เดิมที่จ้าวเหวินเทาอยากนำเข้าผักจากเสี่ยวหวัง เพราะกลัวว่าจะถูกโก่งราคาจึงไปดูที่หมู่บ้านไท่ผิง ทำความเข้าใจราคาตลาดสักหน่อย เพื่อที่เขาจะได้เป็นฝ่ายได้เปรียบ

แต่พี่ใหญ่หลิวกลับไปแล้ว ประกอบกับหิมะได้ตกลงมาอีกครั้ง หากเดินทางเข้าไปนำผักมาขายอีกครั้งก็คงไม่สะดวกแล้ว เสี่ยวหวังมีความสัมพันธ์กับหน่วยงานส่วนหนึ่ง จึงสั่งผักได้ค่อนข้างง่าย เพียงแต่ยังไม่ได้ตกลงเรื่องราคากัน

“คุณจะกลับไปกับฉันเหรอคะ? พรุ่งนี้คุณไม่มีธุระเหรอ คุณจะไปรับผักใบเขียวกับเสี่ยวหวังเพื่อนำเข้าไปขายไม่ใช่เหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ถาม

“ไม่มีปัญหา ไม่ต้องรีบซื้อขายถึงที่หรอกครับ ปล่อยว่างไปสักสองสามวันก่อน” จ้าวเหวินเทากล่าว

“เขามีความสัมพันธ์กับหน่วยงาน คงหาผู้ซื้อได้ง่ายมากเลยสินะคะ?” เย่ฉูฉู่ครุ่นคิดพลางกล่าว

“พ่อค้าคนกลางน่ะหาง่ายมาก แต่จะหาคนที่มีความน่าเชื่อถือน่ะมันยากนะ” จ้าวเหวินเทากล่าวเคล้ารอยยิ้ม

เย่ฉูฉู่ได้ยินเขากล่าวอย่างภาคภูมิใจ จึงผลักเขาหนึ่งที “ยกยอตัวเองอีกแล้วนะคะ”

“ผมไม่จำเป็นต้องยกยอตัวเองหรอก เพราะผมเป็นแบบนี้อยู่แล้ว” จ้าวเหวินเทาหอมเธอ “ภรรยาไม่ต้องกังวล ผมมีแผนในใจแล้ว นอนกันเถอะ”

เย่ฉูฉู่ย่อมเชื่อในตัวสามีของเธอ แค่พูดคุยเฉย ๆ ก็ง่วงนอนเล็กน้อยแล้ว หลังจากตอบอืมก็ผล็อยหลับไป

วันรุ่งขึ้น เย่ฉูฉู่หยิบผักใบเขียวสองสามชนิดออกมาจากห้องใต้ดิน ใช้เศษผ้าห่อและวางไว้ในตะกร้า แขวนไว้ที่คันบังคับของจักรยาน เธอนั่งตรงที่นั่งด้านหลัง ส่วนจ้าวเหวินเทาก็ทำหน้าที่ขี่จักรยานไปบ้านพ่อตา

ทั้งสองหมู่บ้านอยู่ไม่ไกล การขี่จักรยานจึงเร็วกว่า ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักก็ถึงแล้ว

“ฉูฉู่ เหวินเทา ทำไมพวกลูกถึงกลับมาที่บ้านได้ล่ะเนี่ย!” คุณแม่เย่ออกมาเห็นพวกเขาพอดี จึงกล่าวอย่างมีความสุขในทันที

“แม่คะ!” เย่ฉูฉู่ลงมาจากจักรยาน กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ก็มาหาแม่ไงคะ แล้วพี่สามพาพี่สะใภ้กลับมาหรือยัง?”

“พากลับมาแล้ว” คุณแม่เย่ยิ้ม “กลับมาเมื่อคืน กลับมาถึงก็ดึกมากแล้ว ตอนนี้ยังนอนอยู่เลย”

จ้าวเหวินเทาขยิบตาให้ภรรยาของตัวเองทันที มีหรือที่เย่ฉูฉู่จะไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร การหยอกล้ออย่างไรล่ะ

นางยิ้มพลางกลอกตาใส่เขา จากนั้นก็เดินเข้าบ้านไปกับแม่

“โอ้ คุณแม่ คุณแม่ได้เลี้ยงหมูแล้วเหรอครับเนี่ย?” เมื่อจ้าวเหวินเทาเห็นลูกหมูอยู่ในเล้าหมูจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ได้เลี้ยงแล้วล่ะ ก็ว่าง ๆ อยู่ เลยเอามาเลี้ยงซะเลย” คุณแม่เย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

คนอื่น ๆ ก็ออกมากันแล้ว อาจจะเป็นเพราะได้ยินเสียง เย่หมิงเป่ยก็สวมเสื้อแจ็กเกตออกมาด้วย

“พี่สามอรุณสวัสดิ์ครับ” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

เย่ฉูฉู่ลอบหยิกเขาไปหนึ่งครั้ง เพื่อให้เขาสำรวมหน่อย ทำให้จ้าวเหวินเทาแสยะยิ้มอย่างเจ็บปวด

เย่หมิงเป่ยเองก็ไม่กลัวถูกล้อ เรื่องที่น่ายินดีนี้ทำให้เขามีความสุข กล่าวเคล้ารอยยิ้มว่า “ทำไมพวกเธอถึงมากันตั้งแต่เช้าล่ะเนี่ย”

“ตอนนี้สิบโมงกว่าแล้วนะคะ ยังเรียกว่าเช้าอีกเหรอ?” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

เย่หมิงเป่ยยิ้ม หลังจากพูดคุยกับพวกเขาสักพัก ก็เห็นโจวหมิ่นเดินออกมา

“พี่สะใภ้สาม ปิดเทอมแล้วเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ปิดเทอมแล้วจ้ะ” โจวหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม หล่อนเองก็รู้สึกไม่ดีเล็กน้อย เป็นเพราะนอนดึกจริง ๆ จึงเพิ่งมาตื่นเอาตอนนี้ หล่อนมองไปทางจ้าวเหวินเทาและกล่าวว่า “นี่คือน้องเขยสินะ?”

เหมือนกับชาติที่แล้ว น้องสาวสามีคนนี้ก็ยังคงแต่งงานกับน้องเขยที่ดูเหมือนเอ้อระเหยลอยชายคนนี้ แต่กลับถูกน้องเขยคนนี้รักประคบประหงมทั้งชีวิต

“พี่สะใภ้สามสวัสดีครับ” จ้าวเหวินเทากล่าวด้วยรอยยิ้ม

คุณแม่เย่เดินออกมาจากห้อง “หนาวขนาดนี้ ทำไมยังคุยกันนอกห้องอีก เข้ามาในห้องเร็ว!”

เมื่อเข้าไปในห้องทางทิศตะวันออกของคุณแม่เย่ บนเตียงนั้นร้อนมาก เตาอุ่นเตียงก็ร้อนเช่นกัน ภายในห้องจึงไม่หนาวสักนิด

“คุณแม่ คุณพ่อล่ะครับ แล้วพี่ใหญ่ พี่รองกับพวกพี่สะใภ้ไปไหนกันหมด? เช้าขนาดนี้แล้วทำไมผมยังไม่เห็นใครเลย?” จ้าวเหวินเทาถามอย่างงุนงง

“พ่อไปที่ทีมใหญ่แล้ว ไปถามว่าจะฆ่าหมูเมื่อไหร่ แล้วก็ถามเรื่องที่อยู่ด้วย พี่ใหญ่กับพี่รองแล้วก็พวกพี่สะใภ้กลับไปบ้านแม่ยายแล้ว ทีมของพวกเขาฆ่าหมู ก็เลยไปกินเนื้อหมูกันนั่นแหละ” คุณแม่เย่ยกถังสุ่ย[1] มาให้พวกเขาสองถ้วย “รีบดื่มสิ ทำตัวให้อุ่น ๆ ไว้”

“ทางเดินเส้นนี้ยังไม่ทันเย็นพวกเราก็มาถึงแล้ว คุณแม่ ไม่ต้องทำให้เหนื่อยหรอกครับ” จ้าวเหวินเทารับน้ำมาวางไว้บนเตียง

“พวกเธอกินข้าวมาหรือยังจ๊ะ?” โจวหมิ่นถามด้วยรอยยิ้ม

“อื้อ” เย่ฉูฉู่ตอบ

คุณแม่เย่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนเที่ยงก็อยู่กินข้าวที่นี่สิ พวกเราจะกินเกี๊ยว ตอนบ่ายพวกลูกค่อยกลับนะ แม่จะไปต้มอาหารหมู พวกลูกนั่งคุยกันไปก่อน”

“คุณแม่ ให้ผมไปช่วยนะ” จ้าวเหวินเทารีบกล่าว เขาต้องการเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงหมูจากแม่ยายสักหน่อย

“นายเพิ่งมาถึงก็จะทำงานแล้วเหรอ?” โจวหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉูฉู่ เธอไม่เป็นห่วงเขาเหรอ?”

เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นห่วงอะไรกันล่ะคะ เขาอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ”

คุณแม่เย่รู้ความคิดของลูกเขย จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มาสิ มาดูหมูที่แม่เลี้ยง”

จ้าวเหวินเทาจึงเดินไปพร้อมกับคุณแม่เย่

เย่หมิงเป่ยเรียกน้องสาวของตัวเองและภรรยาให้ไปนั่งคุยกันบนเตียง แม้ว่าในห้องจะไม่เย็น แต่การยืนบนพื้นนาน ๆ ก็รู้สึกเย็นนิดหน่อยเหมือนกัน

ทั้งสองคนขึ้นไปนั่งบนเตียง วางเท้าไว้หน้าเตาอุ่นเตียง พูดคุยกันอย่างอบอุ่น

“พี่สะใภ้สาม พวกพี่ปิดเทอมกันกี่วันเหรอคะ?” เย่ฉูฉู่ยกถังสุ่ยขึ้นมาจิบ ยื่นถ้วยอีกใบให้โจวหมิ่น

“ผ่านเทศกาลโคมไฟก็กลับแล้วล่ะ พี่ได้ยินคุณแม่บอกว่าอีกไม่นานทางฝั่งเราจะมีระบบสัญญาที่ดินแล้ว พวกเธอได้วางแผนกันหรือยังว่าจะทำอะไร?” โจวหมิ่นกล่าวขณะถือถ้วยถังสุ่ยอุ่นมือ

หลังจากได้รับความชุ่มชื้นจากวสันตวารีเมื่อคืนนี้ สีหน้าและแววตาของโจวหมิ่นจึงมีประกายชุ่มชื้นขึ้น

เย่หมิงเป่ยนั่งมองภรรยาของตัวเองจากด้านข้าง มองเท่าไรก็ไม่พอจริง ๆ

ในใจของเย่ฉูฉู่แอบหัวเราะท่าทางซื่อบื่อของพี่สาม กล่าวว่า “เหวินเทาเขาไม่อยากทำนาน่ะค่ะ เขาบอกว่าทำนาไม่มีอนาคต ช่วงไม่กี่เดือนมานี้เขาก็ออกไปค้าขายมา”

จากนั้นจึงเล่าเรื่องที่จ้าวเหวินเทาไปขายผักขายเนื้ออีกรอบ

โจวหมิ่นเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง หล่อนกล่าวว่า “เหวินเทาเป็นคนมีวิสัยทัศน์มากเลยนะเนี่ย ทำค้าขายตอนนี้อนาคตจะดีมาก ๆ เลย”

แม้เย่ฉูฉู่จะไม่สนใจว่าโจวหมิ่นพี่สะใภ้สามคนนี้จะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่จ้าวเหวินเทาทำหรือไม่ แต่โจวหมิ่นที่เป็นพี่สะใภ้สามคนนี้กลับเห็นด้วย ทำให้เธอมีความสุขมาก ถึงอย่างไรพี่สะใภ้คนนี้ก็เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เรื่องที่นักศึกษาเห็นด้วยย่อมสามารถทำได้

“มีคำพูดที่ว่าไม่มีธุรกิจก็ไม่ร่ำรวย ไม่มีการเกษตรก็ไม่มั่นคง ตอนนี้กับก่อนหน้านี้มันไม่เหมือนกันแล้ว ด้านนอกมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจริง ๆ โดยเฉพาะบริเวณชายฝั่งทะเล เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนทำให้คนแทบไม่อยากเชื่อเลยล่ะ” โจวหมิ่นกล่าว ในขณะที่เย่หมิงเป่ยอยู่ที่นี่ หล่อนจึงบอกเล่าเรื่องราวที่หล่อนรู้มาจากอนาคตคร่าว ๆ

การกลับมาครั้งนี้ หล่อนไม่ต้องการแยกทางกับเย่หมิงเป่ยอีกครั้ง หล่อนอยากพาเย่หมิงเป่ยออกไปด้วย!

เย่ฉูฉู่ย่อมเข้าใจแนวคิดไม่มีธุรกิจไม่ร่ำรวย ไม่มีการเกษตรก็ไม่มั่นคง พึ่งพาการทำนาเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถร่ำรวยได้ เพียงแต่ในยุคนี้ธุรกิจมีข้อจำกัดต่าง ๆ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่มีนโยบายอย่างเป็นทางการที่แน่นอนอยู่ดี

ภายในใจจึงรู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย

แต่เมื่อฟังคำพูดของโจวหมิ่น เธอจึงตระหนักได้ว่าตอนนี้ต่างจากเมื่อก่อนมาก ทั่วประเทศต้องการจับด้านเศรษฐกิจเป็นหลักเหรอ?

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเหวินเทาก็สามารถทำได้อย่างเป็นอิสระแล้ว่น่ะสิคะ” เย่ฉูฉู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม

โจวหมิ่นมองดูเย่ฉูฉู่ที่ยิ้มอย่างมีความสุข จึงรู้ว่าน้องสามีคนนี้มีชีวิตที่ดี เมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองแต่งงานเข้ามา น้องสามียังไม่แต่งออกไป นิสัยในตอนนั้นไม่เหมือนกับตอนนี้เลย ไม่คิดว่าคนที่แต่งงานแล้วจะเปลี่ยนนิสัยได้มากขนาดนี้

โจวหมิ่นมองไปทางเย่หมิงเป่ย เพื่อดูว่าเขามีปฏิกิริยาอะไรบ้าง?

ผลลัพธ์ที่ได้เย่หมิงเป่ยนั่งมองภรรยาของตัวเองด้วยท่าทางโง่งม เขาไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าภรรยาของเขาพูดอะไรไปบ้าง

…………………………………………………………………………

[1] ถังสุ่ย (糖水) คล้ายกับเต้าทึงไม่ใส่น้ำแข็ง

สารจากผู้แปล

พี่สะใภ้สามไฟเขียวแล้ว แถมเป็นคนจากอนาคตด้วย หนทางรวยอยู่ไม่ไกลแล้วล่ะฉูฉู่

ไหหม่า(海馬)