ำค่าของเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาอยู่แล้ว มันต่างไปจากวิชาโจมตีที่แพร่หลายในโลกมนุษย์เหล่านั้น ทั้งยังเป็นวิชากระบี่เลิศล้ำที่ใช้ยุทธ์ผสานเต๋า

ผู้ฝึกกระบี่ที่แข็งแกร่งเหล่านั้นไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือวิชาเต๋าเลย

วิชากระบี่เช่นนี้ ถ้าอยู่ในยุทธจักรก็มากพอที่จะสร้างพายุฝนคาวเลือดได้ ทว่าสองคนนี้คนหนึ่งอยากเรียนก็เรียน คนหนึ่งอยากสอนก็สอน ทำให้วิชากระบี่นี้ดูไร้ความสำคัญไปเสียอย่างนั้น

……

เมื่อเจียงวั่งกลับถึงสำนักเต๋าก็เป็นเวลาค่ำมืดแล้ว

โดยปกติแล้วเจ้าหรู่เฉิงไม่พักอยู่ในสำนักเต๋า นอกเสียจากจะมีวิชาเรียน มีนิสัยอย่างคุณชายตระกูลร่ำรวยเต็มร้อย

ในหัวเจียงวั่งขบคิดศึกษาความมหัศจรรย์ของเคล็ดกระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพา ทำให้เมื่อเดินมาถึงประตูหอพักสำนักสายในแล้ว ถึงเพิ่งจะเห็นหลีเจี้ยนชิวยืนกอดกระบี่อยู่

“คิดอะไรอยู่ จมอยู่ในภวังค์ขนาดนี้” หลีเจี้ยนชิวเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“ปัญหาเรื่องวิชากระบี่บางอย่าง” เจียงวั่งตอบอย่างสุขุม ถามขึ้นว่า “ศิษย์พี่หลีมีธุระใดหรือ”

“มิน่าเล่าวิชากระบี่ของศิษย์น้องเจียงถึงได้น่าทึ่งนัก” หลีเจี้ยนชิวเอ่ยชมเชยไปตามปาก แล้วจึงกล่าว “อาจารย์ต่งให้เจ้าไปหาเขาพรุ่งนี้หลังคาบวิชาเช้า ข้าเห็นเจ้าไม่อยู่ที่ที่พัก จึงรออยู่ครู่หนึ่ง”

“อา ข้าอยู่ที่คฤหาสน์ของหรู่เฉิงตลอดทั้งบ่ายเลย” เจียงวั่งค่อนข้างละอาย “จะกล้าให้ศิษย์พี่หลีรอได้อย่างไร ท่านฝากความไว้กับบ่าวรับใช้ก็ได้”

ศิษย์สายในมีคนคอยรับใช้โดยเฉพาะ คอยดูแลเรื่องเสื้อผ้าอาหารการกิน เพื่อให้ต้นกล้าสำนักเต๋าเหล่านี้มีสมาธิฝึกฝน

“ในเมื่ออาจารย์ต่งให้ข้ามาบอกเจ้า แสดงว่าฝากผ่านผู้อื่นไม่ได้ ข้าเองก็ไม่ใช่คุณชายสูงศักดิ์อะไร ไม่ได้สูงส่งจนแค่รอใครก็ทำไม่ได้”

เจียงวั่งก้มศีรษะเล็กน้อย “ศิษย์น้องละอายนัก”

เขาละอายจริงๆ พึงรู้ไว้ว่าหลีเจี้ยนชิวโตกว่าเขาสองรุ่น ในรุ่นนั้นก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่โดดเด่นเป็นเลิศ เป็นเรื่องแน่นอนแล้วว่าในอนาคตหลีเจี้ยนชิวจะได้ไปฝึกฝนที่สำนักในเขตปกครองชิงเหอ และเป็นอัจฉริยะที่นับได้ไม่กี่คนของทั้งสำนัก

แต่บุคคลเช่นนี้กลับยืนรอเขาที่หน้าประตูหอพักโดยไม่ร้อนรนฉุนเฉียวแม้แต่น้อย

หลีเจี้ยนชิวตบๆ ไหล่เจียงวั่ง “ข้าคิดว่าศิษย์น้องเจียงมีอนาคตไร้ขีดจำกัด อย่าได้เหินห่างเช่นนี้จึงจะดี”

พูดแล้วเขาก็หมุนตัวจากไป

……

ยามค่ำคืนผ่านพ้น เช้าวันต่อมาเมื่อชั้นเรียนเพิ่งเลิก เจียงวั่งก็ไปยังที่พักของต่งเออ

ในที่พักเล็กๆ นอกจากหลีเจี้ยนชิวแล้วยังมีอีกสองคน หนึ่งในนั้นเป็นศิษย์พี่เหมือนกัน ชื่อว่าจางหลินชวน มีชาติกำเนิดจากตระกูลจางหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองเฟิงหลิน เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาลูกศิษย์สำนัก มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก

หน้าตาของเขาไม่นับว่าหล่อเหลาอะไร แต่รูปร่างสูงโปร่งสง่างาม ท่าทางทรงภูมิ อาภรณ์เครื่องประดับล้วนประณีตเหมาะสม

ตอนนี้เขายืนอยู่ในลานที่พัก กำลังฟังคนที่อยู่ข้างๆ พูดอะไร

ส่วนอีกคนหนึ่งในลานที่พักก็คือฟางเฮ่อหลิง

ครั้นเห็นเจียงวั่งเดินเข้ามา เขาก็จงใจส่งเสียงดัง “ศิษย์พี่จาง! เมื่อวานนี้นายพรานบ้านข้าส่งอุ้งตีนหมีชั้นดีมาให้คู่หนึ่ง พรุ่งนี้ข้าจะเชิญพ่อครัวใหญ่จากหอชมจันทร์มาจัดการสักหน่อย ถึงตอนนั้นพวกเราไปชิมด้วยกันเถอะ”

จางหลินชวนยิ้มบางๆ พลางพยักหน้า

ฟางเฮ่อหลิงหันไปเอ่ยเชื้อเชิญอีก “ศิษย์พี่หลีก็ไปด้วยนะ!”

หลีเจี้ยนชิวก็ไม่หักหน้าเขา ทำเพียงยิ้มๆ ตอบไปว่า “มีเวลาก็จะไป”

ไม่รอให้ฟางเฮ่อหลิงประจบประแจงตัวเองต่อ หลีเจี้ยนชิวเดินไปทางประตูทางเข้าสามสี่ก้าว “ศิษย์น้องเจียงมาแล้วรึ”

เขาตั้งใจเดินไปต้อนรับ

เจียงวั่งรีบสาวก้าวไป เอ่ยทักทายว่า “ขอโทษด้วย ข้ามาสายแล้ว”

เขาเดินไปยืนข้างกายหลีเจี้ยนชิว แล้วประสานมือคารวะให้จางหลินชวน “คารวะศิษย์พี่จาง”

เมินเฉยต่อฟางเฮ่อหลิงเพียงคนเดียว

“เจ้าสบายดีนะ” จางหลินชวนยิ้มบางๆ พร้อมพยักหน้า เหมือนไม่รู้สึกถึงคลื่นใต้น้ำระหว่างเจียงวั่งและฟางเฮ่อหลิง

แต่คนบางคนกลับต้องการมีตัวตนให้ได้

“เหอะ” จู่ๆ ฟางเฮ่อหลิงก็แค่นเสียงขึ้นมา จากนั้นกล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “อาจารย์ต่งสั่งเอาไว้แล้ว แม้แต่ศิษย์พี่จางศิษย์พี่หลียังรีบมาแต่เช้า ข้ายิ่งไม่ทันได้ไปเรียนคาบวิชาเช้า พอตื่นนอนก็มาเลยทันที ก็ไม่รู้ว่าใครบางคนมีดีอะไร ถึงได้กล้าให้อาจารย์ต่งและศิษย์พี่ทั้งสองต้องคอย”

เจียงวั่งยังคงไม่สนใจเขา ประสานมือไปทางหลีเจี้ยนชิวและจางหลินชวนเท่านั้น “ศิษย์น้องเรียนวิชาเช้าเสร็จก็รีบตามมาทันที ไม่เมินเฉยต่อคำสั่งอาจารย์เด็ดขาด เพียงแต่มีวิชาเช้าวิชาเย็น สวดภาวนาฝึกลมหายใจ ได้ยินระฆังยามเช้ากลองยามสายัณห์ จึงมิกล้าเพิกเฉยแม้แต่น้อย”

หลีเจี้ยนชิวตบไหล่เจียงวั่งอีกครั้ง แสดงถึงความสนิทสนม “ไม่เป็นไร เป็นพวกเราที่มาเร็วเอง ไม่ใช่เจ้ามาช้า เส้นทางการฝึกบำเพ็ญก็จะเพิกเฉยง่ายๆ ไม่ได้จริงๆ ข้ากับศิษย์พี่จางแม้ไม่ต้องไปสวดภาวนากับเหล่าศิษย์น้องที่หอภาวนา แต่คาบวิชาเช้าก็ต้องฝึกฝนอยู่ในห้องเช่นกัน”

จางเฮ่อหลิงยิ่งหงุดหงิด แต่หลีเจี้ยนชิวแสดงทีท่าแล้ว เขาจึงไม่กล้ายุยงต่อ

ตอนนี้เองได้ยินเสียงประตูดังขึ้น ต่งเออผลักประตูเดินออกมา

“มากันหมดแล้วหรือ” เขากวาดตามองรอบหนึ่ง ไม่โมโหแต่ก็ยังทรงอำนาจน่าเกรงขาม

ทั้งสี่คนต่างคารวะตามธรรมเนียมเต๋า “อาจารย์ต่ง!”

ต่งเออโบกมือ เขามีนิสัยเฉียบขาดตรงไปตรงมา ไม่ชอบชักช้าลีลา จึงเอ่ยขึ้นมาเลยว่า “วันนี้ข้าเรียกพวกเจ้ามาเพราะมีภารกิจหนึ่งจะมอบหมายให้ ก่อนหน้านี้มีมารโจมตีสำนักสายนอก สังหารศิษย์สายนอกไปคนหนึ่ง พวกเจ้าน่าจะรู้กันแล้ว กรมอาญาสืบมานานขนาดนี้ก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราว เรื่องของพวกเราสำนักเต๋าประจำเมืองไม่จำเป็นต้องรอให้ใครมาจัดการ ข้าเลยจะให้พวกเจ้าไปสืบเรื่องนี้ นับแต้มเท่ากับมาตรฐานภารกิจระดับแปด”

ไม่เหมือนกับภารกิจของสำนักสายนอก ภารกิจของสำนักสายในจะเริ่มกำหนดระดับ ปกติระดับจะกำหนดโดยดูจากกำลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของภารกิจที่ได้รับ อีกทั้งหน่วยการนับรางวัลก็ไม่ใช่คะแนนความดีความชอบอีก แต่เป็นแต้มเต๋า

ความยากต่างกันราวฟ้ากับเหว รางวัลก็ย่อมต่างกันราวเพชรกับกรวด ยกตัวอย่างเช่นลูกกลอนเปิดชีพจร คะแนนความดีความชอบของสำนักสายนอกต้องมหาศาลถึงจะแลกมาได้ ทว่าใช้แต้มเต๋าเพียงร้อยแต้มเท่านั้น

แน่นอน แต้มเต๋าหนึ่งร้อยแต้มก็ไม่ใช่จะได้มาง่ายๆ แบบนั้น

พูดถึงแค่การโจมตีสำนักสายนอกของมารนอกรีตครั้งนี้ พลังที่มารร้ายแสดงออกมาอยู่แค่ขอบเขตระดับเก้าเท่านั้น แต่ต่งเออกำหนดไว้ที่ระดับแปด เห็นได้ชัดว่าต้องการส่งเสริมสนับสนุน

“เจียงวั่งกับฟางเฮ่อหลิงเป็นลูกศิษย์ที่ชีพจรเต๋าเด่นชัดเพียงสองคนในรุ่นนี้ ต้องฝึกฝนขัดเกลาให้ดี หลินชวน เจี้ยนชิว เวลาฝึกบำเพ็ญของเจ้านานกว่าพวกเขา จงพาศิษย์น้องทั้งสองแยกย้ายกันไปสืบมา รางวัลภารกิจแบ่งเป็นหนึ่งต่อเก้า ฝ่ายใดสืบเจอก่อน ฝ่ายนั้นได้เก้าส่วน”

จางหลินชวนและหลีเจี้ยนชิวต่างโค้งคำนับ “ศิษย์น้อมรับคำสั่งอาจารย์”

ต่งเออสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน เห็นได้ชัดว่าไม่คิดยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้

จางหลินชวนเห็นได้ชัดว่าเตรียมการมา นิ่งไปเพียงครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ข้ามีสหายอยู่ในกรมอาญา คดีมารโจมตีครั้งนี้มีสองเบาะแสที่เป็นประโยชน์ที่สุด หนึ่งคือก่อนที่มารร้ายจะมาโจมตีเคยพักอยู่โรงเตี๊ยมสุขมาเยือนสามวัน ที่นั่นน่าจะมีเบาะแสหลงเหลืออยู่บ้าง อีกเบาะแสหนึ่งคือ ในตำบลถังเส่อมีครอบครัวหนึ่งถูกล้างตระกูล ที่เกิดเหตุมีปราณศพค่อนข้างคล้ายกับมารที่บุกโจมตีสำนักสายนอกของเรา ศิษย์น้องหลี เจ้าเลือกเบาะแสไหน”

หลีเจี้ยนชิวตอบไปว่า “นี่เป็นรายงานข่าวของศิษย์พี่จาง ย่อมยึดตามการแบ่งของท่าน”

จางหลินชวนไม่แปลกใจ หากหลีเจี้ยนชิวมีสมองอยู่บ้างก็จะไม่แย่งชิงกับเขาในตอนนี้ เหตุที่เขาพูดเรื่องพวกนี้ก็แค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ดังนั้นจึงพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะไปตำบลถังเส่อ ศิษย์น้องหลีเจ้าไปโรงเตี๊ยมสุขมาเยือน”

ฟางเฮ่อหลิงที่ยืนอยู่ข้างจางหลินชวนดวงตาวาววับขึ้นมา “มีศิษย์พี่จางออกโรง กับแค่มารนอกรีตจะไปซ่อนตัวที่ใดได้”

พูดจบก็ปรายตาไปทางเจียงวั่งแวบหนึ่ง ท่าทางได้ใจนัก

คนที่มีสติปัญญาล้วนมองออกว่าตำบลถังเส่อมีเงื่อนไขที่เหมาะจะให้มารซ่อนตัวมากกว่า เบาะแสก็ชัดเจนกว่า สำหรับฟางเฮ่อหลิง ในภารกิจระดับแปดครั้งแรกที่ยังไม่มีประสบการณ์นี้ เขาก็ได้เปรียบมากแล้ว

ตอนนี้เอง จางหลินชวนพูดกับหลีเจี้ยนชิวอีกว่า “ศิษย์น้องหลี ข้าจะพาเจียงวั่งไปเป็นอย่างไร”

หลีเจี้ยนชิวตอบกลับโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ก็ดีเหมือนกัน”

อันที่จริงจากจุดยืนของทุกคนก่อนหน้านี้ ก็แยกฝั่งกันโดยปริยายแล้ว เจียงวั่งค่อนข้างสนิทกับหลีเจี้ยนชิว ส่วนจางหลินชวนกับฟางเฮ่อหลิงมีฐานะชาติกำเนิดจากสามตระกูลใหญ่เหมือนกัน

แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมจางหลินชวนจึงไม่เลือกฟางเฮ่อหลิงที่ชาติกำเนิดใกล้เคียงกันกว่า คุ้นเคยกันดีกว่า แต่เจียงวั่งก็ไม่มีอำนาจในการเลือก จึงคารวะก่อนกล่าว “เช่นนั้นก็รบกวนศิษย์พี่จางด้วย”

จางหลินชวนกับหลีเจี้ยนชิวต่างมีประสบการณ์มากมาย ไม่นานก็แบ่งภารกิจรวมทั้งของบางอย่างที่อาจต้องใช้ระหว่างปฏิบัติภารกิจเรียบร้อย เจียงวั่งก็ยุ่งวุ่นช่วยเตรียมการอย่างรู้งาน

มีเพียงฟางเฮ่อหลิงที่ยืนบื้ออยู่ตรงนั้น สีหน้าเดี๋ยวเขียวคล้ำเดี๋ยวซีดขาว

เขาอยากจะแสดงความคิดเห็นมากมาย แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว

……………………………………

[1] หน่วยวัดของจีน โดย 1 หมู่ = 1 ไร่