บทที่ 111 ต้านทานเพียงลำพัง

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 111 ต้านทานเพียงลำพัง
บทที่ 111 ต้านทานเพียงลำพัง

ฟิ้ววว!

กระบี่บินแปรเป็นกระบี่บินถึงห้าเล่มขณะทะยานฝ่าไปในท้องฟ้า

กระบี่บินที่ปรากฏล้วนมีสีสันต่างกันประกอบด้วยสีแดง สีเขียว สีคราม สีเหลืองและสีม่วง หลังจากทะยานออกไป กระบี่ได้ก็แปรขบวนเป็นค่ายกลบงกชห้าสีลอยอยู่กลางอากาศทันที ทั้งปลดปล่อยกลิ่นอายพิฆาตอันน่าสะพรึงกลัวกระจายวาบ มีเสียงกรีดแหลมเกิดขึ้นในพื้นที่บริเวณใกล้เคียง ทั้งเศษกระดูก โต๊ะ ม้านั่งและเสาหินที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ถูกทำลายกลายเป็นฝุ่นผง

ทันใดนั้นบรรยากาศในห้องโถงที่แต่เดิมว่างโล่งกลายเป็นภาพของนรกน่าสยองขวัญสั่นประสาท เสียงโหยหวนของกระบี่ที่แหลมคมเสียดแทงแก้วหูดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ประหนึ่งเสียงคร่ำครวญของภูตผีฟังดูวังเวงอย่างน่าเหลือเชื่อ

“กระบี่ผสานปัญจอสุรี!” ความตกตะลึงฉายวาบในแววตาของหลิงไป๋ทันทีที่เห็นค่ายกลบงกชห้าสี ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นความขึ้งโกรธ ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินนายเก่ากล่าวถึงผู้ฝึกเต๋าวิถีมารที่มีการฝึกทักษะกระบี่ชนิดนี้ มันถูกขัดเกลาขึ้นจากวิญญาณพยาบาทของคนที่ตายพร้อมกับกิเลสห้าประการ โกรธ ทะนงตน ปรารถนา ริษยาและอวิชชา

กระบี่ทุกชนิดต้องใช้วิญญาณห้าหมื่นดวงนำมาขัดเกลาเป็นกระบี่มารทั้งห้าเล่ม และเมื่อมารวมกันก็จะได้กระบี่ผสานปัญจอสุรี เมื่อใดที่ขัดเกลากระบี่สำเร็จจะสามารถกลั่นพลังเทพแห่งมาร ซึ่งเทียบได้กับสมบัติวิเศษระดับสวรรค์ขั้นสุดยอด

เมื่อมองเห็นซูเหลิ่งใช้กระบี่นี้ แล้วจะไม่ให้หลิงไป๋รู้ได้อย่างไรว่ามีชีวิตที่ต้องตายอย่างทุกข์ทรมานแล้วถึงสองแสนห้าหมื่นชีวิตเพราะชายผู้นี้!

“เฉินซี ปล่อยให้ข้าจัดการทางนี้เอง!” หลิงไป๋ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดสุดเสียงก่อนจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉับพลันนั้นเองพลังนิพพานที่ปกคลุมอยู่รอบร่างกายได้แผ่กระจายไป จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ ที่มีความกว้างกว่าสิบจั้งฟาดลงไปยังเบื้องล่างอย่างรุนแรง!

เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด เฉินซีก็เคลื่อนไหวไปทางซูติงอี้กับพวกที่อยู่ไม่ไกลอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดที่ลอยละล่องไปมาเหมือนรอจังหวะที่จะตอบโต้อยู่แล้ว

ไม่ว่าหลิงไป๋หรือเฉินซีก็มีปฏิกิริยาตอบสนองฉับไวเหมือนกับว่าได้ตกลงกันมาก่อน และทันทีที่ซูเหลิ่งออกคลื่อนไหว พวกเขาก็เลือกคู่ต่อสู้ของตัวเองตามความถนัดได้โดยปริยาย

นี่แหละคือการต่อสู้!

การต่อสู้ที่ชี้เป็นชี้ตาย!

ไม่มีเวลาพูดพล่ามทำเพลง ไม่มีเวลาคิดพิจารณา มันคือบททดสอบประสบการณ์ในการต่อสู้ รวมทั้งความรวดเร็วในการตอบสนอง การออกตัวช้าไปเพียงก้าวเดียวอาจหมายถึงทั้งชีวิต!

หลิงไป๋นั้นเมื่อได้หลอมรวมกับกระบี่ไผ่ทองคำนิล พลังบ่มเพาะก็เทียบได้กับพลังขอบเขตเคหาทองคำทีเดียว อีกทั้งภายในยังมีกระบี่แดนนิพพานขั้นสูง เมื่อต้องประมือกับซูเหลิ่งที่มีพลังขอบเขตเคหาทองคำ เขาจะไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน

และข้าจะต้องจัดการกับพวกซูติงอี้ให้เร็วที่สุด จากนั้นค่อยไปช่วยหลิงไป๋จัดการกับซูเหลิ่ง! เวลานี้เฉินซีรู้สึกว่าเจตนาสังหารพลุ่งพล่านขึ้น และตั้งใจแน่วแน่ที่จะยุติการต่อสู้ให้จบเร็วที่สุด

ฆ่ามัน!

เสียงกระบี่ท่องปรภพแปดเล่มครางกระหึ่มดังกังวาน ขณะที่กลายเป็นธารประทีปเจิดจ้า แรงกระเพื่อมดั่งกระแสน้ำที่ซัดสาดในยามพุ่งเข้าหาซูติงเยวี่ยนผู้ที่อยู่ใกล้ที่สุด

กระนั้นพวกซูติงอี้ทั้งหกก็ตอบสนองรวดเร็วไม่ต่างกัน พวกเขาหยิบสมบัติวิเศษของตัวเองออกมา แล้วเปลี่ยนเป็นกระบี่บินเตรียมรับมือทันทีหากซูเหลิ่งถูกโจมตี

ทั้งหกคนเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งสิ้น ถึงแม้พลังความแข็งแกร่งของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่พวกเขาล้วนผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน ทำให้การร่วมมือร่วมใจในการต่อสู้เกิดขึ้นโดยปริยาย

ในเวลาที่เห็นเฉินซีพุ่งตัวเข้าจู่โจม สิ่งนี้ก็เป็นไปดั่งที่พวกเขาคาดเดาไว้ กระบี่บินฉีกท้องฟ้าทั้งหกเล่มพร้อมด้วยเสียงกรีดก้องดังสนั่นตามมา

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ทันใดนั้นพลังแห่งกระบี่ก็พุ่งทะยานออกไป กระบี่บินแต่ละเล่มมีความแตกต่างกัน ทั้งทรงพลังดั่งมังกร ทะยานดุจคลื่นลม เยือกเย็นประหนึ่งสายฝนหรือร้อนระอุดั่งเปลวเพลิง ขณะที่เหินทะยานในลักษณะสอดส่ายไขว้กันก็ปลดปล่อยลำแสงกระบี่ออกมามหาศาล เป็นกระแสธารกวัดแกว่งไปมาทั่วทุกทิศทาง และเมื่อทะยานเข้าฟาดฟันเฉินซีก็เปรียบเสมือนแหยักษ์จนยากที่ผู้ใดจะหลีกเลี่ยง

เจ้าเด็กนั่นตายแน่!

ซูติงอี้และคนอื่นมั่นใจในการร่วมมือในครั้งนี้เป็นอย่างมาก ต่อให้ต้องสู้กับผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง พวกเขาก็สามารถยืนหยัดได้ระยะหนึ่ง นับประสาอะไรกับเฉินซีที่มีพลังขอบเขตตำหนักอินทนิลที่ด้อยกว่ามากโข ฮ่า ๆ สังหารเจ้านี่ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก!

ขณะนั้นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายก็เกิดขึ้น…

บัดนี้ร่างของเฉินซีที่มีกระบี่ท่องปรภพแปดเล่มห้อมล้อม พลันพุ่งเข้าปะทะกับลำแสงกระบี่เหล่านั้นอีกด้วย ร่างของชายหนุ่มนั้นรวดเร็วยิ่งยวดจนเกือบจะมองเห็นแค่เงาโปร่งแสง แทบเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวกับสายลม เขาเคลื่อนตัวกลับไปกลับมาระหว่างช่องว่างเล็ก ๆ ของลำแสงกระบี่มากมาย และมุ่งตรงไปด้วยความเร็วสูงสุด!

“รวดเร็วอะไรเช่นนี้!”

“เต๋าแห่งสายลม!”

“ทักษะนี้มันคืออะไรกันแน่”

ม่านตาของพวกซูติงอี้หดเกร็ง กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวช้าลงแต่อย่างใด ต่างคนต่างควบคุมกระบี่บินฟาดลงไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง มันถาโถมลงมาดั่งพายุ ทำให้เกิดลำแสงกระบี่หนาแน่นขึ้น

ฟู่! ฟู่!

สิ่งนั้นทำให้บนร่างกายของเฉินซีปรากฏรอยบาดแผลฉกรรจ์ กระทั่งโลหิตสดไหลซึมออกมา!

เจ้าโง่! คิดหรือว่าการเข้าถึงเต๋าแห่งสายลมแล้วจะใช้ความเร็วของตัวเองตั้งหน้าบุกตะลุยเข้ามาได้ เจ้ารนหายที่ตายเอง!

ซูติงอี้และพวกมองเห็นเช่นนั้นจึงพากันเผยรอยยิ้มเยาะเย้ย แต่ต่อมาก็ได้เห็นกับตาว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเฉินซี กลับฟื้นคืนสภาพเดิมจนแทบไม่เหลือร่องรอย ราวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภาพลวงตา

ความสามารถในการสร้างแขนขาขึ้นได้ใหม่… เจ้าหนุ่มคนนี้มันใช้ทักษะแปรสภาพกายาขอบเขตตำหนักอินทนิลจริง ๆ!

“ตายเสียเถอะ!” ทันใดนั้นเฉินซีก็เข้ามาประชิดข้างตัวซูติงเยวี่ยน อีกทั้งกระบี่ท่องปรภพได้ก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขั้นหนึ่ง พร้อมฟาดลงไปยังคนที่อยู่เบื้องหน้าโดยตรง

“ปราการแยกภูผาทลายฟ้าดิน” ซูติงเยวี่ยนไม่คาดคิดเลยว่าจู่ ๆ เฉินซีจะฝ่าวงล้อมเข้ามาประชิดตัวเองจริง ๆ ทว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็ว่องไวยิ่งนัก ทันใดนั้นปราการใหญ่ที่มีความสูงกว่าหนึ่งจั้งก็ปรากฏต่อหน้าคนผู้นั้น พร้อมเสียงระเบิดดังอึกทึกขึ้นมาทันที

เหนือปราการประหลาดมีอักขระยันต์ปกคลุมและได้ปลดปล่อยแสงสีเหลืองหม่นแผ่ซ่านออกไป ด้วยพลังภูตผีทุกข์เข็ญที่สิงสถิตอยู่ข้างใน เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้คือสมบัติวิเศษอันน่าเกรงขามพร้อมกับอำนาจป้องกันอย่างน่าตกใจ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เหนือความคาดหมายของซูติงเยวี่ยนคือแปดกระบี่ท่องปรภพพร้อมใจกันหยุดนิ่งอย่างกะทันหัน จากนั้นก็พุ่งเป้าไปที่ซูติงหลงด้วยเสียงดังเสียดหู

“เจ้านั่นมันฉลาด มันรู้แก่ใจว่าไม่มีทางเคลื่อนย้ายพลังอำนาจแห่งปราการแยกภูผาทลายฟ้าดินของข้าได้… อ๊ากกกกก!” พลันกระแสแห่งความเจ็บปวดก็แล่นเข้าสู่จิตวิญญาณของซูติงเยวี่ยน มันทวีความรุนแรงขึ้นไปถึงศีรษะ ขณะเดียวกันเจ้าตัวก็เริ่มรู้สึกเวียนหัว

“ระวัง!”

“พวกงี่เง่า! มัวยืนทำอะไรอยู่? ฮะ?!!”

“จบเห่แน่!”

ซูติงเยวี่ยนตัวสั่นสะท้านทันทีที่เสียงตะโกนดังมาเข้าหู และรับรู้ได้ว่าตนกำลังเผชิญกับสภาวะที่จิตวิญญาณถูกคุกคามเสียแล้ว ถึงกระนั้นทันทีที่รู้สึกตัว สายตาก็เหลือบเห็นกำปั้นใหญ่ลูกหนึ่งพุ่งมาปรากฏในคลองจักษุอย่างรวดเร็ว…

เปรี้ยง!

สิ้นเสียง ศีรษะของซูติงเยวี่ยนก็ถูกซัดแหลกเละกลายเป็นเศษเนื้อปลิวกระจัดกระจาย ส่วนร่างก็ล้มตึงฟาดลงไปกับพื้นทันที

โผละ! โผละ!

เมื่อซูติงเยวี่ยนถูกทุบศีรษะจนแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี ยามนี้ซูติงหลงที่อยู่ไม่ไกลก็ได้เผชิญหน้ากับสถานการณ์เป็นตายเช่นกัน

แรกเริ่มเดิมทีเห็นว่าซูติงเยวี่ยนกำลังเพลี่ยงพล้ำ เขาจึงตั้งใจจะไปช่วยเหลือ แต่ไม่คิดว่ากระบี่บินทั้งแปดของเฉินซีจะเปลี่ยนทิศทางพุ่งมาที่ตนเอง ทำให้เขาไม่มีเวลาตั้งรับพอที่จะนำกระบี่บินออกมาใช้ป้องกันตัว

ถึงกระนั้นก็สายเสียแล้ว ค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสขึ้นชื่อในเรื่องความรวดเร็วเกินพิกัด อีกทั้งยังเป็นค่ายกลระดับล้ำลึก ในขณะที่กระบี่ท่องปรภพแปดเล่มเป็นศัสตราระดับมนุษย์ เมื่อถูกพวกมันเข้าปิดล้อม จะทำให้ทั้งคนทั้งกระบี่บินถูกสับละเอียดเป็นผุยผงไปทันที แทบไม่ทันได้ส่งเสียงร้องสักแอะก่อนตาย!

บัดนี้ซูติงเยวี่ยนกับซูติงหลงสิ้นชีพไปแล้ว ผู้ฝึกบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำสองคนถูกทำลายด้วยฝีมือของเฉินซี ชายหนุ่มเคลื่อนไหวว่องไวมากและสถานการณ์การต่อสู้ก็ประหลาดมากด้วย คนทั้งสี่แทบจะไม่ได้ตอบโต้ได้เลยด้วยซ้ำ!

ตอนแรกเมื่อเห็นเฉินซีพุ่งเข้าใส่อย่างอุกอาจ คนอื่นจึงพากันเข้าใจผิดหาว่าเขาคงโง่เง่าเต็มที ทว่าความจริงแล้วตั้งใจที่จะทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นว่าจะจู่โจมเป้าหมายหนึ่ง ในขณะที่เล็งไปยังอีกเป้าหมายหนึ่ง ทำให้ศัตรูเกิดความสับสน เขาทำสองสิ่งในเวลาเดียวกันเพื่อจะได้ลงมือสังหารคนสองคนในทันที!

การกระทำที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว การลงมือสังหารอย่างเหี้ยมโหด รวมทั้งความเจ้าเล่ห์ในการใช้อุบาย ทำให้ซูเหลิ่งที่กำลังประมือกับหลิงไป๋ถึงกับตกตะลึง ใครจะคาดคิดว่าเฉินซีจะใช้อุบายในการต่อสู้ได้อย่างแยบยล นับว่าเขาเป็นคนเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง เขาเก่งมากที่เอาชนะผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำสองคนด้วยพลังบ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิล!

ความจริงแล้วเฉินซีใช้ข้อได้เปรียบของตัวเองจนถึงขีดจำกัดเท่านั้น

ใครจะนึกว่า เขาไม่เพียงมีทักษะแปรสภาพกายาทั้งที่มีพลังแค่ขอบเขตตำหนักอินทนิล แต่กระทั่งทักษะแปรสภาพกายาก็ยังไปถึงขอบเขตตำหนักอินทนิล ซึ่งสามารถรักษาอวัยวะแขนขาที่ถูกทำลายลงด้วยได้

ใครจะคิดว่าเขาจะใช้ทักษะหายากอย่างการจู่โจมดวงวิญญาณ

ใครจะนึกว่าพลังค่ายกลกระบี่ของกระบี่ท่องปรภพทั้งแปดจะร้ายกาจเช่นนี้

ทั้งหมดทั้งมวลสามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะการลงมือก่อนที่ศัตรูจะทันตั้งตัว!

“ทุกคนระวังตัวด้วย ไอ้เด็กนั่นมันมีทั้งพลังบ่มเพาะกายาและการบ่มเพาะปราณภายใน แข็งแกร่งทั้งทักษะค่ายกลกระบี่และการต่อสู้ จงผนึกกำลังกันเพื่อแก้แค้นให้ติงเยวี่ยนกับติงหลง!” เสียงของซูติงอี้คำรามด้วยโทสะ

ทันใดนั้นกระบี่บินของเขาก็แปลงสภาพเป็นมังกรขนาดมหึมา ซึ่งมีความยาวกว่าสิบจั้งเหมือนมีชีวิตจริง หนวดและกรงเล็บยาวเหยียด ท่าทางสง่าน่าเกรงขามทั้งดุดันและทรงพลัง อีกทั้งยังปรากฏเปลวเพลิงลุกโชนพุ่งวาบออกมาด้วย

“มังกรเพลิงสะบั้นพายุ!” ในเวลานั้นบนท้องฟ้าปรากฏร่างของมังกรไฟขนาดมหึมาทะยานขึ้นสูง จากนั้นส่วนหางที่ใหญ่โตพลันพุ่งใส่เฉินซีที่ยืนอยู่บนพื้นล่างอย่างดุดัน

“พิฆาตเจ็ดมาร!”

“กระบี่สยบอสุรพฤกษาที่สอง!”

“ดับอัสนีบาต!”

ขณะนั้นซูติงเว่ย ซูติงคงและซูติงโหรวไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป ทั้งหมดจำต้องเผยไม้ตายน่าเกรงขามที่สุดออกมาพร้อมกัน ทันใดท้องฟ้าในระยะร้อยจั้งปรากฏทั้งทักษะวิชาต่าง ๆ ทักษะกระบี่และสมบัติวิเศษทะยานขึ้นไป แรงสั่นสะเทือนส่งให้ท้องฟ้าเป็นเสียงคำราม

เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!

สายฟ้าฟาดลงตรงห้องโถงใหญ่เหนือคณานับ พลังปราณกระบี่สีม่วงเข้มในรูปลักษณ์มังกรเพลิง ทักษะเคลื่อนที่ว่องไวปานสายฟ้ารวมทั้งกระบี่มหึมาสีฟ้าคราม… การจู่โจมกระแทกลงมาหลายครั้งคราส่งผลให้ที่พื้นดินเกิดเป็นโพรงขนาดใหญ่หลายโพรงทันที ฝุ่นควันสิ่งสกปรกลอยขึ้นไปในอากาศและพื้นดินที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม กระแสลมพัดพามาปะทะเข้ากับผนังรอบด้านจนทำให้เกิดเสียงดังอื้ออึง

ราวกับว่าเฉินซีได้คาดไว้แล้วว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ภายหลังจากที่กำจัดซูติงเยวี่ยนกับซูติงหลงแล้ว เขาก็ทะยานร่างขึ้นสูงแล้วใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานผลักลำแสงออกไปด้วยความรวดเร็ว

เนื่องจากเขาใช้โอกาสที่มีอยู่จึงไม่ส่งผลต่อความรวดเร็วของตนเลยแม้แต่น้อย และก่อนที่พลังจู่โจมเหนือศีรษะจะพุ่งลงมา ชายหนุ่มก็ทะยานไปไกลกว่าหกลี้แล้ว ที่นั่นเขาพบว่าหลิงไป๋กำลังต่อสู้อยู่กับซูเหลิ่ง!

“ไอ้ตัวซวยนั่นมันรู้ว่าควรจะใช้ความไวหลบหลีกอย่างไร ฮึ่ม!” ซูติงอี้ไม่วายกัดฟันกรอดด้วยความจงเกลียดจงชัง สายตาเขม้นมองลำแสงทั้งสามที่พุ่งออกไป ถ้าคนทั้งสามสามารถสังหารมันได้ เฉินซีคงตายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

“ไม่ได้แน่! เราจะให้ยอมให้ท่านลุงซูเหลิ่งเป็นคนสังหารมันไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเราจัดการไอ้เด็กน้อยนั่นไม่ได้ เช่นนั้นพวกเราอยู่ไปก็คงไร้ประโยชน์!”

“ใช่แล้ว! พวกเราลงมือพร้อมกัน ติงเยวี่ยนและติงหลงต้องมาตายเปล่าไม่ได้!”

“ฆ่ามัน!”

ซูติงอี้ออกนำ จากนั้นร่างทั้งสี่ก็พุ่งวาบพร้อมเสียงดังสนั่นครั่นครืนไล่ตามเฉินซีไปอย่างกระชั้นชิด

ถึงกระนั้นคนทั้งหมดเพิ่งทะยานออกไปได้ราวสามสิบจั้งเศษ จากนั้นพวกเขาก็จับสังเกตได้ว่าเฉินซีที่เหินอยู่ไกล ๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว และค้นหาอย่างไรก็ไม่พบ!

“หรือมันอาจจะใช้ยันต์เร้นกายา”

“เป็นไปได้อย่างไร ถ้าเป็นยันต์เร้นกายา หากข้าใช้ญาณจิตค้นหามันคงเจอไปนานแล้ว!”

“อาจเป็นสมบัติวิเศษกำบังอย่างนั้นหรือ ไม่น่าใช่ พวกสมบัติวิเศษมักมีคลื่นพลังวูบวาบต่อให้กายเนื้อหายไป แต่จะปิดบังคลื่นพลังนั้นไม่ได้!”

กลุ่มพวกซูติงอี้ทั้งสี่ต่างสับสนและไม่แน่ชัดว่าจะทำอย่างไร แต่ทุกคนเคยมีประสบการณ์กับวิธีการต่อสู้แบบเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดของเฉินซีมาก่อน พวกเขาจึงมีท่าทีตื่นตัว เนื่องจากเกรงว่าเฉินซีจะเล่นไม่ซื่อด้วยการอ้อมมาตลบหลัง

ความเป็นจริง เฉินซียังคงอยู่ที่นั่นและนิ่งไม่ไหวติง เพียงแต่เขาใช้วิชารัศมีไร้ร่องรอยที่สามารถซ่อนเร้นกายาและระงับกลิ่นอาย ทักษะอันน่าอัศจรรย์นี้เป็นทักษะล้ำค่าที่ได้มาจากที่พำนักของเซียนกระบี่นั่นเอง หากมิใช่ผู้ฝึกบ่มเพาะพลังชั้นสูง ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะค้นหาเขาได้พบ ข้อเสียก็คือเขาต้องไม่ขยับเขยื้อนเท่านั้น หากเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ทั้งกายเนื้อและกลิ่นอายจะแผ่ซ่านออกมาทันที

แต่ถึงกระนั้นตราบใดที่ใช้อย่างถูกที่ถูกทาง วิชารัศมีไร้ร่องรอยจะยังคงเป็นวิชาที่ใช้ในการซ่อนเร้นและการลอบสังหารอย่างยอดเยี่ยมที่สุด

เฉินซีนิ่งเฉยไม่กระดุกกระดิก ภายหลังจากที่เห็นว่าจะไม่ถูกพวกซูติงอี้ทั้งสี่สุ่มโจมตีตนแน่แล้ว ชายหนุ่มจึงหันไปสนใจสถานการณ์ต่อสู้ระหว่างหนุ่มน้อยหลิงไป๋กับซูเหลิ่งแทน