ตอนที่ 35 บทสรุปที่ดีที่สุด

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยออกมาเช่นนี้ สีหน้าของเป่ยเฉินอี้ก็แข็งทื่อลงไป เผยความเจ็บปวดจางๆ ออกมา

 

 

เขาเข้าใจความหมายของคำพูดเยี่ยเม่ย

 

 

นางไม่ชอบดอกท้ออีกแล้ว ไม่ใช่คนในดวงใจเขาอีกต่อไป นับตั้งแต่สี่ปีก่อนที่นางตกแม่น้ำหมิง ทุกอย่างในปีนั้นสำหรับนางแล้ว ก็กลายเป็นสิ่งที่ทอดทิ้งไปหมดแล้ว

 

 

ไม่ว่าจะเป็นดอกท้อที่นางชอบในปีนั้น หรือว่าความจริงใจที่มีให้เขาในปีนั้น

 

 

เยี่ยเม่ยเอ่ยจบก็มองไปรอบๆ ทั่วสารทิศคือดอกท้อ นอกจากนี้ก็ไม่มีสรรพสิ่งอื่นใดอีก นางเอ่ยปาก “ในเมื่อที่นี่เหลือเพียงดอกท้อแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าชมอีก ไม่สู้พวกเรากลับกันเถอะ อี้อ๋องท่านเห็นว่าอย่างไร”

 

 

นางพูดถึงขั้นนี้แล้ว นอกจากเดินทางกลับ เขาคล้ายไม่อาจเอ่ยอะไรได้อีก และก็ไม่รู้จะเอ่ยด้วยฐานะอะไร

 

 

เขาพยักหน้า ตอบเสียงขรึมว่า “ได้!”

 

 

คนทั้งสองขึ้นรถม้า

 

 

ในรถม้าเงียบสนิท เยี่ยเม่ยหลับตาคล้ายหลับไปแล้ว

 

 

แต่เป่ยเฉินอี้รู้ว่า นางไม่มีทางหลับแน่ นางก็แค่ไม่อยากพูดกับเขาเท่านั้น

 

 

หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน บรรยากาศภายในรถม้าก็เปลี่ยนเป็นอึดอัด

 

 

แต่เยี่ยเม่ยไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความอึดอัดนี้ยังน่าดีใจเสียกว่าการสนทนากับคนตรงหน้า

 

 

ทว่าเป่ยเฉินอี้มิได้คิดเช่นนั้น

 

 

หลังจากเขาเงียบอยู่นาน ดวงตาเรียวหงส์มองนาง เอ่ยปากว่า “อย่างนั้นอาซี เจ้าไม่ชอบดอกท้ออีกแล้ว ตอนนี้เล่า เจ้าชอบอะไร”

 

 

“อาซีตายไปแล้ว!” เยี่ยเม่ยมองเขาอย่างเย็นชา ไม่ช้าก็เอ่ยต่อด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ขอให้อี้อ๋องจงจำไว้ คนที่อยู่ตรงหน้าท่านคือเยี่ยเม่ย! ท่านอย่าได้เรียกชื่อนี้อีกเลย หากคนนอกได้ยินเข้า เยี่ยเม่ยผู้นี้เป็นคนใจคอคับแคบ…ไม่แน่จะพานคิดว่า ท่านจงใจทำร้ายข้าได้!”

 

 

ยามนางเอ่ยออกมา สีหน้าเป่ยเฉินอี้พลันแข็งค้าง กำหมัดแน่น “ได้ จากนี้ไปข้าจะไม่เรียกเจ้าว่าอาซีอีก”

 

 

เมื่อให้คำสัญญาจบ เขาก็เอ่ยต่อ “อย่างนั้นเจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่า ตอนนี้เจ้าชอบอะไร”

 

 

“สรุปแล้วคือสิ่งที่ท่านคิดได้ทั้งหมด ข้าล้วนแล้วแต่ไม่ชอบ สิ่งที่ท่านชอบทั้งหมด ข้าล้วนไม่ชอบ อย่างไรเสียชั่วชีวิตข้าก็ไม่มีทางลืมว่าปีนั้นบิดามารดาของข้าตายอย่างน่าอนาถเช่นไร ไฉนข้าถึงไม่ได้พบหน้าน้องชายเป็นครั้งสุดท้าย”

 

 

เมื่อนางเอ่ยมาถึงยามนี้ สายตาประชดประชันมองเป่ยเฉินอี้ “ดังนั้นไม่ว่าอี้อ๋องทำอีกมากแค่ไหน คิดอีกมากเพียงใด สำหรับข้าแล้วล้วนเสียเปล่า หวังว่าท่านจะเข้าใจเหตุผลด้วย”

 

 

นางหวังให้เป่ยเฉินอี้เข้าใจจริงๆ เรื่องที่เขากระทำไม่อาจเอาใจนางได้ ดังนั้นหวังว่าเขาจะไม่ทำเรื่องไร้ความหมายพวกนี้อีก เพื่อเป็นการไม่เสียเวลาทั้งสองฝ่าย

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วก็หลับตาลงเพื่อสงบอารมณ์

 

 

เมื่อมองเยี่ยเม่ยอีกครั้ง ก็เอ่ยว่า “ต่อให้สุดท้ายเจ้าเลือกข้าจริงๆ ต่อให้สุดท้ายข้าจะฆ่าตัวตายตามสัญญา หลังจากแต่งงานแล้วเจ้าไม่คิดจะมองข้าดีๆ บ้างเชียวหรือ”

 

 

“ใช่!” เยี่ยเม่ยตอบรับตามตรง “ดังนั้นหากอี้อ๋องรู้สึกรับไม่ได้ ทั้งไม่อาจอดทนไหว ตอนนี้สำนึกเสียใจไม่อยากแต่งงานกับข้า เยี่ยเม่ยก็มิถือสา ยิ่งไม่มีทางไม่พอใจท่าน”

 

 

คำพูดอย่างไม่ยี่หระของนาง ยิ่งทำให้เป่ยเฉินอี้เจ็บใจราวถูกมีดกรีด

 

 

เขารู้ดี นางไม่สนใจความรู้สึกเขา บางทีอาจบอกได้ว่า ไม่ว่ายามใดที่นางเห็นเขาไม่ยินดี เห็นเขาเจ็บปวดถึงเป็นเรื่องน่าดีใจที่นางเฝ้ารอต่างหาก

 

 

เพียงแต่เมื่อฟังคำพูดนี้ ฟังเรื่องเหล่านี้แล้ว ยากที่เขาจะไม่เสียใจ

 

 

เขาถอนใจเบาๆ มองเยี่ยเม่ย “ต่อให้หลังแต่งงาน กลายเป็นคนของข้าแล้ว ก็ยังเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”

 

 

“ใช่!” เยี่ยเม่ยพยักหน้า มองเขาเย็นชา “ข้าคิดว่าปัญหาที่อี้อ๋องครุ่นคิดในยามนี้ ไม่สมควรเป็นข้ามีท่าทีดีกับท่านบ้าง แต่ที่ควรกังวลคือ สตรีที่แค้นท่านเข้ากระดูก เป็นภรรยาของท่านนอนอยู่ข้างกาย ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่จะลงมือสังหารท่านมากกว่า!”

 

 

นางเอ่ยเช่นนี้ เป่ยเฉินอี้ไม่เพียงไม่แสดงสีหน้ากังวลหรือโมโห

 

 

กลับมองเยี่ยเม่ย ตอบอย่างจริงจัง “หากเจ้าใช้ฐานะภรรยาของข้าสังหารข้าได้ นั่นคือสิ่งที่ข้าใฝ่ฝัน”

 

 

เพราะนี่คือสิ่งที่เขาคาดการณ์ได้ เป็นบทสรุปที่เป็นไปได้มากที่สุดของพวกเขาทั้งสองคน

 

 

บทสรุปที่ดีที่สุด

 

 

นอกจากนี้ ก็ไม่เห็นคำตอบอื่นใดอีก ต่อให้มีก็คงจะยิ่งแย่ นางกลายเป็นภรรยาของผู้อื่น สุดท้ายนางก็ยังใช้ดาบแทงทะลุหัวใจเขา

 

 

เทียบกันแล้ว เขายอมตายข้างหมอนนางมากกว่า

 

 

อย่างน้อยพวกเขาก็เคยมีเวลาสนิทชิดใกล้

 

 

เยี่ยเม่ยฟังคำพูดเขา พลันหมดความปรารถนาที่จะสื่อสารกับเขาอีก เขาแสวงหาความตายอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะนางจะยั่วยุเขาหรือไม่ สำหรับเขาแล้วล้วนไม่มีข้อแตกต่าง ในเมื่อคำพูดทำร้ายคนไม่ได้ นางก็คร้านจะเอ่ยปาก

 

 

ไม่ผิด นางอยากทำร้ายเขาเท่านั้น ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม

 

 

เยี่ยเม่ยหลับตาลง กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

 

 

ครั้งนี้เป่ยเฉินอี้ไม่หาหัวข้อสนทนาอีก เพราะเขาเข้าใจ ไม่ว่าเขาพูดอะไรออกไป เยี่ยเม่ยก็ไม่มีทางทำหน้าดีๆ ให้เขา ทั้งไม่สงบใจเป็นมิตรตอบคำถามเขาอย่างจริงจัง ส่วนสิ่งที่เขาพยายามเอาใจทั้งหลาย ต่อหน้าก็เป็นเพียงของไร้ประโยชน์

 

 

รถม้าดำเนินมาถึงจวนแม่ทัพใหญ่

 

 

เยี่ยเม่ยไม่ร่ำลาก็เตรียมโดดลงจากรถไปแล้ว

 

 

เสี้ยววินาทีที่นางเลิกม่านออก เป่ยเฉินอี้มองนาง “เยี่ยเม่ย ชั่วชีวิตนี้เจ้ายังจะขึ้นรถม้าของข้าอีกหรือไม่”

 

 

คำถามนี้มีนัยลึกซึ้งนัก

 

 

หากนางแต่งให้ผู้อื่น ด้วยฐานะภรรยาผู้อื่นก็ไม่สะดวกจะนั่งรถม้าเขาอีก อย่างนั้นหลังจากการลาจากนี้ ภายหน้าพวกเขาก็ไม่มีโอกาสนั่งรถม้าคันเดียวกันอีกแล้ว

 

 

แต่หากนางแต่งกับเขา

 

 

หลังจากวันนี้ไป ไม่ว่านางจะชอบหรือไม่ นางได้สวมฐานะภรรยาเขา ร่วมทางกับเขาไม่อาจถอยได้อีก

 

 

เยี่ยเม่ยชะงักเล็กน้อย

 

 

ตอบกลับด้วยเสียงนิ่ง “ความจริงข้าก็ไม่รู้”

 

 

สิ้นเสียงนางก็กระโดดลงจากรถ สำหรับคนที่นางเกลียด เยี่ยเม่ยไม่มีความรู้สึกเสียดาย และไม่มีอารมณ์กังวลถึงโอกาสการเดินทางร่วมกันอีก

 

 

นางก้าวเท้าสวบๆ กลับเข้าจวน

 

 

เป่ยเฉินอี้มองเยี่ยเม่ยเดินกลับเข้าไป ก็ค่อยๆ ปล่อยม่านลง ไม่ช้าเขาก็ไอออกมา เวลานี้ชิงเกอเอ่ยปากว่า “ท่านอ๋อง หมอปีศาจบอกแล้วว่าหลายวันนี้อารมณ์ของท่านไม่สงบเลย อย่าได้พบแม่นางเยี่ยเม่ยง่ายๆ อีก ท่านฟังเขาเถอะ อย่างไรเสียแม่นางเยี่ยเม่ยก็ไม่อยาก…”

 

 

ไม่อยากพบท่าน

 

 

ชิงเกอไม่พูดคำสุดท้ายออกมาทั้งหมด ทั้งหักใจพูดออกมาไม่ลง

 

 

เป่ยเฉินอี้ฟังแล้วก็ยิ้มออก เอ่ยเสียงขรึม “ก็ดี!”