

ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหลังไปตามถนน และมาถึงที่หน้าประตูจวนแห่งหนึ่ง ด้านบนประตูเขียนไว้สามคำเขียนว่า:จวนซือคง

ซือคง ?

ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมมีข้อมูลมากมาย แต่ไม่มีความทรงจำนี้ ฉีเฟยอวิ๋นเดาว่าเจ้าของร่างเดิมน่าจะจำได้แค่หนานกงเย่และจวินฉูฉู่ ส่วนคนอื่น ๆ นางจำไม่ได้เลย

แต่จวนที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนจวนธรรมดาทั่วไป เป็นจวนที่ใหญ่และซับซ้อนมาก เพียงแต่ดูซอมซ่อไปหน่อย

“อาอวี่ เจ้ารู้จักหรือไม่ ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้ และไม่แน่ใจว่าอาอวี่รู้หรือไม่

เป็นไปอย่างที่คาดไว้ อาอวี่รู้จัก เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า:“ที่นี่เป็นจวนของอดีตเสนาบดีกรมโยธาธิการ จวนของซือคงเซียงพ่ะย่ะค่ะ”

“จวนของอดีตเสนาบดีกรมโยธาธิการ ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีความทรงจำใด ๆ เลย

“แล้วอย่างไรล่ะ ?”

“ก่อนหน้านี้เขาเสนอเรื่องการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำตู้ฟางจุนของต้าเหลียง การสร้างอ่างเก็บน้ำไม่สอดคล้องกับการระบายน้ำของชลประทาน เขากล่าวว่าการระบายอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมได้ ต้องทดน้ำเข้านาหนึ่งพันไร่ แต่ก็มีความยุ่งยากแฝงอยู่ นั่นคือหิมะที่สะสมในฤดูหนาว เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิแม่น้ำที่เป็นน้ำแข็งจะละลายจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง และเขื่อนก็จะอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นอันตราย น้ำแข็งที่ละลายจะทำให้เขื่อนพัง เขาต้องการให้ราชสำนักจัดสรรเงินเพื่อทำลายเขื่อนตู้ฟางจุนแล้วสร้างใหม่

ในตอนนั้นเรื่องนี้ถูกคัดค้าน และในที่สุดเขาก็ถูกกล่าวโทษ และตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ในบั้นปลายชีวิตจนเป็นอย่างเช่นตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”

อาอวี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย:“ซือคงเซียงซื่อสัตย์สุจริตมาตลอดชีวิต และเป็นเสนาบดีที่ดีคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่เขายืนกรานที่จะทำลายเขื่อนตู้ฟางจุน เรื่องนี้ทำให้ประชาชนต้องตรากตรำทำงานและสิ้นเปลืองงบประมาณของแผ่นดิน ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ได้รับการสนับสนุนจากราชสำนัก และมีคนที่คัดค้านเขาจำนวนมาก”

ฉีเฟยอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“เช่นนั้นในตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีเงินและกำลังลำบาก ดังนั้นหมอพวกนั้นจึงไม่เต็มใจที่จะช่วยเขา”

“จะกล่าวเช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” อาอวี่ก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“ไปเคาะประตู ข้าจะเข้าไปดูหน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นสั่ง อาอวี่จึงก็เดินไปเคาะประตู ตราบใดที่ยังไม่ได้ออกจากเมืองจะพูดอะไรก็ได้

หลังจากเคาะประตูได้อยู่สักพัก หญิงสาวที่อยู่ด้านในก็ออกมา เป็นคนที่ไปพบหมอก่อนหน้านี้

เมื่ออีกฝ่ายเห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าก็รู้สึกประหลาดใจ:“พวกท่านคือ ?”

“พวกเราแค่ผ่านมาและอยากจะเข้าไปดื่มน้ำ พวกเรากระหายน้ำมาก” ฉีเฟยอวิ๋นอธิบาย คนผู้นั้นเต็มใจที่จะช่วยเหลือ และเชิญฉีเฟยอวิ๋นเข้าไป

ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปและดื่มน้ำ นางได้ยินเสียงคนไออยู่ตลอดเวลา การไอเช่นนี้ดูเหมือนว่าจะไอออกมาจากปอด นางจึงถามว่า:“บ้านของเจ้ามีคนเป็นวัณโรคหรือ ?”

“……เป็นฮูหยินของบ้านข้า” ในขณะที่เขาพูด หญิงสาวก็ร้องไห้

ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า:“พวกเจ้าไม่ไปหาหมอหรือ ?”

“ไปหามาแล้ว แต่ที่บ้านเราไม่มีเงิน จึงไม่มีใครมาตรวจดูให้ และยังบอกว่าเป็นโรคติดต่อ รักษาไม่หาย” หญิงสาวยังคงร้องไห้ ด้วยความเสียใจ

ฉีเฟยอวิ๋นมองเข้าไปด้านในอยู่ครู่หนึ่ง และสังเกตว่าในบ้านมีคนรับใช้เพียงแค่คนเดียว

“เจ้าพาข้าไปดูฮูหยินของบ้านเจ้าหน่อย ข้าเป็นหมอ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างราบเรียบ

หญิงสาวปาดน้ำตาและเบิกตากว้างขึ้นในทันที แต่ดูเหมือนว่านางจะไม่เชื่อ

ฉีเฟยอวิ๋นไม่พูดไร้สาระกับนาง:“หากเจ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ไปเถอะ ข้าจะไปดูหน่อย หากข้าไม่สามารถตรวจดูได้ เจ้าก็ไล่ข้าออกไปเสีย”

ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามเสียงนั้นไป

หญิงสาวไม่ได้ขัดขวาง และไม่นานฉีเฟยอวิ๋นก็เข้าไปในห้องที่กว้างและโล่ง ในห้องหนาวมาก มีคนนั่งห่มผ้าอยู่บนเตียง สีหน้าของนางเหลืองเหมือนเทียนไขและไอ

เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋น นางก็ประหลาดใจ:“หญิงสาวบ้านไหนหรือ ?”

แม้ว่าหญิงชราจะอายุหกสิบเจ็ดสิบแล้ว แต่แววตาใช้ได้เลยและหน้าตาดูไม่ธรรมดาเลย

“ข้าเป็นหมอที่คนรับใช้ของท่านเชิญมา”

ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าไปหาหญิงชราและหยิบผ้าเช็ดหน้ามาพันรอบจมูก วัณโรคเป็นโรคติดต่อ ในยุคปัจจุบันสามารถรักษาได้ แต่ในสมัยโบราณนั้นยังไม่แน่ใจ

“อาอวี่ เจ้าอย่าเข้ามา วัณโรคเป็นโรคติดต่อ”

อาอวี่เป็นกังวล:“พระ……”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่อาอวี่ และอาอวี่ก็หุบปากในทันที

“เจ้าไปรอข้าอยู่ที่หน้าประตู”

ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลงและจับชีพจรของหญิงชรา หญิงชราไม่ได้ไอมากขนาดนั้นแล้ว

ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มใช้สมาธิเพื่อตรวจดูอาการ นางขมวดคิ้วแน่น หญิงชราผู้นี้ไม่เพียงแต่เป็นวัณโรค แต่ยังขาดสารอาหารด้วย หัวใจของนางก็ไม่ค่อยดีนัก และขาของนางก็เย็นมาก

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ขาของหญิงชรา:“ท่านเป็นอัมพาตมานานแค่ไหนแล้ว ?”

“หลายปีแล้ว” หญิงชรากล่าวอย่างราบเรียบ

“คุณชายต้องเป็นเทพแน่ ๆ ข้ายังไม่ได้บอก ท่านก็ดูออกแล้ว ?” หญิงสาวรีบพูด

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เห็นด้วย นางปล่อยมือแล้วกล่าวว่า:“หัวใจของท่านไม่ดี บางครั้งท่านจะแน่นหน้าอกและหายใจลำบาก วัณโรคจะมีอาการไอ ท่านมีอาการขาเย็นและขาดสารอาหาร ไม่ง่ายเลยที่ท่านอดทนมาได้จนถึงตอนนี้ ท่านเข้มแข็งมาก”

“สาวน้อย เจ้าพูดมาตามตรงเถิด ข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เมื่อวานข้าอาเจียนเป็นเลือด” หญิงชรามองไปทางอื่น และไม่ใส่ใจกับความเป็นความตาย

“คนอื่นอาจจะคิดว่าอยู่ได้อีกไม่เกินสามวัน แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น อีกสามปีก็ไม่เป็นปัญหา” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างมั่นใจ

“หา ?” หญิงชราตกตะลึง

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“มีพู่กันกับกระดาษหรือไม่”

“มีเจ้าค่ะ”

หญิงสาวรีบไปหาและไม่นานก็นำมาให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเขียนใบสั่งยาสองตำรับและส่งให้อาอาอวี่:“ใบหนึ่งนำไปให้หมอประจำจวน ส่วนอีกใบหนึ่งนำไปให้คุณชายทัง แล้วเขาจะจัดเตรียมให้ เจ้ารีบไปรีบกลับ ข้าจะรออยู่ที่นี่”

“พ่ะย่ะค่ะ”

อาอวี่รีบจากไป หญิงชราถามอย่างพินิจพิจารณา:“เจ้าดูไม่เหมือนหมอเลย”

“ข้าพูดอย่างไม่ปิดบัง ข้าเป็นบุตรสาวของท่านแม่ทัพฉี” ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง หญิงชราตกใจและเกือบจะร้องไห้:“เจ้าเป็นบุตรสาวของท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่”

“ข้าเอง”

“หญิงสาวด้านนอกนั่นน่ะหรือ ?” หญิงสาวรีบถาม

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้หลบเลี่ยง:“ข้าเอง”

“แต่เหตุใดท่านจึงแตกต่างจากที่เขาเล่าลือกัน ?” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะถาม

“เอาล่ะ ไม่ต้องถามแล้ว หากยังถามอีกข้าจะไล่เจ้าออกไป ไมมีมารยาทเสียจริง ออกไปเถอะ ไปดูว่านายท่านกลับมาตกปลาแล้วหรือยัง” หญิงชราสั่ง จากนั้นหญิงสาวก็หันหลังจากไป

ฉีเฟยอวิ๋นพูดคุยกับหญิงชรา หญิงชรามองอย่างพินิจพิจารณา:“ได้ยินว่าท่านแต่งงานแล้วหรือ ?”

“ใช่ ท่านอ๋องของจวนอ๋องเย่” ฉีเฟยอวิ๋นตอบทุกคำถาม

หญิงชรายิ้ม:“ชื่อเสียงของท่านข้างนอกไม่ค่อยดีนัก ท่านอ๋องเย่ทรงหยิ่งทะนง ท่านคงได้รับความลำบากไม่น้อยเลยใช่หรือไม่?”

“ก็ดี ในตอนนี้เขาปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี” ฉีเฟยอวิ๋นยิ้ม

หญิงชราไม่ได้พูดอะไรต่อ ไม่นานอาอวี่ก็กลับมา ฉีเฟยอวิ๋นมองดูยาในมือของเขา แล้วถามว่า:“คุณชายทังไม่มาหรือไม่ ?”

“มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่คุณชายทังบอกว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนีก คนในจวนมีเป็นจำนวนมาก จึงไม่สามารถใช้จ่ายเงินได้มากเกินไป ดังนั้นเขาจึงนำเงินรายเดือนของพระชายาไปใช้เป็นค่าอาหารและเครื่องนุ่งห่ม รวมทั้งฟืนและถ่านหินด้วยพ่ะย่ะค่ะ” อาอวี่อธิบาย อย่างเห็นอกเห็นใจ

ฉีเฟยอวิ๋นจึงคำนวณดูคร่าว ๆ

“แค่นั้นก็พอแล้ว เอาไปใช้ก่อนเถอะ”

หลังจากได้รับยาแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปต้มยา ทังเหอพาคนนำรถม้ามาส่งให้ที่หน้าประตู และไม่นานก็มาถึงลานบ้าน

แต่ทังเหอไม่ได้เข้ามา และนำตนกลับไปก่อน

ฉีเฟยอวิ๋นรู้ดีว่าไม่สามารถรับความช่วยเหลือได้ตลอดทั้งวันไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ครั้งหนึ่งสองครั้งก็พอไหว แต่เป็นไปไม่ได้ตลอดชีวิต

ฉีเฟยอวิ๋นอยู่เฝ้าให้หญิงชรากินยาก่อน หลังจากที่กินยาแล้ว หญิงชราก็รู้สึกดีขึ้นมาก นางไม่ได้กินยามานานมากแล้ว นางรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น อาการแน่นหน้าอกและหายใจลำบากก็ดีขึ้นด้วย นางรู้สึกถึงว่าหายใจได้สะดวกมากขึ้น

หญิงชรากล่าวอย่างซาบซึ้งว่า:“ท่านแม่ทัพเป็นคนดี ข้าเคยโชคดีได้พบมาหลายครั้ง เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และกล้าหาญ ต้าเหลียงมีคนเช่นนี้ นับว่าเป็นโชคดีของต้าเหลียงแล้ว”

“ท่านยกย่องเกินไปแล้ว ท่านพ่อของข้าเป็นผู้บัญชาการทหาร เขาไม่มีความคิดอื่นใด มันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องรับใช้ราชสำนักและฝ่าบาท” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างราบเรียบ แต่จู่ ๆ หญิงชราก็เงียบไม่พูดไม่จา

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ:“ท่านรู้สึกไม่สบายอีกแล้วหรือไม่ ?”

หญิงชราส่ายหัว:“ข่าวลือข้างนอกกล่าวว่าบุตรสาวของท่านแม่ฉีกำเริบเสิบสาน ไม่รู้จักอาย และเป็นหญิงที่ชั่วช้า แต่วันนี้ข้าได้เห็นแล้ว และรู้ว่าข่าวลือนั้นไม่สามารถเชื่อถือได้”

“ก่อนที่จะแต่งงาน ข้าก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง ทำลายชื่อเสียงของท่านพ่อ หลังจากแต่งงานแล้วข้าจึงเข้าใจว่าแท้จริงแล้วในโลกนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี และบรรดาผู้ที่ปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี ข้าจำเป็นจะต้องรักษาไว้”

“อืม สมเหตุสมผล ท่านแม่ทัพฉีช่างโชคดียิ่งนัก”

เมื่อหญิงชรากล่าวเช่นนั้น ฉีเฟยอวิ๋นก็นึกบางอย่างขึ้นได้:“ฮูหยิน ขาของท่านเย็นจนไม่สามารถขยับได้แล้ว เอาเช่นนี้ ข้าจะตรวจดูและลองฝังเข็มให้ท่าน”

“เช่นนั้นก็ลำบากใจท่านแล้ว”

หญิงชรานอนลง ฉีเฟยอวิ๋นเรียกให้คนมาเตรียมเตาอั้งโล่ เพื่อทำให้ภายในห้องอบอุ่นขึ้น จากนั้นก็ฝังเข็มให้หญิงชรา หญิงชราไม่ค่อยมีความรู้สึกมากนัก แต่ฉีเฟยอวิ๋นเชื่อว่าหากทำหลาย ๆ ครั้ง อาการก็จะดีขึ้น

หลังจากอยู่ที่นี่มาทั้งวัน ฉีเฟยอวิ๋นก็กำลังจะจากไปแล้ว

“ข้าต้องกลับแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่ ฮูหยินอย่าลืมกินยาและยาบำรุงนะเจ้าคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นออกจากจวนซือคง และกลับไปที่จวนอ๋องเย่ วันนี้หนานกงเย่กลับมาช้า

เมื่อหนานกงเย่กลับมาแล้ว หลังจากที่ทานอาหารเย็น ทั้งสองก็ไปดูดวงจันทร์และนับดาวที่ข้างนอกและพูดคุยกัน

ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า:“วันนี้มีอะไรเกิดขึ้นในราชสำนักหรือเพคะ ?”

“เกิดเรื่องขึ้น” สีหน้าของหนานกงเย่ดูเคร่งขรึม ราวกับว่าเขากำลังเจอปัญหา

ปกติเมื่อกลับมาแล้ว เขาจะต้องล่มตัวนางลงนอน แต่วันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขากำลังเจอกับปัญหา

“เรื่องอะไรเพคะ ?” เดิมทีนางไม่อยากถามแต่ก็อดไม่ได้ แม้จะรู้ว่าไม่สามารถช่วยอะไรได้แต่ก็ยังอยากจะถาม

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร วันนี้เจ้าออกไปข้างนอกมาหรือ ?” หนานกงเย่ไม่บอกเพราะเกรงว่านางจะเป็นกังวล ฉีเฟยอวิ๋นจึงไม่ถามต่อ

เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นค่ำคืนที่เงียบสงบที่สุดของทั้งสองคน

และพักผ่อนได้มากกว่าปกติ

ในตอนเช้าตรู่ ฉีเฟยอวิ๋นเฝ้ามองดูหนานกงเย่เปลี่ยนเสื้อผ้าและจากไป

หลังอาหารเช้า ฉีเฟยอวิ๋นกลับไปที่จวนท่านแม่ทัพ และจ่ายเงินบางส่วนในบัญชี จากนั้นก็ไปที่จวนซือคง

วันนี้เมื่อเข้าไปในจวน ฉีเฟยอวิ๋นก็เห็นชายชราผมขาวยืนอยู่ที่หน้าประตู แม้ว่าเขาจะแก่และอ่อนแอ แต่ชายชราก็ยังดูมีสง่าราศี เขายืนเอามือไพล่หลัง แววตาดูลึกล้ำ และมองมาที่รถม้าของจวนอ๋องเย่

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นรอยปะบนเสื้อผ้าของเขาจำนวนมาก สวมเสื้อผ้าเช่นนี้แล้วยังดูมีสง่าราศี ช่างน่านับถือเสียจริง

“คารวะท่านคงซือ”

ฉีเฟยอวิ๋นก้มตัวลง ซือคงเซียงมอง:“เชิญเสด็จเข้าไปข้างในพ่ะย่ะค่ะพระชายาเย่”

“เชิญท่านคงซือ”

ทั้งสองเข้าไปด้านใน อาอวี่ถือของและเดินตามหงเถากับลี่ว์หลิ่วไป สาวใช้ทั้งสองมีความสุขมาก ตั้งแต่เกิดมาพวกนางยังไม่เคยออกมาจากจวนอ๋องเย่เลย และวันนี้ก็ได้มาที่จวนซือคง