ตำบลถังเส่ออยู่ทางเหนือของเมืองเฟิงหลิน เป็นหนึ่งในเจ็ดตำบลที่เว่ยชวี่จี๋ปกครองอยู่ และก็เป็นตำบลซึ่งห่างไกลที่สุดและเล็กที่สุด ด้านหลังของที่นี่ติดกับเทือกเขาฉีชางที่ทอดยาวหลายสิบลี้ ประชากรล้วนหากินอยู่กับภูเขา และล่าสัตว์กันเป็นส่วนใหญ่
เมื่อเดินในตำบลถังเส่อ สิ่งที่เห็นคือบ้านเรือนเก่าแก่ คนเดินถนนบางตา บางครั้งผ่านมาบ้างก็ล้วนเร่งรีบ หน้านิ่วคิ้วขมวด ยังไม่ต้องเอามาเทียบกับเมืองเฟิงหลิน แค่เทียบกับตำบลเฟิ่งซีบ้านเกิดของเจียงวั่ง ที่นี่ก็ยังสู้ไม่ได้เลยสักนิด
“หมู่บ้านที่อยู่ในละแวกตำบลถังเส่อล้วนกระจายอยู่ตามเทือกเขาฉีชาง คนที่นี่ล่าสัตว์กันเป็นหลัก ปกติมีเพียงวันที่หนึ่งและสิบห้าของเดือนเท่านั้นถึงจะมารวมตัวกันในตำบล ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจ่ายตลาด คนเดินถนนจึงบางตา”
ก่อนมาทำการบ้านไว้ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้เจียงวั่งจึงอธิบายให้จางหลินชวนฟังได้
ต่อให้ครั้งนี้ศิษย์พี่จะดูแลศิษย์น้องตามคำสั่งเจ้าสำนัก แต่เจียงวั่งรู้อยู่ลึกๆ ว่าไม่มีเหตุผลที่เอะอะก็จะขอคำชี้แนะจากคนอื่นตลอด และตัวเองก็ไม่กล้าเกียจคร้านด้วย
ตลอดการเดินทางจางหลินชวนมีรอยยิ้มจางอยู่ตลอด ไม่ใช่ทั้งห่างเหินและใกล้ชิด มองอารมณ์ไม่ค่อยออกเท่าใด
พอได้ยินก็เพียงพยักหน้า สนใจแต่การเดินตรงไปยังบ้านที่เกิดคดีฆ่าล้างครอบครัวเท่านั้น
ครั้งนี้ถึงแม้พวกเขาจะมาโดยเป็นตัวแทนเจตจำนงของสำนักเต๋าเอง แต่ก็จะไม่แจ้งทางการของพื้นที่ไม่ได้ มือปราบถังตุนแห่งตำบลถังเส่อกำลังรอพวกเขาอยู่ตรงประตูบ้านครอบครัวนี้
“สามีภรรยาถังต้าหนิวเป็นคนพื้นที่ในตำบลถังเส่อของพวกเรา ตูข้า[1]กับต้าหนิวตอนเด็กๆ มักจะทะเลาะเบาะแว้งกัน…” มองออกว่าชายผิวดำคล้ำใบหน้าทึ่มทื่อซื่อตรงคนนี้เสียใจอยู่พอควร ในดวงตาที่เหมือนกระดึงวัวมีเส้นเลือดจางๆ ยืนบ่นงึมงำไม่หยุด พูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่ตรงนั้น “เจ้าพวกมารชั่วช้าน่าแค้นนัก! ให้ตายเถอะ! ให้ตายเถอะ!”
จางหลินชวนเหลือบมองชุดมือปราบบนตัวของเขา “ทำไมถึงมีแต่ท่านอยู่ที่นี่ หัวหน้ามือปราบของพวกท่านเล่า”
“หัวหน้ามือปราบของเราวุ่นกับเรื่องอื่นอยู่” ถังตุนไม่สังเกตเห็นความไม่พอใจของจางหลินชวน พูดเอาเองว่า “อีกหน่อยพวกท่านจะขึ้นเป็นขุนนางใหญ่ ต้องเมตตาพวกเราด้วยล่ะ!”
“น่าสนใจ ตำบลเล็กๆ อย่างถังเส่อมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าคดีใหญ่ฆ่าล้างครอบครัวอีกหรือ” จางหลินชวนหัวเราะอย่างเหยียดหยาม แต่ก็ไม่ติดใจเอาเรื่องต่อ ทำเพียงโบกมือตัดบทถังตุน “พูดเรื่องสำคัญมา พวกท่านตรวจสอบได้เบาะแสอะไรบ้าง คนจากกรมอาญาพูดว่าอย่างไรบ้าง”
ต่งเออส่งคนมาตรวจสอบเองโดยเฉพาะ เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อใจเว่ยชวี่จี๋ พอดีกับที่ตอนนี้คนของกรมอาญาหายหัวกันหมด ส่วนทางการของตำบลถังเส่อก็ส่งมือปราบที่ไม่ได้ความคนหนึ่งมาต้อนรับ นี่เป็นเรื่องที่พอจะจินตนาการได้อยู่
ถังตุนเกาศีรษะ “พวกข้า…ไม่มีเบาะแสอะไร พวกนายท่านจากกรมอาญาตรวจพบอะไรก็ไม่บอกพวกข้าเลย…”
จางหลินชวนเกือบจะโมโหจนหัวเราะแล้ว เบาะแสอะไรก็ไม่มี แล้วเจ้าบ่นกระปอดกระแปดอะไรอยู่ตั้งนาน!
ทว่าอย่างไรเขาก็ได้รับการอบรมมาอย่างดี จึงสะกดความไม่พอใจไว้พลางเอ่ยว่า “เอาละ เช่นนั้นก็เข้าไปดูกันเถอะ”
ถังตุนฉีกแถบผนึกบนประตูใหญ่ออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหยิบกุญแจออกมา จัดการปลดกลอนประตูแล้วผลักบานประตูไม้เปิดออก
เจียงวั่งสังเกตเห็นว่าแถบผนึกประตูนี้ไม่ธรรมดา ด้านบนมีอักขระคาถาสะกดความชั่วร้ายวาดอยู่ เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนของกรมอาญาตั้งใจคุ้มกันสถานที่เกิดเหตุไว้
จากการเปิดแถบผนึก ประตูบ้านเปิดออก กลิ่นที่เหม็นเน่า โสมม และน่าคลื่นเหียนผสมปนเปกันโชยออกมา
เจียงวั่งฝืนอดทนพลางพิจารณาบ้านหลังเล็กนี้ มีแต่สิ่งของที่นายพรานใช้กันบ่อยๆ พวกมีดล่าสัตว์ คีม คันธนู และยังมีหนังสัตว์กับเนื้อรมควันบางส่วนกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น
สุนัขล่าเนื้อตัวหนึ่งเหลือเพียงโครงกระดูกกระจายอยู่ตรงปากประตู ดูแล้วมันน่าจะพบผู้บุกรุกเป็นตัวแรก แต่ถูกกำจัดทิ้งในพริบตาเดียว
เจียงวั่งหันหน้าไปมอง จางหลินชวนเอาผ้าเช็ดหน้าปักลายกล้วยไม้ออกมาปิดจมูกไว้แล้ว หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน
ครั้นเห็นสายตาสอบถามของเจียงวั่ง จางหลินชวนก็พยักเพยิดไปข้างหน้าเล็กน้อย เปล่งเสียงลอดออกมาจากใต้ผ้าเช็ดหน้าว่า “ไม่เป็นไร เข้าไปเถอะ”
เวลานี้ถังตุนยืนอึกๆ อักๆ อยู่ตรงประตู “ตูข้าจะ…ไม่เข้าไปแล้วกัน ที่นี่ วิชาชั่วร้าย…”
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่คนธรรมดา เจียงวั่งย่อมไม่บีบคั้นเขา พยักหน้าตอบว่า “ก็ได้”
จากนั้นจึงก้าวเข้าไปในตัวบ้านก่อนใคร
ปราณศพที่รุนแรงและเข้มข้นโอบล้อมเข้ามาในพริบตา ปกคลุมอวัยวะรับกลิ่นเต็มที่ ปราณศพระดับนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นได้จากการสังหารคนสองสามคนหรืออัญเชิญศพเดินได้สองสามร่าง แต่เหมือนเกี่ยวข้องกับความชั่วร้ายบางอย่างมากกว่า
จางหลินชวนมองมือของเจียงวั่งที่กดอยู่บนกระบี่ผาดหนึ่ง กระดูกนิ้วขาวเรียวยาวนั่นดูสะอาดและมีพลัง
“ศิษย์น้องเจียงถนัดวิชากระบี่หรือ” เขาถามขึ้น
เจียงวั่งสำรวจสภาพพื้นที่รอบๆ พลางตอบโดยไม่หันหน้าไป “ปล่อยไก่ให้ศิษย์พี่จางเห็นเสียแล้ว ศิษย์น้องยังไม่มีกระแสวนเต๋า ยังไม่สามารถฝึกวิชาเต๋าได้ ทำได้เพียงใช้กระบี่คุ้มกายเท่านั้น”
“ตอนที่สำนักสายนอกโดนโจมตี ได้ยินว่าศิษย์น้องเจียงก็เป็นหนึ่งในคนที่ถูกโจมตีด้วย แต่กลับเอาชีวิตรอดมาได้ ชัดเจนว่าไม่ธรรมดา”
“ความจริงแล้วก็อกสั่นขวัญแขวนอยู่ มารนั่นพลังแข็งแกร่งมากกว่าข้า ข้าต้องสร้างความแตกตื่นให้กับศิษย์คนอื่นจึงจะรอดมาได้”
ข้างลานบ้านมีบ้านสุนัขที่สร้างจากไม้กระดานหลังหนึ่ง เวลานี้แน่นอนว่าว่างเปล่า สายตาของเจียงวั่งกวาดมองไป พบว่าทั้งลานบ้านไม่มีรอยเลือดเลย
“สถานการณ์ที่นี่ดูไม่ค่อยปกติ ศิษย์น้องระวังด้วย” จางหลินชวนกล่าว
“ศิษย์น้องทราบแล้ว”
บ้านทั้งหลังมีอยู่สามห้อง ตรงข้ามกับประตูลานบ้านคือโถงใหญ่ ประตูเปิดอ้าอยู่ โครงกระดูกร่างหนึ่งนอนพาดอยู่บนธรณีประตู ไม่มีเนื้อหรือเลือดอยู่เลย เหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น เมื่อมองจากเสื้อผ้าบนร่างกาย น่าจะเป็นชายเจ้าของบ้านหรือนายพรานถังต้าหนิว
เจียงวั่งเดินข้ามโครงกระดูกนี้เข้าไปในโถงใหญ่อย่างระมัดระวัง
กำแพงห้องโถงใหญ่ทั้งสี่ด้านว่างเปล่าไม่มีอะไรประดับประดา ทว่ากลางห้องมีโต๊ะแปดเซียนตัวหนึ่งกับเก้าอี้สี่ตัว บนโต๊ะเป็นอาหารที่กินเหลือบางส่วน มีฝาชีทำจากไม้ไผ่ครอบไว้
ร่างของนายหญิงบ้านนี้นอนอยู่ใต้เก้าอี้ด้านซ้าย สามารถยืนยันได้จากชุดกระโปรงผ้าหยาบ
ทว่า…อาหารยังไม่เน่าเสีย แต่ร่างศพกลับเหลือเพียงกระดูก
ความเย็นวาบอย่างน่าประหลาดทิ่มแทงปลายกระดูกสันหลัง ความหวาดกลัวรางๆ ไม่รู้มาจากที่ใด เจียงวั่งอยากจะชักกระบี่ออกมา แต่อย่างไรก็ผ่านสถานการณ์เป็นตายมาไม่น้อยแล้ว เขาจึงข่มสัญชาตญาณเอาไว้ ไม่ให้เป็นการขายหน้าต่อหน้าจางหลินชวน
“เลือดเนื้อพวกนี้ไม่ได้ถูกกัดกินแน่นอน แต่เป็นผลของวิชาชั่วร้ายบางอย่าง” จางหลินชวนใช้มือข้างหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกพลางเดินตรวจดูรอบๆ ตามใจ มองออกว่าแค่รังเกียจแต่ไม่ได้หวาดกลัว “เวลาตายของสองคนนี้ไม่นานมาก แต่เลือดกับเนื้อหายไปหมด เบาะแสจึงหายไปเยอะด้วย เจ้าได้ประมือกับมารที่เข้าโจมตีสำนักสายนอกมาแล้ว มีอะไรคุ้นๆ บ้างหรือไม่”
เจียงวั่งส่ายหน้า “ตอนนี้ข้าเห็นเพียงโครงกระดูกคนสองคน ยังไม่สามารถตัดสินอะไรได้ แต่ว่าปราณศพที่คละคลุ้งอยู่รอบๆ นี่….”
“ทำไมหรือ”
“ตอนที่ถูกศัตรูควบคุมศพมาโจมตีจนติดพิษศพมา อาจารย์ต่งเป็นคนลงมือแก้พิษให้ข้า”
จางหลินชวนพยักหน้า ตลอดเวลาไม่ได้เอาผ้าเช็ดหน้าออกห่างจากปากเลย เขาเดินไปทางห้องที่อยู่ด้านขวามือของห้องโถง “พวกเราแยกกันไปดู ถ้าพบอะไรให้รีบรายงานข้าทันที”
“รับทราบ”
จางหลินชวนเป็นผู้ฝึกตนที่เข้าขั้นแล้ว กระแสวนเต๋าในจุดผ่านสวรรค์หมุนเวียน รากพลังเต๋าก่อกำเนิด เจียงวั่งย่อมไม่เป็นห่วงเขา เอามือกดกระบี่เดินไปห้องฝั่งซ้ายมือทันใด
……..
ห้องห้องนี้…เล็กมาก
พอเข้าประตูไปก็เห็นม้าไม้ตัวหนึ่งตั้งสงบอยู่บนพื้น ม้าไม้นี้ประณีตและเรียบลื่นเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าคนสร้างทุ่มเทลงแรงไปไม่น้อย
ห่างจากม้าไม้ไปไม่ไกลจะเป็นโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง บนนั้นมีของเล่นอย่างพวกธนูและกลองป๋องแป๋งวางกระจาย
บนกำแพงข้างโต๊ะ เจียงวั่งมองเห็นของตกแต่งชิ้นแรกตั้งแต่ที่เดินเข้ามาในบ้านหลังนี้ เป็นภาพวาดเล็กๆ ภาพหนึ่ง ด้านบนวาดรูปคนสามคนเอาไว้ด้วยลายเส้นพู่กันแบบเด็กๆ
สองคนในนั้นตัวใหญ่ จูงมือคนตัวเล็กคนหนึ่ง กำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้
ด้านหลังคนร่างเล็กยังมีสุนัขตัวน้อยที่กำลังส่ายหัวดุกดิกอีกตัวหนึ่ง
นี่เป็นครอบครัวหนึ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์ ฤดูใบไม้ผลิทั้งฤดูเคยเบ่งบานอยู่ในที่แห่งนี้
เจียงวั่งฝืนใจเดินเข้าไปต่อ จนมาถึงเตียงเตี้ยตัวเล็กๆ และมองเห็นเศษชิ้นส่วนเสื้อผ้าที่มีลวดลาย
พอมองขึ้นไป เขาก็พบโครงกระดูกสุดท้ายในบ้านหลังนี้อย่างที่ควรจะเป็น
โครงกระดูกนี้เล็ก แบบบาง อ่อนแอ และโดดเดี่ยวไร้การช่วยเหลือ
นั่นคือสิ่งเดียวที่เหลือทิ้งไว้บนโลกนี้ของเด็กหญิงคนหนึ่งที่เคยเป็นแก้วตาดวงใจของบิดามารดา
เขารู้สึกโกรธแค้น เป็นความโกรธที่ไม่อาจระงับไว้และรุนแรงเกินจะเปรียบ
……………………………………….
[1]คำที่ถังตุนใช้เรียกแทนตัวเองคือ อั่น (俺) เป็นภาษาถิ่นทางเหนือ ต่างจากคนอื่นซึ่งปกติใช้ว่า หว่อ (我)