บทที่ 112 ทำลายสิ้นซาก
บทที่ 112 ทำลายสิ้นซาก

พลังของซูเหลิ่งที่บรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยางแล้วน่ากลัวอย่างแท้จริง กระบี่บินทั้งห้าที่สร้างจากวิญญาณอาฆาตที่ตายลงด้วยกิเลสมาบรรจบกัน ปราณกระบี่หนาแน่นเสียจนแทบหลั่งไหล ส่งกลิ่นสาบของปีศาจร้ายและความตายออกมาอย่างรุนแรง ราวกับฝูงปีศาจที่กำลังแตกฮือไปพร้อมกับเปล่งเสียงร้องโหยหวน เพียงแค่นี้ก็พอที่จะทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตตำหนักอินทนิลธรรมดารู้สึกหวาดกลัว

ยิ่งกว่านั้นซูเหลิ่งที่กำลังเหินไปมามองเห็นเงาวูบวาบขณะอยู่ที่หนึ่ง และต่อมามันก็ไปปรากฏขึ้นอีกที่ห่างไปสิบจั้งเศษ ราวกับภูตผีที่ชำนาญในการหลีกหลบและซ่อนเร้น

ทว่าตอนนี้เฉินซีสนใจเจ้าหนุ่มน้อยหลิงไป๋ต่างหาก

ขณะนี้เขากลายร่างเป็นกระบี่ไผ่ทองคำนิลที่มีความยาวราวห้าสิบชุ่นแล้ว ลักษณะไม่เหมือนกับกระบี่ที่เฉินซีเคยใช้ กระบี่ไผ่ทองคำนิลตอนนี้มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ จากนั้นก็แตกเปรี้ยงขณะที่สายฟ้าฟาดลงมา ความเย็นยะเยือกแห่งการทำลายล้างของสายฟ้ากับคลื่นพลังเจิดจ้ามหาศาลของกระบี่แดนนิพพานหลอมรวมเข้าด้วยกัน

มันพุ่งกวาดผ่านอุปสรรคกีดขวางทั้งหลาย ทุกครั้งที่กระบี่ฟาดออกไปจะเกิดสายฟ้าเป็นเส้นโค้ง อีกทั้งพลังหยางที่มีอำนาจทำลายล้างรุนแรงปะทะกับกระบี่ผสานปัญจอสุรีของซูเหลิ่ง กระทั่งฝ่ายหลังสั่นเทิ้มพร้อมกับส่งเสียงโหยหวนดังมาเป็นระยะ

ในสวรรค์และโลก สายฟ้ามีบทบาทในการลงทัณฑ์และชะล้างความชั่วร้ายกับสิ่งอัปมงคล!

กระบี่ไผ่ทองคำนิลที่มียาวราวห้าสิบชุ่นนั้น ทุก ๆ หนึ่งร้อยปีจะยาวขึ้นมาหนึ่งชุ่น เมื่อประสบกับสายฟ้าที่เกรี้ยวโกรธและต้นที่ยังอยู่รอด ภายในจะอัดแน่นไปด้วยพลังสายฟ้าที่ยิ่งใหญ่และไร้ขอบเขต ก่อนหน้านี้เมื่ออยู่กับเฉินซี เขายังใช้มันไปไม่ถึงเศษเสี้ยวของพลังที่มีเลยด้วยซ้ำ

ขณะที่กระบี่แดนนิพพานไม่ใช่ทั้งเป็นหรือตาย ทว่าเป็นนิรันดร์ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสู่ความสงบ ทุกครั้งที่จู่โจมด้วยกระบี่ทุกอย่างจะสงบนิ่งและปรากฏเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน อีกทั้งยังไม่อาจป้องกันได้

เมื่อนำสองสิ่งนี้มารวมกัน แม้ว่าพลังบ่มเพาะของหลิงไป๋จะไม่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเท่าพลังของซูเหลิ่ง แต่ในฐานะที่เป็นสายใยทางจิตวิญญาณกระบี่ที่สืบทอดเต๋ากระบี่แห่งแดนนิพพาน ทั้งยังครอบครองกระบี่ไผ่ทองคำนิลดุจกายาของตนเอง ทำให้เขาระเบิดพลังการต่อสู้ออกมาได้อย่างน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเฉินซี ที่ครอบครองทักษะการบ่มเพาะพลังมากมายและมีความสามารถเปี่ยมล้น!

เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง สถานการณ์การต่อสู้ระหว่างหลิงไป๋กับซูเหลิ่งก็เข้าสู่ภาวะจนมุม ทำให้เฉินซีกับพวกซูติงอี้ถึงกับจิตใจไหววูบ

“เจ้านั่นมันเป็นสมบัติวิเศษหรือเป็นคนกันแน่ น่ากลัวอะไรเช่นนี้ กระบี่ผสานปัญจอสุรีของท่านลุงซูเหลิ่งเป็นสมบัติล้ำค่าจากความพินาศร้ายกาจมากมาย เหตุใดตอนนี้ยังทำลายคู่ต่อสู้ไม่ได้”

“มันเป็นจิตวิญญาณกระบี่อย่างนั้นหรือ ดูเหมือนไม่น่าจะใช่ จิตวิญญาณกระบี่จะควบคุมตัวเองได้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันจะเป็นสมบัติวิเศษที่มีสติปัญญา แต่… ดูเหมือนจะมีแต่วัตถุโบราณในตำนานเท่านั้นที่สามารถครอบครองพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จริงไหม”

“มันต้องเป็นสมบัติวิเศษที่มีความพิเศษอย่างแน่นอน! เมื่อใดที่ท่านลุงซูเหลิ่งปราบมันได้สำเร็จ ข้าเชื่อว่าพลังความแกร่งกล้าของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นอีก!”

“ถูกต้อง การบ่มเพาะพลังเต๋าแห่งการต่อสู้ของท่านลุงซูเหลิ่งบรรลุขอบเขตเต๋าแห่งรู้แจ้งแล้ว ทั้งยังถ่องแท้ในมรรคายมโลกสามารถควบคุมดวงวิญญาณและสิ่งอัปมงคลได้ ก็เหมือนกับการมาเยือนของเทพแห่งภูตผีนั่นแหละ เป็นพญายมกลับชาติมาเกิด ช่างน่าเกรงขามนัก ถ้าถามความเห็น …ข้าคิดว่าอีกไม่นานหรอกเขาต้องเป็นฝ่ายชนะ!”

พวกซูติงอี้สื่อสารผ่านทางกระแสปราณพลางก็กวาดสายตาสังเกตไปทั่วบริเวณอย่างระมัดระวัง ขณะจับตามองฉากการต่อสู้อันยิ่งใหญ่ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกถ่ายทอดความรู้สึกข้างใน ตอนนี้พวกเขาหยุดค้นหาเฉินซีชั่วครู่

นี่คือมรรคายมโลก ไยคนผู้นี้จึงเข้าถึงวิถีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเคยไปเยือนยมโลกและได้พบกับพญายมมาแล้ว นึกแล้วเฉินซีก็ตกใจไม่น้อย ภายในมิติที่สาม ถ้าจะพูดถึงสถานที่ที่ไม่มีอยู่จริงก็เห็นจะเป็นมิติเซียน และถ้าจะพูดถึงสถานที่ที่น่ากลัวและสยดสยองที่สุด เห็นจะเป็นยมโลกนั่นเอง

การเวียนว่ายตายเกิดในยมโลกมีด้วยกันหกภูมิ แดนปรภพลำน้ำโลหิต หอส่องบาป พิจารณาโทษทรมาน เผชิญหน้ากับพญายม …และสรรพสัตว์เวียนว่ายไม่รู้จบ

เรื่องเหล่านี้เฉินซีเคยแต่ได้ยินมาทั้งสิ้น มุมมองและประสบการณ์ของเขายังไม่อาจเข้าไปสัมผัสกับสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้

“พวกโง่! มัวยืนทำอะไรกันอยู่ มาช่วยข้าจับมันเร็วเข้า!” เสียงของซูเหลิ่งระเบิดออกมาด้วยความโกรธ เพราะความอวดเก่งและถือดี แรกเริ่มไม่คิดว่าจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพวกซูติงอี้

แต่จวบจนตอนนี้ เขาพบว่าพลังของตนเองถูกคนหรืออะไรสักอย่างต้านทานได้อย่างแข็งขัน ทว่าสิ่งนั้นกลับไม่ใช่คน ดูเหมือนกระบี่แต่ก็ไม่ใช่กระบี่ แม้ว่าจะไม่ถึงกับพ่ายแพ้ ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างน่าประหลาด ครั้นเหลือบไปก็เห็นว่าซูติงอี้กับพวกยืนดูเฉย ๆ นั่นทำให้โทสะเดือดพล่านพลุ่งจนสุดจะยับยั้งจึงระเบิดเสียงคำรามดังลั่น

“แต่ว่า…”

“ท่านลุงซูเหลิ่ง ตอนนี้เฉินซียังซ่อนตัวไม่ปรากฏออกมา…”

“ใช่ ๆ จริงด้วย”

ซูติงอี้และคนของเขานึกไม่ถึงว่าจะถูกซูเหลิ่งตวาดใส่เพื่อขอความช่วยเหลือเช่นนั้น เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจึงพากันตกใจและรีบไขความกระจ่างด้วยท่าทีลนลาน

ชั่วขณะนั้น…

โอกาสนี้แหละ! ประกายเยือกเย็นพุ่งวาบออกจากดวงตาของเฉินซี ขณะที่โคจรปราณจ้าววิญญาณให้แผ่ไปทั่วร่างกาย พร้อมกับฝ่ามือสีเหลืองหม่นผสมสีเขียวขนาดใหญ่ราวสามสิบจั้งพุ่งขึ้นไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว

ฝ่ามือใหญ่ราวภูเขาปัดกวาดทั่วผืนฟ้าแผ่นดิน หมู่ดาวมากมายหมุนโคจรไปรอบ ๆ ฝ่ามือ บังเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้างในบริเวณที่อ้างว้างและหม่นมัวขณะเปล่งคลื่นพลังกระจายออกมา

พลังอิทธิฤทธิ์ — ฝ่ามือมหาดารา!

ระหว่างที่ปิดทวารการบ่มเพาะพลังเพื่อผ่านบททดสอบแห่งสรวงสวรรค์ขั้นที่หนึ่ง ไม่เพียงแต่เฉินซีจะได้ขัดเกลาอักขระจ้าววิญญาณพฤกษาที่สองกับก้าวขึ้นสู่ขอบเขตตำหนักอินทนิลขั้นสองเท่านั้น แต่พลังอิทธิฤทธิ์เช่นฝ่ามือมหาดารายังเกิดการบ่มเพาะในขอบเขตพฤกษาที่สองอีกด้วย

เวลานี้เท่ากับว่าปราณจ้าววิญญาณขั้นปฐพีที่ห้าและปราณจ้าววิญญาณขั้นพฤกษาที่สองของเขาได้เข้าไปอยู่ภายในฝ่ามือมหาดาราแล้ว ทำให้พลังอิทธิฤทธ์เพิ่มขึ้นอีกเกือบสองเท่า ทั้งที่พลังที่มีอยู่หากปะทะกันซึ่งหน้าก็มากพอที่จะต้านทานสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ได้อยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อกระหน่ำจู่โจมอย่างเต็มกำลัง มันจะสามารถบดขยี้สมบัติวิเศษระดับลึกล้ำจนไม่เหลือซากได้อย่างแน่นอน!

อย่างไรเสียฝ่ามือมหาดาราถือเป็นพลังอิทธิฤทธิ์ที่สืบทอดมาจากที่พำนักเซียนกระบี่ และมาจากยุคโบราณจนทั่วโลกต้องตะลึงเช่นนี้แทบจะมลายหายสูญไปแล้ว อีกทั้งในเขตแดนของราชวงศ์ซ่งก็ไม่เคยมีปรากฏให้เห็นมาก่อน

เปรี้ยง!

ทันทีที่ฝ่ามือมหาดาราปรากฏออกมา ฝ่ามือพลันกวาดไปจับตัวพวกซูติงอี้มากำไว้อย่างแน่นหนา โดยไม่เปิดโอกาสให้ต่อสู้ขัดขืนแต่อย่างใด ก่อนจะบีบบี้อย่างโหดเหี้ยม จากนั้นมีเสียงกระดูกลั่นกร๊อบและแตกโผละ ตามมาด้วยการเปล่งเสียงร้องโหยหวนลั่นไปทั้งโถงใหญ่ทันที!

ร่างกายของผู้ฝึกพลังแปรสภาพนั้นเปราะบางแค่ไหนเล่า พวกซูติงอี้สวมทั้งชุดป้องกันอันตรายและผ้าคลุมสำหรับต่อสู้ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ แต่ความแข็งแกร่งของฝ่ามือมหาดารา ทำให้พวกมันไม่ต่างอะไรกับแผ่นกระดาษ

ติ๋ง! ติ๋ง!

เมื่อฝ่ามือมหาดาราคลายฝ่ามือออก ทั้งหยดเลือดเหนียวหนืดและชิ้นเนื้อหล่นลงมากองเป็นเศษเหลวเละอยู่กับพื้นดิน กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งกระจายทั่วห้องโถงกว้างใหญ่

ผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตเคหาทองคำทั้งสี่ถูกฝ่ามือมหาดาราเพียงข้างเดียวบดขยี้เละ!

กระทั่งเฉินซีที่เห็นดังนั้นยังอดหัวใจกระตุกวูบไม่ได้ แม้จะเคยรู้มานานแล้วว่าฝ่ามือมหาดารามีพลังแกร่งกล้าน่ากลัวเพียงใด… กระนั้นเมื่อได้มาเห็นกับตาว่าผู้บ่มเพาะพลังทั้งสี่คนกลายเป็นเศษแหลวแหลก เขาจึงเข้าใจในพลังฝ่ามือมหาดาราได้อย่างที่แท้จริง!

แต่เนื่องจากเขาไม่ได้ออมแรงเลยแม้แต่น้อย ทำให้ปราณจ้าววิญญาณที่ปลดปล่อยออกมาน่ากลัวเช่นกัน เพียงแค่ลงมือจู่โจมครั้งเดียวก็สูญเสียพลังไปเกือบหมดและใกล้จะเหือดแห้งเต็มที

“พลังอิทธิฤทธิ์!”

“สิ่งนี้เป็นพลังอิทธิฤทธิ์ชนิดไหนกันแน่”

ไกลออกไป ซูเหลิ่งที่กำลังกระโดดหนีจากลานกว้างไปได้อย่างหวุดหวิดแผดเสียงดังขึ้น สีหน้าเรียบนิ่งแววตาเย็นชาฉายความประหลาดใจ ก่อนหน้านี้เหตุการณ์เกิดเร็วนัก จนไม่อาจให้ความช่วยเหลือคนทั้งสี่ พวกซูติงอี้จึงถูกบดขยี้แหลกเหลวไปเช่นนี้ เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาเลยจริง ๆ

“ให้ตายเถอะ! สู้กับข้าแต่ยังกล้าวอกแวกไปทางอื่นอย่างนั้นหรือ โอหังเกินไปแล้ว!” เสียงใสแจ๋วของเด็กชายที่ยังไม่โตเต็มวัยของหลิงไป๋พูดขึ้น อีกทั้งท่าทางโกรธขึ้งเป็นฟืนเป็นไฟ ขณะนั้นตัวเองได้กลายสภาพเป็นสายฟ้ากระบี่ฟาดออกไปอีกครั้ง

ฉับพลันนั้นเองเฉินซีก็ออกคำสั่ง ต่อมาฝ่ามือมหาดาราได้แผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลายเป็นฝ่ามือยักษ์ตวัดตบไปที่ซูเหลิ่งอย่างรุนแรง! อันที่จริงเขาตั้งใจจะจู่โจมด้วยฝ่ามือยักษ์ไปพร้อมกับหลิงไป๋ เพื่อหวังจะบดขยี้ซูเหลิ่งในคราวเดียว!

แม้จะไม่รู้ว่าซูเหลิ่งเป็นใคร แต่รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนของตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกร เป็นคนที่บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ทำให้เป็นที่เคารพนับถืออย่างมาก ถ้าตอนนี้ตนสามารถสังหารคนผู้นี้ได้ เช่นนั้นจะเป็นสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสให้แก่ตระกูลซู!

“อยากจะจัดการข้าสินะ เฮอะ… ฝันไปเถอะ!” ซูเหลิ่งเปล่งเสียงตะโกนกึกก้อง จากนั้นผู้พูดโบกมือครั้งหนึ่งพลันปรากฏร่างของร่มมังกรยักษ์เก้าปรก มีอักขระหนาทึบโคจรไปรอบ ๆ ตลอดเวลา และที่ปรกมังกรทั้งเก้าก็เปล่งแสงเป็นประกายเจิดจ้าปกคลุมร่างของซูเหลิ่ง พวกมันอยากจะทะยานออกไปเต็มทนแล้ว

ในเวลาเดียวกันเขาถ่มน้ำลายลงพื้น พลันประกายพร่าวพราวของพลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่กำลังหมุนวนก็เหินออกไป ครึ่งหนึ่งดำอีกครึ่งขาวเป็นตัวแทนของการรวมพลังหยินหยาง พวกมันปลดปล่อยพลังจิตวิญญาณและแก่นแท้ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีทองพุ่งตรงเข้าหาฝ่ามือมหาดาราด้วยเจตนาสังหารแรงกล้า

สมบัติวิเศษระดับปฐพีขั้นกลาง!

พลังแก่นทองคำ!

ใครก็ตามที่ได้มาเห็นภาพนี้เป็นต้องตกตะลึง ไม่มีทางที่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มเฉินซี ซึ่งแท้จริงแล้วมีพลังในขอบเขตตำหนักอินทนิลจะสร้างแรงกดดันให้แก่ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางได้ถึงเพียงนี้

แน่ละ ส่วนหนึ่งเพราะหลิงไป๋ที่ทำงานอย่างหนัก หากไม่มีเขาไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันนี้เฉินซีจะต้องเผชิญหน้ากับหายนะอย่างแน่นอน

เปรี้ยง!

ยามนี้พลังขอบเขตแกนทองคำหยินหยางของซูเหลิ่งช่างน่ากลัวนัก เพียงชั่วขณะมันทำลายฝ่ามือมหาดาราให้แหลกสลายจนหายไปอย่างไร้ร่องรอยโดยง่ายดาย

เปรี้ยง!

ทันใดนั้นร่างลำแสงกระบี่ของหลิงไป๋ประหนึ่งสายฟ้าฟาดลงมา ด้วยพลังสายฟ้ารุนแรงและกระบี่แดนนิพพานเฉือนลงไปบนร่มมังกรยักษ์เก้าปรก มันถึงกับสั่นสะเทือนอย่างแรงและเริ่มส่งเสียงร้องคร่ำครวญ มังกรทั้งเก้าถูกจามจนส่วนแขนขาขาดด้วน ก่อนแปรเป็นกระแสลมผนึกแนบอยู่ภายในปรกของมัน ทว่าพลังฟาดในครั้งนี้หาได้ทำลายการต้านทานของซูเหลิ่งแต่อย่างใด พลังน่าเกรงขามของสมบัติวิเศษระดับปฐพีจึงเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา

“ฆ่ามัน!” สีหน้าของเฉินซีเรียบนิ่ง แม้ว่าฝ่ามือมหาดาราจะถูกทำลายลงแล้วก็ตาม กระบี่ท่องปรภพแปดเล่มพลันก่อค่ายกลกระบี่ธารประทีปเลือนกระแสทันที และเข้าจู่โจมซูเหลิ่งอีกครั้ง มันคงน่าแปลกถ้าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางถูกสังหารโดยง่ายดายนัก

“ให้ตายสิ! เห็นทีว่าข้าต้องเผยไม้ตายของตัวเองบ้างแล้ว!” พลังฟาดของหลิงไป๋ไม่ได้ระคายผิวของมังกรเลย จนทำให้เขาทั้งโกรธและอับอายนัก จากนั้นก็พุ่งวาบพร้อมกับแปลงร่างเป็นหนุ่มน้อยสูงราวสิบชุ่น

“ทุกสิ่งย่อมแปรเปลี่ยน มีชีวิตและไม่มีชีวิต เมื่อปราศจากชีวิตจึงเป็นนิพพาน…” เสียงบทสวดงึมงำดังออกมาจากปากของหลิงไป๋ทันที

พร้อมกันนั้นพลังที่น่าสะพรึงกลัวบางอย่างพรั่งพรูจากทั่วทุกสารทิศไหลเข้าสู่ภายในห้องโถงกว้างใหญ่ พลังที่ว่านี้ไม่ได้ถูกสร้างหรือถูกทำลาย ไม่มีชีวิตหรือตาย ทันใดนั้นบรรยากาศก็กลับสู่สภาวะเงียบสงบ เมื่อโลกถูกสร้างขึ้น ทุกสิ่งล้วนหมดอาลัยตายอยาก อับจนหนทาง ท้อแท้สิ้นหวัง…

เฟี้ยววว!

ร่างของหลิงไป๋ที่สูงสิบชุ่นค่อย ๆ สูงขึ้นทุกขณะ พร้อมกันนั้นรัศมีก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างอย่างหนักหน่วง เพียงชั่วพริบตาร่างนั้นก็กลายเป็นชายร่างสูงราวจั้งเศษ มีดวงตาสีเทาหม่น กลิ่นอายที่แผ่ออกมาปานคลื่นพลังแห่งเทพเป็นนิรันดร์และไม่เอนเอียง!

ขณะนั้นซูเหลิ่งเพิ่งรอดพ้นจากการจู่โจมด้วยค่ายกลกระบี่ของเฉินซี ยังไม่ทันได้หยุดหายใจก็ได้สัมผัสถึงภยันตรายอย่างยิ่งยวดที่โถมใส่ทั้งร่างกายจนหายใจยาก

“นี่มันทักษะชนิดใดกัน” ขณะนั้นสายตาพุ่งตรงไปยังร่างสูงกว่าจั้งเศษของหลิงไป๋อย่างพิจารณา ดวงตาทั้งสองข้างที่ยังหลุบหรี่เป็นช่องว่าง พร้อมกันนั้นก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่น่ากลัวพุ่งวาบออกมาจากร่างของหลิงไป๋ บัดนี้ซูเหลิ่งผู้เต็มไปด้วยความยโสโอหังอยู่เป็นนิจรู้สึกเย็นวาบไปทั่วสันหลังขึ้นมา

‘หนี!’ ฉับพลันความคิดผุดเข้ามาในหัว ซูเหลิ่งทะยานวาบออกไปทันทีโดยไม่ลังเล ในมือกำไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดาราที่ปล่อยแสงระยิบระยับเป็นผนังโปร่งแสง เปิดช่องทางรูปโค้งบิดเบี้ยวทันที

“คิดจะหนีหรือไร” หลิงไป๋เห็นดังนั้นก็ยกยิ้มเย็นเยือก จากนั้นเขาก็ยกฝ่ามือสองข้างมาประกบเข้าหากัน

ฉับพลันของทุกอย่างที่อยู่ภายในบริเวณถูกพลังลึกลับดูดออกไป กระทั่งช่องอากาศก็ค่อยยุบตัวทีละน้อย ๆ ก่อนที่กระบี่สีเทาโปร่งแสงขนาดใหญ่จะพุ่งวาบออกมา

“อภิมหากระบี่แดนนิพพาน!” ขณะนั้นหนุ่มน้อยหลิงไป๋คำรามเสียงกร้าว พลางเผยฝ่ามือที่ดึงเข้าหากันผลักออกไปข้างหน้าอย่างดุดัน!

เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!

ทันทีที่กระบี่โปร่งแสงสีเทาฟาดลงไป เสียงระเบิดของช่องว่างอากาศดังจนแก้วหูสะเทือนกำลังแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้า เดิมทีเฉินซีตั้งใจจะออกไล่ตามซูเหลิ่งไป ทว่าต้องชะงักฝีเท้ากะทันหันด้วยความประหลาดใจ ทักษะกระบี่… สามารถฉีกช่องอากาศออกจากกันได้อย่างนั้นหรือ

โอ้ สวรรค์!

เวลานี้ร่างของซูเหลิ่งยืนอยู่ห่างจากผนังโปร่งแสงและโค้งงอไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ทว่าระยะทางดูใกล้แต่กลับไกลมาก แม้ว่าเขาจะใช้ความพยายามสักเพียงใดก็ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้

ด้วยเหตุว่าบัดนี้ทั้งเส้นผม แขนขา เลือดเนื้อ ร่างกาย… เริ่มแห้งเหี่ยวลงด้วยความเร็วอย่างน่าตกใจ ทั้งยังเป็นไปอย่างเงียบเชียบทว่าน่าสะพรึงกลัว ปราศจากสุ้มเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ากำลังถูกอสูรที่มองไม่เห็นค่อยเขมือบกลืนร่างอย่างช้า ๆ เพียงพริบตาเดียวทั้งร่างก็หายวับไป

เคร้งงงง!

ขณะนี้ไข่มุกเร้นนิรันดร์ลับดารากลิ้งหลุน ๆ ไปบนพื้น