บทที่ 37 แสร้งทำเป็นโดนเชือดคอ! (1) Ink Stone_Romance
คิ้วของหญิงสาวขมวดขึ้นชั่วครู่
ปฏิกิริยาของซูอี้นั้นยังนับว่ามากกว่านางเสียอีก ทั่วทั้งใบหน้าล้วนบิดเบี้ยว แต่ยังดีที่คืนมืดมิดยังช่วยอำพรางเอาไว้ ท่าทีของเขาจึงปรับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ผุดรอยยิ้มออกมา “ข้าผิดไปแล้วยังไม่ดีอีกรึ? ที่นี่เป็นป่ารกร้างดูอันตราย ข้าจำได้ว่าด้านหน้านี้เหมือนจะมีโรงเตี๊ยมอยู่ พวกเราเข้าไปพักที่นั่นก่อนดีหรือไม่?”
ในขณะที่พูด มือข้างหนึ่งของเขาก็จับเข้าที่หลังเอวของหญิงสาว กระชับคนไว้ในอ้อมอก
ร่างของหญิงสาวนั้นแข็งเกร็ง กลับไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร เส้นผมพลิ้วสยาย สีหน้าก็มองเห็นอย่างรางเลือน
ขณะที่ซูอี้พูด จู่ๆ ก็ปรากฏกลุ่มคนพุ่งเข้ามาหาพวกเขาทั้งใบหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับไม่พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าทำอะไร?”
คนในชุดคลุมสีฟ้าจำนวนหนึ่งกวาดสายตาสังเกตพวกเขาทั้งสองคน เมื่อเห็นว่าเป็นคุณชายสะอาดสะอ้านที่สวมชุดหรูหราผู้หนึ่งก็ค่อยวางใจลง
แต่หญิงสาวที่มากับเขานั้น บนร่างถูกปกปิดไว้ด้วยชุดคลุมสีเงินยวงที่ปักด้วยดอกกล้วยไม้ดูสวยงามตระการตา เสี้ยวหน้าเห็นเพียงรางๆ แต่กลับไม่พบถึงความผิดปกติแต่อย่างใด
“พวกเราเพียงผ่านมาเท่านั้น รบกวนแล้ว!” หัวหน้ากลุ่มคนนั้นกล่าว เก็บดาบเข้าสู่ฝัก โบกมือครั้งหนึ่งก็พาคนกลุ่มนั้นออกจากป่ารกร้าง ฟาดแส้ม้าทะยานตามกันออกไป
เมื่อเขาทยอยจากไปแล้ว ซูอี้ก็รีบร้อนคลายหญิงสาวในอ้อมกอดพลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ยกมือขึ้นนวดซี่โครงด้านล่างด้วยหน้าตาที่บูดเบี้ยว
แทนที่จะพูดว่าเมื่อครู่เขาควบคุมผู้หญิงคนนี้ มิสู้กล่าวว่าตัวเองนั้นถูกนางควบคุมเสียมากกว่า ช่วงเวลาที่เขายกนางเข้าสู่อ้อมกอดนั้น นิ้วของนางก็กดลงที่ซี่โครงบนช่วงอกของเขาอย่างแม่นยำ แรงที่พุ่งออกมานั้น…
แม้ว่าจะไม่ถึงกับจะเอาชีวิต แต่ก็แทบทำให้เขาเกือบทนไม่ไหวหน้าเปลี่ยนสีไปในตอนนั้น
เมื่อได้ยินเสียงกีบม้าค่อยๆ ห่างออกจากป่าไป หญิงสาวก็ดึงชุดคลุมนั้นออกจากร่างพลางเหวี่ยงไปให้เขา ทั้งยังเผยใบหน้าเยือกเย็นไม่พูดไม่จาอะไรก็หมุนกายเดินไป
ซูอี้รับชุดคลุมนั้นไว้ในมือ กลับไม่ได้สวมใส่แต่อย่างใด เดินตามนางไปทั้งอย่างนั้น ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างสบายๆตามหลังนาง “โรงเตี๊ยมทางด้านนั้น พอพวกเขาไปแล้วไม่เจอคนที่ต้องการ ก็คงจะกลับมาแน่ หากพวกเราหลบหนีมั่วซั่วอยู่แบบนี้ จำต้องดึงพวกเขาให้มาไล่สืบเสาะตามฆ่าเป็นแน่ แม้ว่าเจ้าจะไม่กลัว แต่ปัญหาเช่นนี้ถ้าลดน้อยลงได้ก็ควรจะให้ลดน้อยลงไม่ดีกว่าหรือ?”
ราวกับเพื่อตอบคำตอบของเขา คนสองคนเดินออกจากป่ามา ตอนที่เงยหน้าก็เห็นว่าโรงเตี๊ยมทางทิศเหนือนั้นมีกลุ่มควันไฟขมุกขมัวลอยขึ้นไปบนฟ้า
เพราะว่าห่างไกลมาก แสงไฟนั้นจึงเห็นเป็นเส้นเดียวเท่านั้น
แต่ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่า เป็นองครักษ์ลับพวกนั้นที่เผาโรงเตี๊ยม เพื่อต้องการปกปิดร่องรอยของการลอบสังหาร
หญิงสาวเม้มมุมปากทอดสายตามองดู
ซูอี้เดินเข้าไป นำชุดคลุมนั้นพาดไว้ที่หัวไหล่นาง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เท่ากับว่าก่อนหน้านี้ต้องขอบคุณเจ้าแล้วที่ช่วยข้า แสดงละครฉากนี้ ข้าจะร่วมแสดงกับเจ้าอย่างถึงที่สุดเอง!”
กล่าวจบก็ราวกับไม่กังวลว่าผู้หญิงคนนั้นจะสะบัดชุดคลุมหนีจากไป เขาหมุนกายยกดาบขึ้น ย้อนกลับเข้าไปในป่าอีกครั้ง
เขาไปครั้งนี้ค่อนข้างใช้เวลานาน เป็นเวลากว่าหนึ่งเค่อ[1] ตอนที่กลับมาในมือข้างหนึ่งถือดาบและกระต่ายที่ไร้เรี่ยวแรงตัวหนึ่งเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างนั้นถือฟืนแห้งมัดหนึ่ง
ผู้หญิงคนนั้นยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
เขาเหลือบมองอีกฝ่ายทีหนึ่ง ก่อนจะหยิบที่จุดไฟออกมา ก่อไฟขึ้นอย่างคล่องแคล่ว ลอกหนังกระต่ายป่าออกมา
กล่าวตามตรง เขาก็เป็นคุณชายที่เกิดในตระกูลใหญ่มีชื่อเสียง แม้ว่าตั้งแต่เด็กจะถูกคนบ้านหลักของจวนอ๋องฉางซุ่นขับไล่ออกไป แต่เมื่อไปอยู่ชนบทก็มีกลุ่มคนรับใช้ไม่ห่างกาย อาหารการกินและที่พำนักอาศัยก็ล้วนแต่มีคนดูแล
ทว่ายามที่ทำเรื่องพวกนี้เขากลับดูช่ำชองเป็นอย่างมาก ราวกับหยิบจับขึ้นมาได้ง่ายๆ อย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก
ในมือของหญิงสาวผู้คนนั้นถือดาบไว้ในมือ แววตาตรึงอยู่บนมือที่เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วของเขา สีหน้าบนใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง คล้ายกับในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงเผยสีหน้าราวกับครุ่นคิดออกมา
ซูอี้ที่ก่อไฟอยู่ด้านนี้ ใช้ไม้แห้งนั้นทำเป็นตะแกรงขึ้นง่ายๆ นำเนื้อกระต่ายวางย่างไปบนกองไฟ
เงยหน้าเจอกับนางที่ยังยืนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น ก็ร้องเรียก “เข้ามานั่งสิ!”
หญิงสาวรวบรวมสติกลับมา เดินเข้าไปด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง นั่งลงทั้งเสื้อคลุมนั้นอยู่ตรงข้ามกับเขาห่างๆ
แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะเคยพบเจอกันหลายครั้งแล้ว แต่ว่าเวลานี้อาศัยแสงจากกองไฟ กลับเป็นครั้งแรกที่ซูอี้เห็นใบหน้าของนางชัดเจนถึงเพียงนี้
เป็นใบหน้าที่ดูปกติและธรรมดาดาษดื่น ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็เพียงแค่หน้าตาดูอ่อนเยาว์เท่านั้น หากกลมกลืนเข้าไปกับฝูงชน ก็คงจะเป็นพวกกลุ่มคนที่ถูกมองข้ามไปง่ายๆประเภทนั้น
แต่เพราะว่าร่างกายของนางมีกลิ่นอายที่ค่อนข้างแข็งกระด้าง เมื่อเหลือบสายตามองไป…
ภาพจำที่ติดตาของผู้คนครั้งแรก กลับทำให้คิดว่านางเป็นผู้ชายที่มีรูปร่างค่อนข้างจะเพรียวบางเท่านั้น
คนสองคนนั่งเผชิญหน้ากัน ไม่ปริปากพูดใดใดชั่วขณะ สักพักไม่นานกลุ่มคนชุดฟ้านั้นก็ขี่ม้าย้อนกลับมาอีกครั้ง
มองเห็นที่นี่มีแสงไฟอยู่ไกลๆ คนกลุ่มนั้นจึงลดความเร็วลงอย่างระแวดระวัง
หญิงสาวคนนั้นหันหลังให้กับถนนสายเล็ก นิ่งเงียบไม่พูดอะไร
หัวหน้าของกลุ่มคนชุดฟ้ารวบบังเหียนม้า ก่อนจะทอดสายตามองไปยังร่างของคนทั้งสอง
ซูอี้แย้มยิ้มขึ้นมา ชี้ไปยังแสงไฟที่อยู่ไกลๆพลางกล่าว “พี่ชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าด้านหน้าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?”
สีหน้าของคนผู้นั้นดูดำมืด เห็นท่าทางเยือกเย็นของเขาก็คลายความแคลงใจลงไป ยกบังเหียนม้าชี้ไปที่ไกลๆกล่าวกับทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ได้เห็นคนน่าสงสัยบ้างหรือไม่?”
“คนน่าสงสัยรึ? ไม่มีนะ พวกข้าอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งแล้ว ไม่เห็นใครเลย” ซูอี้กล่าว
คนชุดฟ้าคนหนึ่งด้านหลังขี่ม้าก้าวขึ้นมาทางด้านหน้า เตือนเสียงเบา “หัวหน้า…”
กล้าลงมือโหดเหี้ยมอย่างเปิดเผยกับซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ อีกทั้งยังจัดการได้อย่างเรียบร้อย ผู้ติดตามสามร้อยคนไม่ปล่อยให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว หนำซ้ำยังจุดไฟเผาอย่างไม่คิดเกรงกลัวผู้ใด
ในตอนที่พวกเขาเข้าไปก็สายเสียแล้ว อยากจะเข้าไปสืบเบาะแสในกองไฟก็ยังทำไม่ได้เลย
เห็นได้ชัดว่าผู้ลงมือมีโอกาสอย่างมากที่จะมาจากเมืองหลวง หลังจากทำเรื่องเสร็จแล้วก็ย่อมต้องรีบกลับไปรายงานผลปฏิบัติของภารกิจ
คนผู้นั้นหงุดหงิดอยู่ในใจ คร้านที่จะมากความ จึงสะบัดแส้ฟาดก้นม้าออกไป “ไป!”
พาคนกลุ่มนั้นตะบึงออกไปจนแทบไม่เห็นฝุ่น
เมื่อส่งสายตามองคนกลุ่มนั้นลับตาไป พวกเขาทั้งสองคนกลับไม่เคลื่อนไหวอะไร
“เจ้าเป็นใครกันแน่?” ซูอี้ใช้ฟืนในมือเขี่ยเล่นในกองไฟเบาๆ ประจวบกับมีสะเก็ดไฟแตกขึ้นพอดี
เขาจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตามองไปที่กองไฟที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง บางครั้งก็เหลือบมองหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามกับเปลวเพลิงนั้น “ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าข้าจะเจอเจ้าที่ใดก็ล้วนเจอแต่เลือด เจ้าอย่าได้พูดกับข้าเชียวนะว่าเป็นเพราะบังเอิญ”
รูปลักษณ์ของหญิงสาวคนนั้นธรรมดาอยู่มากจริงๆ ตามปกติก็ยังแต่งตัวเต็มยศขนาดนี้ รูปร่างของนางสูงเพรียวเป็นอย่างมาก แฝงตัวไปกับผู้คนเช่นนี้ ซูอี้ที่พบเจอนางอยู่บ่อยครั้ง ครั้งแรกล้วนแต่เข้าใจผิดคิดว่านางเป็นผู้ชายที่ผอมบางคนหนึ่ง จนกระทั่งเวลานี้ อาศัยแสงจันทร์ที่ส่องมาในป่า เมื่อได้เห็นดวงตาของนางจึงค่อยพบว่าเขามองผิดมาโดยตลอด
เวลานี้หญิงสาวคนนั้นเม้มริมฝีปาก ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ เผยใบหน้าเรียบเย็นหลุบตาต่ำมองแสงจากกองไฟที่อยู่ด้านหน้า ตั้งแต่ต้นจนจบแม้แต่มองก็ยังไม่มองซูอี้ไปอย่างตรงๆสักครั้ง
ราวกับเขานั้นไม่มีตัวตน และคล้ายกับอีกฝ่ายที่เขาพูดถึงนั้นไม่ใช่นาง
ทว่าซูอี้นั้นกลับมีความอดทนสูง ยังคงเผยใบหน้าแฝงรอยยิ้มมองนางอยู่เช่นนั้น
เนื้อกระต่ายที่วางอยู่บนตะแกรงไม้เริ่มสุกแล้ว น้ำมันที่ถูกเผาส่งเสียงดังซี่ๆ ออกมา กลิ่นหอมตลบอบอวล เย้ายวนใจเป็นอย่างมาก
ซูอี้นั้นค่อยๆ เก็บรอยยิ้ม สูดดมกลิ่นหอมนั้นเข้าไปเต็มปอด จากนั้นจึงฉีกขากระต่ายที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่งส่งให้นาง
หญิงสาวผู้นั้นลังเลไปสักครู่ ก่อนจะรับไปกินอย่างเงียบๆ เพียงแต่ยังคงไม่ได้มองไปที่ซูอี้แม้แต่น้อย
ซูอี้ราวกับชินแล้วที่ถูกนางเมินอยู่เช่นนี้ จึงยักไหล่ หยัดกายขึ้นเดินไปรอบกองไฟ จนระยะห่างประมาณครึ่งช่วงตัวคนจึงค่อยนั่งลงใกล้ๆนาง
ฆ่าคนวางเพลิงซ้ำแล้วซ้ำแล้วเกือบค่อนคืน ทั้งยังต้องรับมือกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่พักใหญ่ ทั้งสองคนล้วนแต่หิวจนไส้แทบขาด
นางไม่ยอมพูดอะไร ซูอี้ก็ไม่ได้ถามให้มากความอีก สองคนนั่งผิงไฟ ทั้งยังลิ้มรสอาหารป่าที่เรียบง่ายอย่างเงียบเชียบ
เมื่อแทะขากระต่ายจนหมดแล้ว ซูอี้ก็ใช้เท้าเตะเศษกระดูกที่กระจัดกระจาย ก่อนจะเงยหน้ามองสีท้องฟ้า กล่าวว่า
“ยังมีเวลากว่าหนึ่งชั่วยาม[2] กว่าฟ้าจะสว่าง พวกเราอาจจะต้องรออีกสักพัก!”
ขณะที่พูด ก็คว้าขวดสุราขนาดกะทัดรัดออกมาจากเอว ดึงฝาออกมาก่อนจะยื่นไปให้ “ดื่มสักคำ ให้ร่างกายอบอุ่นหน่อยเถิด!”
เป็นเพียงสุราดอกกุ้ยฮวาทั่วไปเท่านั้น ไม่นับว่าทำให้มึนเมาแต่อย่างใด แฝงมาด้วยกลิ่นหอมหวานของสุรา ชั่วขณะกลิ่นก็ฟุ้งกระจายออกมา
หญิงสาวเหลือบสายตามองไปที กลับไม่ได้ขยับอะไร
มุมปากซูอี้ร้อยเรียงขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างได้รูป ทั้งยังก้าวเดินไปทางนางด้านหน้าเพื่อส่งขวดสุรานั้นให้
หญิงสาวเม้มริมฝีปาก ในที่สุดก็ยื่นมือไปรับอย่างลังเลใจ จิบไปอึกหนึ่ง
ซูอี้เห็นท่าทางการดื่มสุราของนาง ตื่นตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เก็บขวดสุรามาจากมือนาง เงยหน้าขึ้นเทสุราลงไป ก่อนกล่าว “เหตุใดเจ้าถึงไม่ดื่มสุราล่ะ?”
——————————————————-
[1] เวลากว่าหนึ่งเค่อ เวลากว่าสิบห้านาที
[2] เวลากว่าหนึ่งชั่วยาม เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า