บทที่ 113 รางวัลหลังจากการต่อสู้

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 113 รางวัลหลังจากการต่อสู้
บทที่ 113 รางวัลหลังจากการต่อสู้

การโจมตีด้วยกระบี่เพียงครั้งเดียวทำให้พื้นที่ยุบลงไปทีละนิด และผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง จึงถูกพลังของมันกำจัดและตายไปอย่างเงียบ ๆ ไม่เหลือไว้แม้แต่ซากศพ!

เหตุใดกระบวนท่ากระบี่นี้ถึงน่าสะพรึงกลัว?

การบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ได้บรรลุถึงระดับใด?

แม้ว่าฉากนี้จะเกิดขึ้นในทันที แต่มันก็ส่งผลกระทบต่อหัวใจของเฉินซีเป็นอย่างมาก และจิตใจของเขาก็สั่นคลอน จนไม่อาจกล่าวอันใดอยู่เป็นเวลานาน

เต๋าแห่งกระบี่เช่นนี้คู่ควรแก่การเป็นมหาเต๋าที่ไม่ผู้ใดเทียบได้ภายในสวรรค์และโลก!

แฮ่ก! แฮ่ก!

หลิงไป๋หอบหายใจอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ร่างสูงจั้งเศษของเขากลับคืนสู่ขนาดเดิม ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาซีดเผือดและเหนื่อยล้าสุดขีด แต่หว่างคิ้วยังคงปรากฏความเย่อหยิ่งที่ดูแคลนต่อทุกสิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาพึงพอใจเป็นอย่างมากที่สามารถฆ่าซูเหลิ่งได้

“รีบออกไปเร็ว! หากไม่รีบออกไป ทางออกจะหายไปแล้ว!” หลิงไป๋กระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเฉินซี ก่อนที่จะโบกมือรวบรวมเหล่าสมบัติที่เหลือทิ้งไว้ หลังจากที่ซูเหลิ่งและกลุ่มของคนซูติงอี้ได้ตายไป

เฉินซีแหงนหน้ามองผนังห้องโถงใหญ่ที่กว้างใหญ่ไพศาล เสาหิน และพื้นดินเหมือนกำลังจะล่มสลาย ขณะที่พวกมันสั่นสะเทือนไปมาอย่างรุนแรงจนเกิดรอยแตกจำนวนมาก พวกมันใกล้จะที่พังทลายแล้ว!

บริเวณที่ซูเหลิ่งเสียชีวิต ปรากฏทางเดินที่ผันผวนและโปร่งแสงนำไปสู่ภายนอก เห็นได้ชัดว่านี่เป็นรอยแยกที่ถูกเปิดออกจากพลังกระบี่ที่รุนแรงของหลิงไป๋

ฟิ้ว!

เฉินซีไม่กล้าลังเลอีกต่อไป เขารีบใช้เคล็ดวาตะเหินทะยานทันที ตัวเขาดูคล้ายสายฟ้าในขณะที่พุ่งผ่านทางเดินไปอย่างรวดเร็ว

โครม!

เมื่อร่างของเฉินซีได้จากไป ห้องโถงใหญ่ก็พังทลายลงในทันที กระดูกและซากศพบนพื้นถูกกลืนกินโดยกระแสมิติที่รุนแรงและปั่นป่วน จากนั้นไม่นานก็ถูกสลายจนไม่เหลือซาก

ด้วยเหตุนี้ สุสานกระบี่แดนนิพพานที่ดำรงอยู่นับหมื่นปีจึงได้หายไปอย่างสมบูรณ์ ซูเหลิ่งที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยางที่อายุน้อยที่สุดแห่งตระกูลซู และผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคนต่างก็ล้มตายไปแล้ว หลังจากที่ถูกกลืนกินโดยกระแสมิติที่ปั่นป่วน พวกเขาก็ได้หายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้เลย

ลึกเข้าไปในห้วงทะเลทรายมรณะที่สายลมและพายุทรายโหมกระหน่ำ!

รอยแยกมิติที่มีขนาดยาวหกร้อยจั้งปรากฏขึ้นมาและมีร่างหนึ่งพุ่งออกมา และค่อย ๆ ยืดหยัดบนพื้นอย่างมั่นคง

ช่างน่าหวาดเสียวเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะหลิงไป๋เตือน ข้าคงต้องตายอยู่ข้างในแน่ กระแสมิติที่ปั่นป่วนเช่นนั้นน่าสยดสยองเหลือเกิน!

เฉินซีถอนหายใจยาวเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความรู้สึกหวาดกลัว ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจ ‘ข้าสงสัยว่าปรมาจารย์เหล่านั้นจะสามารถเปิดช่องว่างภายในมิติได้อย่างไร? ความสามารถระดับนี้เปรียบได้กับการย้อนกระแสของมิติ’

“โอ้ พวกเรารวยแล้ว พวกเราเป็นเศรษฐีแล้ว!!” หลิงไป๋บินไปมาอย่างมีความสุขขณะที่กำลังรวบรวมสมบัติวิเศษที่ล้ำค่าเช่นแหวน เข็มขัดและกำไล

สมบัติของคนทั้งหมดถูกรวมเข้าด้วยกัน รัศมีของสมบัติต่างส่องประกายระยิบระยับ และพวกมันก็แกว่งไปมาอยู่ที่ข้างหลังหลิงไป๋คล้ายกับหาง

“โฮก! โฮก!” ไป๋คุยที่ดูเหมือนสิงโตตัวน้อยคำรามราวกับเห็นอาหารอันโอชะชวนน้ำลายสอ และไล่ตามหลิงไป๋อย่างกระตือรือร้น

สมบัติวิเศษมิติกักเก็บที่เก็บมาจากผู้บ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำทั้งหกคน และกำไลหยกสีเขียวนี้เป็นของซูเหลิ่งที่เป็นผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง แล้วสมบัติที่ถูกเก็บไว้ภายในจะมีมากมายถึงเพียงใด? เพียงแค่คิดเฉินซีก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว!

ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ มุมปาก ด้วยการโบกมือ สมบัติวิเศษมิติกักเก็บเหล่านี้ก็ลอยลงมาบนฝ่ามือของเขาและเริ่มจัดเรียงของที่ริบมา

หลิงไป๋กับไป๋คุยหันมามองอย่างกระตือรือร้นด้วยแววตาเป็นประกาย และเจ้าตัวเล็กพวกนี้ก็ชมชอบสมบัติเป็นพิเศษ

กำไลมิติของซูเหลิ่งมีสีเขียวราวกับทางช้างเผือกสีเงินที่มีแสงดาวกระจายซึ่งก่อตัวค่ายกลขึ้นมากมาย เช่น รูปแบบของความเงียบสงบ รูปแบบของการกันธุลี รูปแบบของเพลิงวารี ฯลฯ พลังของรูปแบบเหล่านี้ยังไม่อาจกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่ แต่พวกมันทั้งหมดเป็นรูปแบบที่สามารถใช้งานได้จริง

แต่เฉินซีกลับไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ ก่อนที่จะคว้ามันด้วยมือซ้าย และถ่ายเทปราณแท้ลงบนกำไลเพื่อลบตราประทับวิญญาณออกไป ซูเหลิ่งได้ตายไปแล้ว และตราประทับวิญญาณที่เหลืออยู่บนกำไลย่อมไม่อาจต้านทานพลังของเฉินซีได้

ทันทีที่กำไลมิติถูกเปิดออก หลิงไป๋ก็รีบเข้ามาดูใกล้ ๆ

ฟิ้ว!

เมื่อกำไลมิติถูกเปิดออก ประกายแสงเจิดจ้าที่เกิดจากสีขาวและดำก็สาดแสงออกมา จากนั้นก็กลายเป็นตำราหยกขาวและพู่กันหยกดำ พุ่งเข้าใส่ดวงตาของหลิงไป๋จนทำให้เขาต้องสะดุ้งและรีบถอยกลับอย่างรวดเร็ว

ตำราและพู่กัน?

เฉินซีรู้สึกตกตะลึง เมื่อเห็นสมบัติทั้งสองที่ดูเหมือนจะต้องการหลบหนี เขาก็รีบเอื้อมมือคว้าจับพวกมัน จู่ ๆ พู่กันหยกดำหันขวับกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะฟันปลายพู่กันที่แหลมคมใส่ฝ่ามือของชายหนุ่มอย่างรุนแรง

พลังที่เย็นยะเยือกและดุร้ายฟาดฟันกระแสลมบนท้องฟ้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ!

‘สมบัติเช่นนี้คืออะไร? มันรู้วิธีจู่โจมด้วยหรือ?’ แววตาของเฉินซีส่องประกาย แต่ไม่รีรอรีบกำหมัดแน่น และปราณจ้าววิญญาณก็พลุ่งพล่านในขณะที่ชกออกไปเต็มเหนี่ยว

ตู้ม!

พู่กันหยกดำกระแทกลงกับพื้น ท่าทางของมันส่ายไปมา และดูเหมือนอยากจะบินขึ้นไปอีกครั้ง แต่ก็ถูกมือของเฉินซีกำไว้แน่น

ในเวลาเดียวกัน มือซ้ายของเขาเหยียดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นตาข่ายขนาดใหญ่ที่ควบแน่นจากปราณจ้าววิญญาณก็ปรากฏขึ้น ก่อนจะห่อหุ้มตำราหยกขาวที่กำลังหลบหนี ด้วยการกระชากมันกลับมา ทำให้ตำราหยกขาวอยู่ในฝ่ามือของเขาแล้ว และไม่ว่าจะดิ้นรนสักแค่ไหนก็ไม่อาจหลบหนีจากมือของเฉินซีได้อีกต่อไป

‘พวกมันมีสติปัญญาที่น่าอัศจรรย์ ข้าสงสัยนักว่าพวกมันเป็นสมบัติประเภทไหน?’ ชายหนุ่มเพ่งพิศไปที่สมบัติเหล่านี้

ในขณะเดียวกัน ตำราหยกขาวกับพู่กันหยกดำก็ได้เปิดเผยรูปร่างที่แท้จริงของพวกมัน

ตำราหยกขาวม้วนตัวอยู่ในหมอกที่ส่องแสง มันส่งกลิ่นอายประหลาดแผ่ซ่านไปทั่ว บนพื้นผิวของตัวตำรามีอักขระสองตัวที่เขียนไว้ว่า ‘ระเบียนแดนมรณะ’ ลายมือมีความเป็นระเบียบและพิถีพิถัน ให้ความรู้สึกถึงความเที่ยงธรรม และความเคารพอย่างแรงกล้าเอ่อล้นออกมา

ระเบียนแดนมรณะ ถ้อยคำนี้ทำให้หัวใจของผู้ที่จ้องมองต้องเย็นเยียบ และนึกถึงบางสิ่งที่น่าสยดสยอง อย่างไรก็ตามตำราหยกขาวที่วางอยู่ตรงหน้าเฉินซีนั้นกลับสูงส่งและเที่ยงธรรม มันสง่างาม ผ่าเผย และตรงไปตรงมา

ในขณะที่พู่กันหยกสีดำนั้นเย็นยะเยือกและทำจากวัสดุที่ไม่อาจทราบ ซึ่งดูคล้ายเหล็กแต่ก็ไม่ใช่ แลดูคล้ายหยกก็ไม่เชิง มันมีสีดำสนิทหมดจด บนพู่กันนั้นมีถ้อยคำสลักไว้ว่า ‘ทัณฑ์อธรรม’ ที่เขียนด้วยลวดลายที่ห้าวหาญและทรงพลัง

ในทันใดนั้น จู่ ๆ ก็มีจิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวและไม่อาจอธิบายได้จู่โจมไปยังใบหน้าของเฉินซี

“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!” ชายหนุ่มรู้สึกว่าทะเลจิตสำนึกของเขาเต็มไปด้วยถ้อยคำนับไม่ถ้วนที่มีแต่คำว่า ‘ฆ่า!’

มีเสียงโห่ร้องดังประสาน เสียงศัสตรากระทบ โลหิตหลั่งริน และสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบราวกับต้องการลงทัณฑ์ความชั่วร้ายในโลกา

“ฟู่วว!” เฉินซีรีบละสายตาออกจากมัน ร่างกายกำยำชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เย็นเฉียบ ช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก! ‘…ตำราระเบียนแดนมรณะนั้นเที่ยงธรรมและซื่อตรง พู่กันทัณฑ์อธรรมก็เปี่ยมด้วยพลังแห่งการสังหารสิ่งชั่วร้าย พวกมันเป็นสมบัติประเภทไหนกันแน่?’

“มันอาจจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าจากหกภูมิแห่งยมโลกหรือไม่? ไม่สิ ดูเหมือนว่าสมบัติเช่นนี้จะมีอยู่ในสมัยของเซียนปราชญ์ในสมัยโบราณ…” หลิงไป๋ที่อยู่ใกล้เคียงขมวดคิ้วขณะที่เขาคิดหนักและบ่นพึมพำ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จักสิ่งนี้เช่นกัน

“ลองมาเปิดดูกัน” เฉินซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพลิกเปิดระเบียนแดนมรณะ แต่เขาสัมผัสได้ถึงข้อจำกัดที่ไร้ลักษณ์ได้ปรากฏขึ้นในทันที และพลังของมันก็กระแทกนิ้วเขาจนชา

“เหตุใดถึงเปิดมันไม่ได้?” เฉินซียังคงไม่ยอมแพ้และพยายามใช้ปราณแท้ ปราณจ้าววิญญาณ และแม้แต่ญาณจิต แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดก็ถูกสะท้อนกลับด้วยข้อจำกัดที่ไร้ลักษณ์ และมันทำให้เฉินซีต้องรู้สึกงุนงงและหดหู่อย่างช่วยไม่ได้

“โฮก!” ไป๋คุยที่อยู่ใกล้เคียงไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป ราวกับมันได้เห็นอาหารอันโอชะอยู่ตรงหน้า มันคำรามขณะที่พุ่งออกไป และอ้าปากเพื่อจะกลืนกินระเบียนแดนมรณะ

แต่มันกลับถูกเฉินซีจับได้ก่อนและไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ดวงตาสีหยกของมันยังคงจ้องไปที่ระเบียนแดนมรณะอย่างกระหาย

แม้แต่ไป๋คุยผู้รักในการกินสมบัติล้ำค่าก็ไม่อาจยับยั้งต่อความตะกละ เห็นได้ชัดว่าตำรากับพู่กันเล่มนี้เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแน่นอน

ข้าไม่รู้ว่าซูเหลิ่งผู้นี้ไปเอามันมาจากไหน? แต่คิดว่าตัวเขาก็คงไม่อาจทำความเข้าใจความลึกซึ้งของพวกมันได้

เฉินซีรู้สึกหดหู่ใจอย่างมากเนื่องจากไม่สามารถทำอะไรกับพวกมันได้ เขาจึงทำได้เพียงวางตำราระเบียนแดนมรณะและพู่กันทัณฑ์อธรรมลงในแหวนมิติ ก่อนที่จะมองไปยังกำไลหยกในมืออีกครั้ง

ในครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดพุ่งออกมาจากกำไลหยกอีก

อย่างไรก็ตาม ภายในกำไลมิติกลับไม่พบสมบัติใดที่ล้ำค่าพอจะทำให้เฉินซีตกตะลึง

ภายในกำไลมิติมีวารีวิญญาณเพียงสิบห้าจิน โอสถและสมุนไพรกองใหญ่ และวัตถุวิญญาณล้ำค่าบางส่วน สภาพของพวกมันล้วนไม่ธรรมดา และถือได้ว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าของสวรรค์และโลกซึ่งนับว่ามีราคาอยู่บ้าง

แต่หลังจากนั้น เฉินซีค้นพบเคล็ดวิชากระบี่ ซึ่งมันน่าตกตะลึงมาก มันเป็นเคล็ดวิชาการขัดเกลาและการบ่มเพาะของกระบี่ผสานปัญจอสุรีที่ชั่วร้ายและอันตรายอย่างยิ่ง

เฉินซีรีบทำลายเคล็ดวิชากระบี่นี้ในทันที เพราะในใจของเขารังเกียจความชั่วร้ายและความเลวทราม ยิ่งไปกว่านั้นการฝึกวิชานี้ต้องทรมานและสังหารผู้คนถึงหนึ่งหมื่นห้าพันชีวิต แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนดีอะไรนัก แต่ก็ไม่อาจทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน

หลังจากที่โยนโอสถกว่าสิบเม็ดไปให้ไป๋คุย เฉินซีก็จ้องมองไปที่สมบัติมิติกักเก็บของที่ได้มาจากกลุ่มซูติงอี้ทั้งหกคน

สมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นต่ำแปดสิบสี่ชิ้น สมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นกลางสิบสองชิ้น สมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสูงหกชิ้น และสมบัติวิเศษระดับมนุษย์ขั้นสูงยอดหนึ่งชิ้น …

ผ่านไปสักพัก เฉินซีก็คัดแยกสมบัติวิเศษเสร็จสิ้น และนอกจากค้นพบสมบัติวิเศษจำนวนมากแล้ว ยังมีโอสถ วัตถุดิบวิญญาณ และวารีวิญญาณอีกด้วย มูลค่าพวกมันนับว่าใกล้เคียงกับมูลค่าสมบัติของซูเหลิ่งแต่เพียงผู้เดียว

สมบัติวิเศษเหล่านี้มีทั้งกระบี่ หอก แส้หางม้า… แต่มีเพียงกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นสูงทั้งหกเล่มเท่านั้นที่พอจะมีประโยชน์ นอกเหนือจากนั้นก็ไร้ประโยชน์ ช่างเป็นการเก็บเกี่ยวที่น่าอนาถจริง ๆ!” เฉินซีส่ายศีรษะขณะที่มองไปยังไป๋คุยซึ่งกำลังกินสมบัติวิเศษทีละชิ้นและกระดิกหางไปมาอย่างมีความสุข ความหดหู่ในใจของเฉินซีก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ‘เขาทำงานอย่างหนักเพื่อเติมเต็มความหิวโหยให้กับเจ้าตัวเล็กสินะ’

เคร้ง! เคร้ง!

เสียงกังวานที่คมชัดดังก้องอยู่ข้างหูของเฉินซี เขาจึงหันไปมองและเห็นหลิงไป๋กำลังถือกระบี่บินระดับมนุษย์ขั้นต่ำไว้ในอ้อมแขน เจ้าตัวเล็กเขมือบมันราวกับกำลังเคี้ยวเต้าหู้ด้วยสีหน้าที่สำราญใจ

‘ข้า… หรือว่าข้ากำลังเลี้ยงตัวตะกละสองตัว?’ เฉินซีรู้สึกแย่เล็กน้อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปในอนาคต แล้วเขาจะต้องใช้สมบัติวิเศษมากถึงเท่าใดเพื่อให้เจ้าตัวเล็กสองตัวนี้อิ่มหนำ?

“หลิงไป๋ เหตุใดเจ้าถึงเริ่มกินด้วยล่ะ” เฉินซีชี้ไปที่กระบี่บินในมือของหลิงไป๋ที่ถูกแทะเป็นชิ้น ๆ

“อ๋อ ข้ากำลังบ่มเพาะอยู่” ขณะที่กล่าว หลิงไป๋ก็จัดการกระบี่บินในมือด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว จากนั้นโบกมือไปมา กระบี่บินอีกเล่มก็ลอยเข้าไปในปาก

ถึงแม้จิตใจของเฉินซีจะมั่นคงสักเพียงใด แต่เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ มุมปากของเขาก็กระตุกยิก ๆ และทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่งออก “ใช่แล้ว ในเมื่อเจ้าสามารถบ่มเพาะได้แล้ว ดังนั้นเจ้าบ่มเพาะเคล็ดวิชาใดกัน?”

“มันเป็นคัมภีร์กระบี่แดนนิพพาน ที่เจ้าเคยเห็นก่อนหน้านี้ ตอนที่ข้าฆ่าผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง!” หลิงไป๋แหงนหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ และกล่าวเน้นทีละคำราวกับว่ามันคือผลงานชิ้นเอก

“สิ่งนั่นคือพลังของสุสานกระบี่แดนนิพพานที่อาจารย์ของเจ้าเหลือทิ้งไว้เพียงเพื่อปกป้องเจ้า เจ้าแค่ใช้มันเท่านั้นเอง” เฉินซีกำลังพยายามทำความเข้าใจ

ก่อนที่จี้อวี๋จะออกจากเคหา เขาเคยกล่าวไว้ว่า ‘…กุญแจสำคัญในการออกจากสุสานกระบี่แดนนิพพานคือการทำให้หลิงไป๋ดูดซับพลังที่อาจารย์ของหลิงไป๋เหลือทิ้งไว้ให้’ หากสรุปด้วยวิธีนี้ เขาก็ได้ดูดซับพลังที่น่าสะพรึงกลัวนี้ไว้จริง ๆ แต่ก็ได้ใช้พลังทั้งหมดเพื่อฆ่าซูเหลิ่งไปแล้ว

“อย่างไรก็ตาม ข้าเป็นคนฆ่ามัน” หลิงไป๋ยิ้มเยาะและไม่รังเกียจที่เฉินซีเปิดเผยสิ่งที่เขากระทำ

“หากเป็นอย่างนั้น เจ้าต้องกลืนกินสมบัติวิเศษอย่างไม่รู้จบเพื่อพัฒนาการบ่มเพาะหรือ?” เฉินซีถามคำถามที่สำคัญที่สุด

“ย่อมเป็นเช่นนั้น เช่นเดียวกับผู้บ่มเพาะลมปราณที่สูดพลังวิญญาณเข้าไป และใช้ร่างกายเป็นเตากลั่นเพื่อแปลงเป็นปราณจ้าววิญญาณ ร่างกายของข้าเป็นสมบัติวิเศษ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องกินสมบัติวิเศษให้มากขึ้นเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง นอกจากการบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นแล้ว ระดับกับขั้นของสมบัติวิเศษที่ข้าต้องการก็จะเพิ่มขึ้นด้วย” ขณะที่กล่าว หลิงไป๋ก็เคี้ยวสมบัติวิเศษตุ้ย ๆ และเรอออกมาอย่างสบายใจ

หลังจากที่เฉินซียืนยันนิสัยตะกละของเจ้าตัวน้อยทั้งสองแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอามือกุมหน้าผากและถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน และทำให้เขาก็นึกถึงบางสิ่งที่ต้วนมู่เจ๋อเคยกล่าวไว้ ‘ผู้ใดจะเข้าใจความรู้สึกของน้ำตาที่ไหลอาบหน้า?’