เฟิ่งชิงเฉินพลันมองไปยัง “ศพ” ที่นอนอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าวันนี้จะเป็นอย่างไร คงต้องได้ช่วยคนที่อยู่ตรงหน้า ให้ฟื้นขึ้นมาให้ได้ ไม่เช่นนั้น นางได้เจอเรื่องยุ่งยากอย่างแน่นอน
เฮ้อ ด้วยนิสัยของนางในยุคนี้ บางทีมันอาจจะทำให้นางเกิดปัญหาขึ้นมาในอนาคตได้
ทว่า นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว!
ถึงแม้ว่า นางจะรู้ว่า มันจักต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมาา หากแต่นางก็ยังต้องการที่จะลองชนกับมันดูสักตั้ง
ในฐานะที่นางเป็นหมอ นางไม่สามารถเห็นคนตายอยู่ตรงหน้าโดยไม่ช่วยอะไรได้ อีกทั้งนางยังไม่อาจทำใจเย็นชามองได้อีกเช่นกัน ในเมื่อพวกเขามีโอกาสที่จะรอด แต่กลับต้องมาตายอยู่ตรงหน้านางเช่นนี้
ความเฉยเมยของแพทย์ ก็ไม่ต่างอะไรกับการฆาตกรรมพวกเขาเช่นกัน
ไม่ว่าผู้อื่นจะคิดเช่นไร แต่นาง เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจทำใจนิ่งดูดายได้แน่
นางรักในชีวิตของตนเอง แต่ก็รักในการช่วยชีวิตของผู้อื่นเช่นกัน
เฟิ่งชิงเฉินพลันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พยายามที่จะปัดเรื่องราวที่กำลังตีรวนอยู่ในหัวออกไปให้หมด
นางเป็นหมอ นางจะต้องพยายามที่จะช่วยชีวิตคนไข้ให้ได้ คนอื่นอาจจะคิดยอมแพ้ที่จะปล่อนคนไข้ไป แต่ในฐานะหมอคนหนึ่ง พวกเขาไม่อาจปลดปล่อยคนไข้ไปได้ โดยมิได้พยายามช่วยจนถึงที่สุด
ลมหายใจที่แผ่วเบา พร้อมกับชีพจรที่หยุดเต้นลง เครื่องมือซีพีอาร์ที่ไม่อาจนำมาช่วยได้ เช่นนั้น นางก็จะใช้วิธีดั้งเดิม
ถึงแม้ว่า วิธีนี้จะไม่ค่อยดีมากนัก ชีวิตของตนเองก็ยากที่จะรักษาเอาไว้แล้ว แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นเช่นกัน
เฟิ่งชิงเฉินพลันยื่นมืออกไปวางไว้บนหัวใจข้างซ้ายของ “ศพ” พร้อมทั้งกดลงไปเล็กน้อย เมื่อจับตำแหน่งได้แล้ว นางก็ใช้แรงกดไปที่มืออย่างเต็มแรง
ท่าทางเช่นนั้น หาได้เหมือนเป็นการช่วยชีวิตคนไม่
อย่างน้อย ในสายตาของซูเหวินชิงก็เป็นเช่นนั้น
“พลัก” เสียงที่ดังออกมา “ศพ” ที่อยู่ตรงหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันกระเด้งตัวขึ้นมาในทันที พร้อมทั้งค่อย ๆ ตกลงไปตามท่านอนเช่นเดิม
ซูเหวินชิง พลันเบิกตากว้างมองตรงมา
พลัก พลัก พลัก เสียงที่ตีรัวพลันดังขึ้นมาไม่หยุด “ศพ” ก็กระเด้งตัวตามขึ้นมาเสียหลายครั้ง ท่าทางเช่นนี้ มันใช่ท่าที่ช่วยชีวิตคนหรือ ท่าทางเช่นนั้นเหมือนกำลังทุบตีศพยิ่งนัก
เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ต่างพากันปาดเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลออกมาอย่างช้า ๆ
คุณหนูเฟิ่งผู้นั้น คงมิใช่ว่า ทำการตี “ศพ” เพื่อให้รับรู้ถึงความเจ็บปวด แล้ว “ศพ” มันจะฟื้นคืนขึ้นมาใช่หรือไม่?
เจ้าหน้าที่ต่างพากันหัวเราะให้กับท่าทางการช่วยชีวิตคนของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ ที่พวกเขาหลงเหลือเพียงแค่ความชื่นชมนางเล็กน้อยเท่านั้น
สตรีอย่างไรก็เป็นแค่สตรี พวกนางมีหน้าที่เพียงแค่อยู่แต่เย้าแค่เรือน เพื่อเย็บปักถักร้อยรออยู่บ้านเท่านั้น อย่าได้ตั้งความหวังกับพวกนางให้มากไปนัก
พูดได้อย่างไรว่าไม่ตายกัน มันเป็นเพียงแค่ เรื่องที่น่าอัศจรรย์เท่านั้นแหละ
ในยามนี้ เรื่องราวก็ค่อย ๆ ถูกเปิดเผยแล้ว
ต่างก็พากันแอบหัวเราะเยาะให้กับท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินเสียอยู่หลายครั้ง ภายในใจพวกเขายังแอบคิดว่า จะนำเรื่องของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ กลับไปบอกเล่านินทาให้กับฮูหยินของตนเองที่อยู่ที่บ้าน เพื่อให้พวกนางอยู่ห่าง
หากแต่เขาก็ไม่กล้าลงมือเช่นกัน
ๆ ครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินกดมือลงไป ล้วนแต่เป็นการใช้แรงกายทั้งหมด
ทว่า หากซูเหวินชิงมายืนที่ด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉินนั้น เขาก็จะพบกับอาการเหนื่อยหอบของเฟิ่งชิงเฉินได้เป็นอย่างดี
สัญญาณชีพจรจาก”ศพ” ที่กำลังค่อย ๆ ฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว
“พลัก”
เฟิ่งชิงเฉินใช้แรงทั้งหมดในร่างกายไปกับการช่วยปั๊มหัวใจในครั้งสุดท้าย “ศพ”
“แค่ก ๆ ”
หากแต่ผู้คนภายในห้องเก็บศพล้วนแต่ได้ยินโดยทั่วกัน
” ซูเหวินชิงพลันเข้าไปสวมกอดเด็กชาย
ม่านหมอกในแววตาของซูเหวินชิง พลันจางหายไปในทันที
ฟื้นแล้ว น้องชายของเขามีชีวิตแล้ว มีชีวิตจริงๆ !
แม้แต่หมอที่ดีที่สุด เขาก็ได้ไปเชิญมาตรวจดูอาการ
เหวินหางที่ร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด จู่
มันต้องมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นแน่!
แต่เขามิได้คิดเลยว่า การกระทำในครานี้
กระพริบถี่ขึ้น พร้อมทั้งพยายามที่จะลืมตาขึ้นมา ใบหน้าที่ค่อย
“พี่ใหญ่”
ๆ ” ซูเหวินชิงกอดน้องชายของตนเองเอาไว้
พี่ใหญ่
ที่นางจะสามารถทรงตัวให้มั่นคงได้ นางเหนื่อยเสียจนหอบหายใจไม่หยุด เมื่อเงยหน้าขึ้นมา
เจ้าอยากให้เขาตายอีกรอบหรืออย่างไร? ยังไม่รีบพาเขาไปหาหมออีก
ซูเหวิงชิงพลันรีบผละเด็กชายออกห่างในทันที พร้อมเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “คุณหนูเฟิ่ง เจ้าไม่ใช่หมอหรือ?”
“ข้าไม่ใช่ รีบพาเขาไปหาหมอเสีย หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีก ข้าคงไม่อาจรับประกันได้”
เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาด้วยความไม่สบอารมณ์ ความสามารถในด้านการแพทย์ทางศาสตร์ตะวันตกของนาง ไม่อาจะเทียบเท่าทักษะแพทย์แผนจีนที่มีความละเอียดและลึกซึ้งมากนัก ใ
ๆ
“ห้ะ”
สามารถชุบชีวิตคนตายขึ้นมาได้ ยังไม่อาจเรียกตนเองว่าเป็นหมอ ถ้าอย่างนั้น ต้องเป็นคนเช่นไรถึงสามารถเรียกว่าหมอได้กัน?
“รีบ ๆ ไปเสีย ร่างกายของเขาอ่อนแอมากนัก”
ซูเหวินชิงพลันรีบร้อนพยักหน้าในทันที
ๆ กับพวกเขาเช่นกัน ภายในห้องเก็บศพจึงตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
“คุณหนูเฟิ่ง?”
เฟิ่งชิงเฉินพลันส่งเสียงตอบออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย สายตาพลันไปตกอยู่ที่ร่างที่ไร้ลมหายใจของสาวใช้ข้างกาย จากนั้น นางจึงคลำไปที่กระเป๋าของตนเอง พร้อมกับหยิบเหรียญตำลึงเงินขึ้นมาเก้าเหรียญ ยื่นส่งไปให้เจ้าหน้าที่ทั้งสองคน
“ข้ามีเพียงเท่านี้ พวกเจ้านำมันไปซื้อโลงศพฟังนางเถิด หากเงินไม่พอ ถือว่าข้าติดหนี้พวกเจ้าไปเสียครั้งหนึ่งแล้วกัน”
เฟิ่งชิงเฉินพลันกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่นึกละอายใจเลยแม้แต่น้อย
ไม่มีเงินหาใช่เรื่องน่าอายไม่ แต่มันจะน่าอายยิ่งกว่า หากไม่คิดที่จะพยายามหาเงิน
ถึงแม้ว่าจะกล่าวออกมาเช่นนั้น แต่นางมีทักษะอยู่ในมือเช่นนี้ เกรงว่าการหาเงินคงมิใช่เรื่องยากแต่เท่าใด
ทักษะของนาง อาจจะไม่เหมาะกับการไปแย่งอาชีพหากินของบรรดาหมอคนอื่น ๆ ได้ แต่หากเป็นเรื่องรอยคมมีดดาบ รอยถูกยิงธนูเช่นนี้ นางมีความสามารถของกระเป๋าทางแพทย์อยู่ในมือ คงมิใช่เรื่องที่ยากเย็นเกินไปที่จะหาเงินนัก
การหาเงินเป็นเพียงโอกาสเดียวเท่านั้น
“พอ พอขอรับ คุณหนูเฟิ่งวางใจได้ขอรับ พวกกระหม่อมจะไปจัดการซื้อโลงศพและทำการฝังนางให้เอง” เจ้าหน้าที่ทั้งสองหาใช่คนโง่เง่าไม่ เมื่อพวกเขาเห็นฝีมือของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้แล้วนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่า ไม่อาจรังแกเฟิ่งชิงเฉินได้ง่ายนัก แม้ว่าด้วยทักษะของนางเช่นนี้ แต่นางก็กังวลถึงเรื่องเงิน ผู้ใดที่ไม่เคยมีโรคภัยไข้เจ็บ ผู้นั้นก็ไม่สมควรไปรังแกคนที่เป็นหมอ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอตัวก่อน หากไม่พอ ให้ไปเอาเงินที่จวนเฟิ่งได้เลย”
เฟิ่งชิงเฉินพลันลากร่างกายที่เหนื่อยล้าของตนเดินกลับจวนไป
เมื่อเดินออกมา พลันพบว่า ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ตกดินเสียแล้ว กว่านางจะรู้ตัวอีกที นางก็ใช้เวลาอยู่ภายในห้องเก็บศพมาถึงครึ่งค่อนวัน
แสงดวงอาทิตย์ที่ส่องมากระทบไปยังทั่วร่างของนาง พลัน ค่อย ๆ ปัดเป่าความชื้นที่อยู่ภายในห้องเก็บศพให้จางหายไป เฟิ่งชิงเฉินพลันหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับการชื่นชมแสงของดวงอาทิตย์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้น ก็ลากร่างกายของตนเองที่ทั้งเหนื่อยทั้งกระหายน้ำกลับจวนไปในทันที
ยามที่นางเดินทางมา ล้วนแต่มีผู้คนให้ความสนใจโดยตลอด หากแต่หนทางกำลังจะเดินทางกลับ กับไม่มีผู้ใดให้ความสนใจนางเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ในยามที่เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปรวมกับฝูงชน ก็หาได้มีผู้ใดสังเกตุเห็นนางไม่
เมื่อเดินผ่านถนนมาได้ถึงสามสาย ก็มาถึงทางแยกของถนนเส้นพระราชวังในทันที เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เพียงแค่เดินผ่านถนนเส้นนี้ไป นางก็จะถึงจวนเฟิ่งเสียที
สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังพูดคุยหัวเราะกันและกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเสียมากมาย เฟิ่งชิงเฉินกลับชะลอฝีเท้าลงอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อได้ช่วยชีวิตคนไว้ได้หนึ่งคนนั้น อารมณ์ของนางพลันรู้สึกดีขึ้นมา พร้อมกับความคาดหวังในชีวิตของนางในอนาคตข้างหน้า
ยามที่เดินไป ก็วาดฝันอนาคตของตนเองไปเรื่อย ว่าต่อไปในภายภาคหน้า นางควรจะจัดการเช่นไรต่อดี
อาหารภายในจวนเฟิ่งมีไม่มากนัก อีกทั้งเงินก็ไม่มีแล้วด้วย เป็นไปได้หรือไม่ ที่นางจะขายทรัพย์สินเสื้อผ้าอาภรณ์มากมายภายในจวนเฟิ่งเพื่อมาแลกเป็นเงิน?
ไม่ได้ ไม่ได้ นางจำได้ว่าภายในจวนเฟิ่งมีเครื่องดนตรีฉินอยู่ เช่นนั้น นางควรจะขายมันไปดีหรือไม่
ในขณะที่เฟิ้งชิงเฉินกำลังขบคิดถึงเรื่องนี้อยู่นั้น จู่ ๆ ก็พลันมีรถม้าวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วไว พร้อมกับทหารยามที่คอยอารักขารถม้า วิ่งเข้ามาทั้งสองทาง
“หลบ หลบไป ยังไม่รีบหลีกทางไปอีก นี่เป็นรถม้าขององค์หญิงอันผิง รีบหลบไปเสีย!”
หากชนตายไม่รับผิดชอบ!