เซี่ยชูมั่วมองมู่หรงเหยาฉือทีหนึ่ง เอ่ยว่า “นี่ยังไม่เข้าใจอีกหรือ เพื่อทำให้เจ้ารั้งใจขององค์ชายสี่กลับมาได้ เจ้าหลงคิดจริงๆ หรือว่าการที่เจ้ากุเรื่องทำลายชื่อเสียงเขาออกไป จะมีผลกับการแต่งงานกับเยี่ยเม่ยขององค์ชายสี่ ยิ่งในเวลานี้เจ้ายิ่งต้องสงบใจให้ได้ แสดงออกว่าเจ้าใจกว้างต่อหน้าบุรุษ ไม่ช้าก็เร็วองค์ชายสี่ต้องหวั่นไหวเพราะเจ้าอย่างแน่นอน!”
มู่หรงเหยาฉือพยักหน้า เอ่ยว่า “น้องสาวได้รับคำชี้แนะแล้ว!”
เดิมทีนางหลงคิดว่า เมื่อตัวเองสร้างเรื่องนี้ขึ้นมาทิ่มแทงใจเยี่ยเม่ยเป็นการกระทำอันชาญฉลาดมาก คิดไม่ถึงเลยว่าเซี่ยชูมั่วคิดมากถึงขั้นนี้ ก็จริง จู่โจมเยี่ยเม่ยได้แล้วมีประโยชน์อันใด
ได้ใจองค์ชายสี่ถึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถึงเป็นหนทางที่ทำให้นางไม่พ่ายแพ้ของจริง นางทำผิดไปแล้ว!
เซี่ยชูมั่วหัวเราะ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ยามนี้เมื่อเจ้าเข้าใจก็ยังไม่สายเกินไป จำไว้ ต้องสงบใจให้ได้!”
“อืม!” ภายใต้คำพูดไม่กี่คำของเซี่ยชูมั่ว ในที่สุดมู่หรงเหยาฉือก็พาสติปัญญากลับมาได้ ทั้งตระหนักด้วยว่าระยะนี้การกระทำทั้งหลายของตัวนางผิดแปลกไปจากปกติมาก
นางไม่เคยโง่เขลาปานนี้มาก่อน เพียงแต่ช่วงนี้ความอิจฉาบดบังสมอง ยังดีที่พี่สาวเตือนนาง
เมื่อคิดถึงตรงนี้มู่หรงเหยาฉือเอ่ยวาจาเป็นห่วงเป็นใยเซี่ยชูมั่วประโยคหนึ่ง “พี่สาวเซี่ย ยามนี้ในใจของอี้อ๋องมีแค่เยี่ยเม่ยผู้นี้ ใจท่านไม่รู้สึกถูกทำร้ายบ้างหรือ”
“ข้าย่อมไม่มีทางนั่งรอความตายแน่ เจ้าต้องอดทนไว้ เจ้าต้องจำไว้ พวกเราสองพี่น้องต้องร่วมแรงร่วมใจ ถึงเอาชนะนางสารเลวเยี่ยเม่ยได้ หลายปีที่ผ่านมาพวกเราสองคนร่วมมือกันไม่เคยแพ้มาก่อนไม่ใช่หรือ” เซี่ยชูมั่วเอ่ยพลางยกมุมปากยิ้มร้าย
มู่หรงเหยาฉือรีบพยักหน้าทันที
เซี่ยชูมั่วลุกขึ้น “หลายวันนี้ก็คอยสืบให้ดีว่าองค์ชายสี่ปรากฏตัวที่ใด เจ้าคอยหาโอกาสเอาไว้ อย่างไรก็ดีกว่าเจ้าอยู่ที่นี่ทำลายชื่อเสียงตัวเองอีกครั้งมากเป็นไหนๆ !”
“ได้ พี่สาวโปรดวางใจ ในเมื่อข้าสงบใจลงได้ ก็ไม่มีทางทำเรื่องโง่งมเช่นนี้อีก!” มู่หรงเหยาฉือพยักหน้า
เซี่ยชูมั่วค่อยวางใจ หมุนตัวจากไป
หลังจากอีกฝ่ายกลับไป ไฉ่ซังมองมู่หรงเหยาฉือด้วยสายตาไม่วางใจ “ท่านหญิง ท่านว่าคำพูดของเซี่ยชูมั่วเชื่อได้หรือไม่ นางจะ…”
“เชื่อได้!” มู่หรงเหยาฉือส่ายหน้า ตอบว่า “คนที่เซี่ยชูมั่วชอบก็คืออี้อ๋อง! เป็นปรปักษ์กับข้าไม่มีประโยชน์ใดๆ กับนาง ระหว่างข้ากับนางไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ นางไม่จำเป็นต้องทำร้ายข้า นางพูดถูก สิ่งที่ข้าสมควรทำในยามนี้คือครุ่นคิดว่าจะคว้าเอาหัวใจองค์ชายสี่มาได้อย่างไร เจ้าเตรียมกระดาษกับหมึก ข้าจะเขียนจดหมายถึงองค์ชายสี่!”
“เจ้าค่ะ!”
……
เซี่ยชูมั่วออกจากจวนมู่หรงเหยาฉือ สาวใช้ด้านหลังก็เอ่ยปากว่า “ท่านหญิง ท่านทำเช่นนี้มีประโยชน์อันใดกับท่าน?”
เซี่ยชูมั่วมองนาง เอ่ยอย่างแช่มช้า “ยังไม่ง่ายอีกหรือ ขอเพียงนางได้ใจขององค์ชายสี่ ส่วนข้าได้ใจของอี้อ๋อง เยี่ยเม่ยผู้นี้ก็จะกลายเป็นตัวตลกในเมืองหลวง คนทั้งหลายคิดว่าทำไมบุรุษรูปงามทั้งสี่ล้วนแย่งชิงนาง เกรงว่าก็แค่การเล่นสนุกเท่านั้น!”
“นี่…” สาวใช้ยิ่งไม่เข้าใจ “แต่ทำเช่นนี้ ทำให้เยี่ยเม่ยกลายเป็นตัวตลกในเมืองหลวงก็ไม่มีผลดีกับท่านนะเจ้าคะ!”
“ไม่มีผลดี?” เซี่ยชูมั่วมองสาวใช้ตัวเอง กัดฟันเอ่ยว่า “ทำไมจะไม่มีผลดี ขอเพียงสตรีนางนี้ไม่มีความสุข กลายเป็นตัวตลก สำหรับข้าแล้วก็เป็นผลดีอย่างที่สุด! ชั่วชีวิตของอี้อ๋อง เคยทำเช่นนี้กับใครบ้าง”
เซี่ยชูมั่วเอ่ย สีหน้าก็ดุร้ายขึ้นมา นางแผดเสียงสูงเอ่ยปาก “ปีนั้นก็จงเจิ้งซี เมื่อนางตายไปแล้ว ข้าก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนตายอีก ข้ายินดีรอ รอจนเตี้ยนเซี่ยลืมคนตายผู้นั้น! แล้วตอนนี้เล่า มีเยี่ยเม่ยโผล่มาอีกคน อี้อ๋องต้องการแต่งงานกับนางถึงกับย้ายสุสานจงเจิ้งซีออกไป!”
ครั้นเอ่ยมาถึงยามนี้ เซี่ยชูมั่วยิ่งโมโหถึงขีดสุด “ข้าแค้นจนแทบอยากถลกหนังนางสารเลวนั่นออกมา ดื่มเลือดนาง ขอเพียงทำให้นางทุกข์สักน้อย ข้าก็มีความสุข! อี้อ๋องเป็นของข้า ใครก็อย่าคิดแย่งไป ข้าต้องการให้นางชื่อเสียงป่นปี้ ตายไร้ที่ฝัง!”
ยามสาวใช้ฟังมาถึงตรงนี้ ก็มิกล้าเอ่ยปากอีกแล้ว
นางเข้าใจว่าท่านหญิงรออี้อ๋องมานานหลายปี จนถึงวันนี้อายุก็ปาเข้าไปตั้งยี่สิบห้าแล้ว ในสายตาคนทั้งหลายเป็นสตรีอายุมาก แต่ว่าท่านหญิงไม่เคยคิดปล่อยวาง เพราะคนรักของอี้อ๋องตายไปแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรคนก็ต้องเดินออกมาได้ อี้อ๋องก็ต้องลืมจงเจิ้งซีได้
แต่คิดไม่ถึงเอาเสียเลย
ท่านหญิงที่เฝ้ารอมาตลอด ถึงกับรอจนเยี่ยเม่ยโผล่มา
สาวใช้เอ่ยว่า “ท่านหญิง ท่านกับท่านหญิงเหยาฉือนับว่าป่วยเป็นโรคเดียวกัน!”
มู่หรงเหยาฉือก็ชอบเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมาหลายปี แต่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ถึงทำให้มู่หรงเหยาฉือรู้สึกว่าตัวเองมีโอกาส อย่างไรอีกฝ่ายก็หาใช่เย็นชาต่อนางคนเดียว แต่ว่าทำเช่นนี้กับทุกคน
ด้วยเหตุนี้นางจึงกอดความคิดว่าสักวันจะทำให้องค์ชายสี่หวั่นไหวได้ ยืนหยัดรอมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ท่านหญิงก็เหมือนกัน
อีกทั้งสองต่างก็เป็นท่านหญิง
เซี่ยชูมั่วฟังแล้วก็มองสาวใช้ ยิ้มขมขื่นว่า “ดังนั้นเจ้าก็เข้าใจแล้ว ไฉนหลายปีมานี้ ข้าถึงได้คบหาเป็นสหายกับมู่หรงเหยาฉือเพียงผู้เดียว!”
เมื่อเอ่ยเช่นนี้ บ่าวอีกคนก็วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน หลังจากนั้นก็รายงานว่า “ท่านหญิง พวกเราได้รับข่าวหนึ่ง เมื่อครู่อี้อ๋องไปที่จวนแม่ทัพใหญ่ รับตัวเยี่ยเม่ยไปแล้ว นางขึ้นรถม้าของอี้อ๋อง ออกไปชานเมือง!”
“นางสารเลว!”
เซี่ยชูมั่วโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ แต่นางรีบสะกดเพลิงโทสะอัดแน่นในใจลง ฉีกยิ้มจากมุมปาก “ข้าอยากดูนักเชียว นางจะโอหังไปได้ถึงยามไหน! ใครก็ได้!”
เมื่อนางเรียก บ่าวคนนั้นก็มาปรากฏตัวเบื้องหน้านาง
เซี่ยชูมั่วกระซิบข้างหูบ่าวผู้นั้นไม่กี่ประโยค สีหน้าบ่าวก็เปลี่ยนไปเป็นสับสนระคนหวาดกลัว แต่สุดท้ายเพราะความโหดเ**้ยมของเซี่ยชูมั่ว จึงรีบไปดำเนินการ…
……
ชานเมือง
รถม้าหยุดลง เยี่ยเม่ยลงจากรถม้า น้ำเสียงเย็นชาของนางถามว่า “ไม่ทราบว่าของสำคัญที่อี้อ๋องให้ข้ามาดูคืออะไรกันแน่”
สิ้นเสียงนาง ก็เห็นป่าดอกท้อผืนหนึ่ง
ตามหลักแล้วเมื่อฤดูหนาวผ่านไป แต่ไม่รู้เพราะอะไรฤดูหนาวในปีนี้ยาวนานเป็นพิเศษ เมื่อคืนยังมีหิมะตก ไฉนเวลานี้ถึงมีดอกท้อได้
ชิงเกออธิบายอยู่ด้านข้าง “เพราะว่าองค์หญิงซีชอบดอกท้อ ดังนั้นดอกท้อในที่นี้เบ่งบานตลอดสี่ฤดูกาล ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านอ๋องใช้น้ำพุร้อนจากเขาเพาะเลี้ยง”
เยี่ยเม่ยเข้าใจแล้ว
นางหันไปมองเป่ยเฉินอี้ เอ่ยนิ่งๆ ว่า “ลำบากท่านอ๋องแล้ว น่าเสียดาย หลังจากที่ข้าตกลงไปในแม่น้ำหมิงเมื่อสี่ปีก่อน ข้าก็ไม่ชอบดอกท้ออีกแล้ว!”