เวลานี้จวนแม่ทัพเตรียมปิดประตูจวน เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นก็ต้องตะลึงพรึงเพริด
“คุณหนูกลับมาแล้วหรือขอรับ?” คนเฝ้าประตูฉงนสนเท่ห์ ทำไมคุณหนูถึงกลับมาล่ะ?
“ท่านพ่อข้าล่ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าธรณีประตู คนเฝ้าประตูรีบตอบว่าอยู่ในห้องโถง ฉีเฟยอวิ๋นจึงมุ่งหน้าไปยังทิศทางนั้น พร้อมกับปล่อยจิ้งจอกหางสั้นลง “พาจิ้งจอกน้อยไปเดินเล่นสิ”
คนเฝ้าประตูงงงวย พาจิ้งจอกเดินเล่นหรือ?
ทั้งยังขี้ริ้วขี้เหร่ปานนี้?
จิ้งจอกหางสั้นหงายหน้ามองคนเฝ้าประตู พลางส่งเสียงร้องด้วยความอดรนทนไม่ไหว
คนเฝ้าประตูรีบพยักหน้า ก่อนจะพาไปเที่ยวเตร่ด้วยกัน
ฉีเฟยอวิ๋นเจอแม่ทัพฉี พลันเห็นอีกฝ่ายตะลึงงัน “อวิ๋นอวิ๋น ทำไมเจ้าถึงกลับมาล่ะ มาเอาสมุนไพรหรือ?”
ใบหน้าอันไร้เดียงสาของแม่ทัพฉีทำให้ฉีเฟยอวิ๋นรื่นรมย์ยิ่งนัก
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้าทะเลาะกับหนานกงเย่ จึงหนีกลับมาเจ้าค่ะ”
“ห๊ะ? เขากล้าทะเลาะกับเจ้าเหรอ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเอามือฟาดโต๊ะ ลุกพรวดขึ้น “บังอาจนะ เมื่อวานพึ่งบอกข้าว่าพวกเจ้าเข้ากันได้ดีอยู่เลย และข้าก็เชื่อเสียด้วยสิ”
“ท่านพ่อเจอเขาเมื่อวานหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นคลางแคลงใจ เมื่อวานไม่ใช่อยู่แต่บ้านหรือ แล้วเอาเวลาไหนมาเจอกัน
แม่ทัพฉีชะงัก พลางนั่งลงอย่างใจไม่เป็นสุข ไม่กล้ามองฉีเฟยอวิ๋น แววตาของเขาเลื่อนลอยในบัดดล
ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถาม “ท่านพ่อมีเรื่องปิดบังข้า?”
“เมื่อวานพ่อไปที่จวนอ๋องเย่ เห็นว่ามีคนอยู่ด้านในเยอะ จึงอยากเข้าไปดูหน่อย ไอ้สารเลวเห็นข้า เลยเชิญข้าไปที่หลังจวน ข้าจึงได้ตามเข้าไป”
“อ่อ?” ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแล้ว ที่เขาหายตัวไปเมื่อวาน ที่แท้ก็อยู่เป็นเพื่อนกับท่านพ่อนี่เอง
“ท่านพ่อ หลังจวนมีอะไรหรือเจ้าคะ?”
“ก็ไม่มีอันใด แค่เดินเล่นเฉยๆ สักพักเขาก็ส่งข้ากลับจวนแม่ทัพ จากนั้นก็กลับไป” แม่ทัพฉีตอบด้วยความสัตย์จริง
ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ “ประตูใหญ่มีคนมากมาย เขาส่งท่านตรงนั้นหรือเจ้าคะ?”
“จวนอ๋องเย่ของพวกเจ้ามีประตูหลัง” แม่ทัพฉีสงสัย “อวิ๋นอวิ๋นไม่รู้หรือ?”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้จริงๆ
แม่ทัพฉีรู้สึกว่าบรรยากาศพิลึกนัก รู้สึกใจไม่เป็นสุขเล็กน้อย “หากเขามา เจ้าอย่าบอกว่าข้าเล่าให้ฟังนะ”
“ท่านพ่อ งั้นท่านจะสนใจเรื่องของพวกข้าไหม?”
แววตาฉีเฟยอวิ๋นแปลกชอบกล แมีทัพฉีรู้สึกเลอะเลือน “แล้วเจ้าอยากให้พ่อก้าวก่ายไหมล่ะ?”
“ท่านพ่อไม่ต้องสนใจนะเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นกำชับ
แม่ทัพฉีถาม “เขาดีกับเจ้าไหม?”
“ดีเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าก็จะไม่ก้าวก่ายแล้ว”
แม่ทัพฉีสุขฤทัยยิ่งนัก ทั่วทั้งเมืองหลวง ไม่มีใครเทียบหนานกงเย่ได้เลย จึงทำให้เขารู้สึกลำพองใจไม่น้อย
ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวว่ายังไม่ได้ทานข้าว จากนั้นทั้งจวนแม่ทัพก็เริ่มยุ่งกันอลหม่าน ครึกครื้นราวกับฉลองเทศกาลตรุษจีนอย่างไรอย่างนั้น ต่างเตรียมอาหารให้ฉีเฟยอวิ๋นอย่างขะมักเขม้น
ยังไม่ทันเตรียมเสร็จ หนานกงเย่ก็มาถึงประตูจวนแม่ทัพเสียแล้ว
อาอวี่ยืนเคาะประตูอยู่ด้านนอก
มีเสียงลอยออกจากด้านในจวนแม่ทัพว่า “เชิญมาพรุ่งนี้เช้า ยามนี้พักผ่อนกันหมดแล้ว”
“พวกเราเป็นคนของจวนอ๋องเย่” อาอวี่กล่าวอย่างอนาทรร้อนใจ
คนเฝ้าประตูเหลียวไปมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนของจวนอ๋องเย่
หลังเปิดประตู อาอวี่พลันหลบไปอีกทาง เชิญหนานกงเย่ย่างเท้าเดินเข้าไป คนเฝ้าประตูเห็นหนานกงเย่ก็รีบเดินเข้าไปหา “ท่านอ๋อง”
“พระชายาล่ะ?” หนานกงเย่ไม่อยากพูดไร้สาระ กล่าวประโยคเดียวจบก็เริ่มเดินต่อ
คนเฝ้าประตูกล่าวว่า “คุณหนูหิวแล้วพ่ะย่ะค่ะ กำลังเตรียมตัวเสวยพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่มุ่งหน้าเดินเข้าด้านในจวนแม่ทัพ เมื่อกวาดสายตามองแล้วก็เห็นแสงไฟสว่างเจิดจ้า หากติดตัวหนังสือ คำว่า สิริมงคล ด้วยก็จะเสมือนการเฉลิมฉลองพิธีแต่งออกเรือน เห็นข้ารับใช้ขยันขันแข็งทำงานด้วยหน้าระรื่น
“แค่กินข้าวก็ต้องยุ่งเพียงนี้เลยหรือ?” หนานกงเย่เดินเข้าประตูเรียบร้อยแล้ว คนเฝ้าประตูก็ปิดประตูทันควัน
อาอวี่ที่ตามหลังอยู่ถามว่า “ท่านอ๋อง วันนี้พวกเราจะพักที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ข้าเคยรับปากว่าจะทำพิธีพาตัวเจ้าสาวกลับบ้านแม่หลังแต่งงาน แต่ข้าลืม วันนี้ก็ถือว่าทำพิธีนี้แล้วกัน พักที่นี่เถอะ”
“เช่นนั้นข้ากลับไปบอกพ่อบ้านนะพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
อาอวี่กลับไปยังจวนอ๋องเย่ ส่วนหนานกงเย่ก็เข้าไปหานาง
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังดูเครื่องยาในโรงเก็บยาสมุนไพร จวนแม่ทัพจัดสรรเครื่องยามาเพิ่มอีกมากมาย จึงเต็มทั่วทั้งโรงเลย
หมอประจำจวนหลายคนได้ยินว่าคุณหนูกลับจวนแล้ว ต่างพากันมาที่โรงเก็บยาสมุนไพร ด้วยเกรงว่าคุณหนูจะกวาดเครื่องยาไปเสียหมดเกลี้ยง ยามที่ฉีเฟยอวิ๋นดูเครื่องยา เหล่าหมอประจำจวนก็ตามนางไม่ห่าง
ฉีเฟยอวิ๋นเขียนรายการออกมาหนึ่งแผ่น ด้านบนกระดาษเขียนชื่เครื่องยาที่นางต้องการ เพราะถึงแม้จวนอ๋องเย่จะไม่ขาดแคลนเครื่องยา ทว่าในนั้นล้วนแต่เป็นเครื่องยาราคาแพง บางอย่างจวนอ๋องเย่จึงไม่มี
หลังฉีเฟยอวิ๋นจัดแจงออกมา หมอประจำจวนก็ช่วยจัดเตรียม
เครื่องยาพวกนี้ล้วนไม่มีราคากระไร บรรดาหมอประจำจวนจึงโล่งใจไปหนึ่งเปราะ
เมื่อออกจากโรงเก็บยาสมุนไพร นางเห็นหานกงเย่ยืนอยู่ด้านนอกพลันหยุดก้าวเดิน
“คุณหนูขอรับ”
หมอในจวนบางคนยังไม่รู้จักหนานกงเย่ เมื่อเห็นคนแปลกหน้าแล้วจึงมองฉีเฟยอวิ๋นต่อ
หนานกงเย่ยืนมือไพล่หลัง ใช้แววตาที่ต่างไปจากเดิม ถามขึ้นว่า “ทำไม ข้าว่าอะไรหน่อยก็กลับบ้านมารดา เห็นข้าแล้วยังไม่ทำความเคารพอีก?”
“ท่านอ๋อง?”
หนึ่งในหมอประจำจวนรู้จักหนานกงเย่ รีบเดินไปเบื้องหน้า จากนั้นสองมือประสานแล้วทำความเคารพ
“ข้าน้อยคารวะท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่ไม่อินังขังขอบ มองฉีเฟยอวิ๋นต่อ
ฉีเฟยอวิ๋นเดินอ้อนเพื่อจะจากไป หนานกงเย่หน้ามืดครึ้ม “หยุดเดี๋ยวนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดเดิน ก่อนจะหมุนกายไปมอง เหล่าหมอประจำจวนเริ่มพะว้าพะวัง ปกติคุณหนูก็ไม่ใคร่เป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องเย่อยู่แล้ว หรือว่าต้องการจะปลดภรรยา มาปลดถึงจวนแม่ทัพเลยหรือนี่?
“เจ้าแอบออกนอกเมือง ข้าว่านิดว่าหน่อย เจ้าก็ชักสีหน้าใส่ข้าแล้วหรือ?” หนานกงเย่ก้าวเท้าไปด้านหน้าฉีเฟยอวิ๋นแล้วหลุบตามองนาง ทว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่ตอบ
“ข้าเป็นห่วง”
หนานกงเย่คลายมือจากด้านหลัง ก่อนจะโอบกอดฉีเฟยอวิ๋นไว้ในอ้อมแขน
เหล่าหมอประจำจวนมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ตกลงมาปลดภรรยาหรือว่ามารับภรรยากันแน่?
“ท่านให้ข้ากลิ้ง(ไสหัวไป)ไม่ใช่หรือ ข้าเห็นว่าพื้นทั้งเย็นทั้งโสมม คงกลิ้งไม่ได้ จึงกลับจวนแม่ทัพ อย่างน้อยท่านพ่อข้าก็ไม่ให้ข้ากลิ้งหรอก”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเสียงเรียบเฉย หนานกงเย่ใช้แรงกอดนางแนบแน่น “ข้าปากพล่อยเอง”
“……” หมอประจำจวนตะลึงลาน นี่ยังเป็นท่านอ๋องเย่ผู้ยโสโอหังอยู่หรือ?
“ท่านจะให้ข้าไสหัวไปอีกไหม?” ฉีเฟยอวิ๋นถามกระจ่างแจ้งมาก
“ไม่แล้ว”
“อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
ฉีเฟยอวิ๋นอยากผละออกจากอ้อมแขน จึงดันหนานกงเย่ครั้งหนึ่ง ทว่าหนานกงเย่ไม่ยอมปล่อย
“ตอนที่ข้าเข้ามา คนเฝ้าประตูจวนเรียกข้าว่า ท่านอ๋อง และเรียกเจ้าว่า คุณหนู ในเมื่อออกเรือนแล้วก็ไม่ต้องเรียกว่าคุณหนูอีก นอกเสียจาก……”
“ความหมายของท่านอ๋องก็คือ ข้าออกเรือนแล้ว กลายเป็นคนของจวนอ๋องเย่ หากเรียกท่านว่า ท่านอ๋อง เช่นนั้นต้องเรียกข้าว่า พระชายา หากเรียกข้าว่า คุณหนูก็ต้องเรียกท่านว่า ท่านเขย”
“ท่านเขย”
“ท่านเขย”
เหล่าหมอประจำจวนรีบเรียกขาน ไม่เข้าใจยามนี้ แล้วจะรอเข้าใจเมื่อใด?
“ตามสบายเถอะ”
หนานกงเย่จูงมือฉีเฟยอวิ๋นไปทานข้าวด้วยความพึงพอใจ ฉีเฟยอวิ๋นสั่งการว่า “ช่วยข้าจัดเตรียมเครื่องยาพวกนั้นให้ดี ประเดี๋ยวข้าจะนำไป”
“วันนี้ไม่กลับแล้ว พักที่นี่แหละ พวกเจ้าจัดเครื่องยาไว้ พรุ่งนี้ถึงจะนำกลับไป”
หนานกงเย่เดินนำหน้าด้วยอารมณ์เบิกบาน
ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า “ท่านจะพักหรือ?”
หนานกงเย่ถาม “ไม่ได้หรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้เอ่ยสิ่งใด ไปกินข้าวพร้อมกับเขาที่ห้องรับประทานอาหาร
แม่ทัพฉีก็ถูกบ่าวไพร่เชิญมา คืนนี้มีคนร่วมโต๊ะจำนวนมาก เหล่ารองแม่ทัพใต้อำนาจของแม่ทัพฉีก็มาร่วมด้วยทั้งหมด
ตอนแรกคนอื่นรู้สึกระมัดระวังตัวด้วยความตะขิดตะขวง ทว่าเห็นหนานกงเย่ไม่ได้วางมาดจึงผ่อนปรนในเวลาต่อมา
มีคนรินสุราให้หนานกงเย่ ซึ่งเขาไม่ได้บอกปัด ทว่าถูกฉีเฟยอวิ๋นห้ามปรามไว้
“ดื่มมากไม่ดีเพคะ พรุ่งนี้ยังต้องเข้าราชการช่วงเช้าอีก ท่านลุง ท่านอาปล่อยเขาไปเถอะเจ้าค่ะ” ฉีเฟยอวิ๋นร้องขอ คนอื่นจึงไม่ชวนดื่มอีก
ทุกคนล้วนกระยิ้มกระย่องชอบใจ หลังกินข้าวเสร็จเตรียมจะจากไป ยังคงพูดเป็นต่อยหอย กล่าวว่าคุณหนูเจอฟ้าหลังฝนที่สดใสแล้ว
แม่ทัพฉีส่งแขกเหรื่อเสร็จรู้สึกเวียนศีรษะ ฉีเฟยอวิ๋นจึงส่งเขาไปพักผ่อน จากนั้นก็พาหนานกงเย่เข้าห้องนอน
ห้องนอนของฉีเฟยอวิ๋นผ่านการต่อเติมมาแล้ว ไม่เพียงแต่กว้างขวาง ทั้งยังสบายตา ไม่รกรุงรังอีกด้วย
ฉีเฟยอวิ๋นชอบความเรียบง่าย ดังนั้นจึงไม่ค่อยเห็นเครื่องตกแต่งมากนัก
หนานกงเย่เข้าห้องนอนของฉีเฟยอวิ๋นครั้งแรก พลางอดประหลาดใจไม่ได้
เมื่อเข้าไปถึง หนานกงเย่เดินสำรวจหนึ่งรอบ เมื่อเดินมาด้านหน้าโต๊ะก็เห็นขวดตั้งตระหง่านไว้มากมาย ก็ไม่ได้ต่างกับจวนอ๋องเย่ที่มีแต่ขวดยาสมุนไพรเต็มไปหมดเท่าใดนัก
สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ มีกระดาษหลายแผ่นที่มีแท่นฝนหมึกวางทับไว้ ซึ่งด้านบนเขียนอักษรไว้หลายตัว
ทะเลทุกข์ไร้ขอบเขต กลับใจคือฟากฝั่ง
หนานกงเย่มองอักษรพวกนั้นสักพัก พลางเอื้อมมือไปลูบ “เจ้าเคยทำผิดกระไร ไยต้องกลับใจด้วย?”
“แค่เขียนเล่นเฉยๆเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้บอกความจริง จัดแจงเครื่องนอนเสร็จสรรพก็เตรียมพักผ่อน
หนานกงเย่เข้ามาสวมกอดนางด้านหลัง “ข้าไม่เชื่อ?”
“ไม่เชื่อก็ไม่เชื่อเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นเคยให้เขาเชื่อที่ไหน
ฉีเฟยอวิ๋นขึ้นไปที่เตียง ถอดเสื้อชั้นนอกออก วันนี้เหนื่อยมากแล้ว อยากพักผ่อนแต่เช้า
หนานกงเย่เห็นนางถอด เขาก็ถอดอาภรณ์บนกายอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ
และถือโอกาสกางมุ้งแล้วตามฉีเฟยอวิ๋นขึ้นเตียง
หลังดับตะเกียง พ่อบ้านก็แอบมาด้อมๆมองๆ ตั้งใจฟังเสียงด้านใน และแล้วก็เกิดเสียง ปัง!
ไม่รู้ว่าสิ่งใดมากระแทกบานประตู พ่อบ้านสะดุ้งตกใจ รีบหมุนตัวจากไป
อาอวี่มองจากที่ไกลแวบหนึ่ง แม้แต่เขายังเข้าใกล้ไม่ได้เลย เพราะท่านอ๋องไม่เคยให้ใครเข้ามานั่นเอง
นอนพักผ่อนมาหนึ่งคืน หนานกงเย่ก็ตื่นแต่เช้า ฉีเฟยอวิ๋นเห็นเขาสวมใส่เสื้อขุนนาง
“ท่านพกชุดขุนนางมาด้วยหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาพลันเห็นเขาสวมชุดขุนนางสีดำขลับ บบหน้าอกปักมังกรห้าเล็บที่เหาะเหินบนเมฆา ดวงตาคมกริบคล้ายกับจ้องมองผู้อื่นอย่างเดือดดาล เป็นภาพที่เสมือนจริงมาก ประหนึ่งสามารถพุ่งทะยานออกมากลืนกินเมฆหมอกได้ ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก
“อาอวี่เอามา ข้าต้องเข้าวัง รอข้ากลับมาแล้วค่อยไปหาตุ๊กแก ห้ามออกไปอีก”
“ข้าไม่ออกนอกเมือง เดินเล่นในเมื่อได้หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นงัวเงียเพราะยังไม่ตื่นเต็มที่ สุ้มเสียงก็ไม่ได้ดังเท่าใดนัก
“ไปนานสุดก็สองชั่วยาม ห้ามเกินเด็ดขาด” หนานกงเย่กล่าวจบก็หมุนกายเดินออกนอกประตู ฉีเฟยอวิ๋นพลิกตัวนอนต่อ เมื่อฉุกคิดถึงเรื่องที่รับปากอาอวี่ไว้ พอหันไปมองอีกทีก็ไม่เห็นหนานกงเย่แล้ว จึงได้แต่นอนต่อ
ฉีเฟยอวิ๋นตื่นเช้าทานอาหารเสร็จก็ออกจากจวนแม่ทัพ ยังไม่ลืมพกเครื่องยากลับไปด้วย
กลับถึงจวนอ๋องเย่ ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปดูหงเถากับลี่ว์หลิ่ว ทั้งสองคนไม่ได้มีงานกระไร หลังพบฉีเฟยอวิ๋นแล้วก็ทักท้วงไม่ได้ฉีเฟยอวิ๋นออกไป โน้มน้าวให้อยู่ในจวน จะได้ไม่ถูกท่านอ๋องตำหนิติฉิน
ทันใดนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็นึกขึ้นได้ นางกลับมาเช่นนี้ คนในจวนคงคิดว่านางกลับมาเอง ไม่มีผู้ใดเรียกนางกลับมา
หลังกินมื้อเย็นเสร็จ ฉีเฟยอวิ๋นก็ออกไปด้านนอกโดยที่มีอาอวี่คอยติดตาม และไว้จิ้งจอกหางสั้นไว้ในจวน
ตอนที่ผ่านร้านขายยาสมุนไพรก็เห็นมีคนวิ่งเข้าไปด้วยความตะลีตะลานในขณะที่ร้องไห้ฟูมฟาย พอถึงธรณีประตูก็สะดุดล้มไม่เป็นท่า
เมื่อลุกขึ้นจากธรณีประตูแล้วก็ร้องหาหมอด้วยความลุกลน
ฉีเฟยอวิ๋นหยุดเดินแล้วยืนมองสักพัก หมอด้านในกล่าวว่า “ไม่ใช่ข้าไม่ไปกับเจ้า แต่ข้าไม่มีวิธีจริงๆ ข้ารักษาฮูหยินบ้านเจ้าไม่ได้”
“แต่ก็ต้องไปดูเสียหน่อยกระมัง”
คนผู้นั้นตาลีตาเหลือกประหนึ่งเสือติดจั่น ร้องไห้น้ำตาอาบเต็มหน้า ทว่าไม่ว่าจะพูดเช่นไรหมอร้านยาสมุนไพรท่านนี้ก็ไม่ยอมช่วยเหลือ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกอยากเข้าไปกระทืบนัก
“เจ้าไปเถอะ ข้าไม่มีวิธีรักษาจริงๆ”
หมอหันหลังเดินเข้าไปด้านใน ผู้มาเชิญหมอเป็นคนเยาว์วัยอายุประมาณยี่สิบต้นๆ เขาร้องไห้กลับไปพลาง ปาดน้ำตาไปพลาง