โจวหมิ่นยิ้มพลางกลอกตาใส่เขา ช่างเป็นเจ้ายักษ์โง่เง่าจริง ๆ

“ฉูฉู่ เธอบอกว่าเหวินเทาค้าขายผักใบเขียวเหรอ?” โจวหมิ่นหันไปถามน้องสามี

“ใช่ค่ะ แต่สถานที่ซื้ออยู่ค่อนข้างไกล เขาก็เลยทำได้แค่เข้าไปในมณฑลเพื่อให้คนนำเข้าไปให้ เห็นเหวินเทาบอกว่าเขาเป็นพ่อค้าคนกลาง” เย่ฉูฉู่ยิ้มขึ้นมา “แต่กำไรก็ไม่ได้สูงขนาดนั้นนะคะ”

โจวหมิ่นกล่าว “สถานที่ที่พวกเราอยู่มีอากาศหนาว ถึงฤดูหนาวมีหิมะตกเมื่อไหร่ก็เดินทางไม่สะดวกแล้ว มีเพียงผักใบเขียวในฤดูหนาวเท่านั้นแหละที่จะมีราคา”

เย่ฉูฉู่กล่าว “อันที่จริงสภาพถนนก็ยังดีอยู่นะคะ แค่วิ่งตามรอยรถ รถก็ไม่ล้มแล้ว ถึงรถจะล้มแต่หิมะตกหนักขนาดนี้ก็ไม่กระแทกกับอะไรหรอก ประเด็นคือไม่มีรถน่ะสิ ถ้าเป็นรถม้ารถล่อ เหวินเทาบอกว่ามันช้าเกินไป ขี่ไปกลับหนึ่งวันกลับมาถึงก็กลางดึกแล้ว ต้องมีรถถึงจะดีน่ะค่ะ”

รถ? โจวหมิ่นใจเต้นตึกตัก

“ไม่มีก็ซื้อสักคันสิ ฉันเคยเห็นรถสามล้อที่มีตู้อยู่ด้านหลัง มันเล็กกว่ารถเพื่อการเกษตรอีกนะ แถมยังมีเครื่องยนต์ด้วย ใช้น้ำมัน ราคาก็ไม่แพงด้วยนะ ประมาณเก้าร้อยหยวนมั้ง” โจวหมิ่นใช้แนวคิดในยุคอนาคตมาใช้โดยไม่รู้ตัว หล่อนย่อมรู้สึกว่าเงินเก้าร้อยหยวนเป็นราคาไม่แพง

แต่เย่ฉูฉู่ไม่เหมือนกัน เมื่อได้ยินโจวหมิ่นบอกว่าเก้าร้อยหยวนไม่แพง ก็ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดี จึงเตือนว่า “พี่สะใภ้สาม เก้าร้อยหยวนแพงมากเลยนะคะ”

จนถึงตอนนี้ เงินเก็บในบ้านมีเท่าไรกันเชียว?

โจวหมิ่นได้น้องสามีบอกแบบนี้ ก็ตระหนักได้ถึงปัญหาของตัวเอง จึงทำได้แค่ยิ้มและกล่าวว่า “เอางี้ไหม ฉันจะออกเงินให้ก่อน พวกเธอเอาไปซื้อรถหนึ่งคัน มีเงินแล้วค่อยเอามาคืนฉัน เป็นยังไง?”

เย่ฉูฉู่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง รีบส่ายหน้าโดยเร็ว “พี่สะใภ้สาม ขอบคุณในความหวังดีของพี่นะคะ แต่พี่ยังต้องเรียนหนังสือ มีเรื่องให้ใช้จ่ายเงินอีกมาก พวกเราจะไปเอาเงินของพี่ได้ยังไง? มันไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะคะ”

โจวหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เธอไม่ต้องกังวลหรอก ที่มหาวิทยาลัยยังมีทุนการศึกษา พวกเราไม่ต้องใช้เงินในการเรียน อีกอย่าง ฉันออกแบบเสื้อผ้าร่วมกับคนอื่น ขายดีมากเลยนะ เธอคงไม่รู้ ในเมืองใหญ่อย่างเมืองหลวง มีหลายสิ่งที่สามารถทำเงินได้ มาสิ ไปที่ห้องฉันกัน ฉันจะให้เธอดูเสื้อผ้าที่ฉันออกแบบ”

โจวหมิ่นเรียกน้องสามีไปสวมรองเท้าเพื่อเดินไปที่ห้องทิศตะวันตก

เย่ฉูฉู่ก็อยากรู้เกี่ยวกับการออกแบบเสื้อผ้าของพี่สะใภ้สาม จึงเดินตามไป

เย่หมิงเป่ยอยากเข้าไปด้วย โจวหมิ่นกล่าวอย่างขบขันว่า “คุณรออยู่ที่นี่แหละ ฉันจะไปคุยกับฉูฉู่ คุณจะเข้ามาทำไมคะ?”

เย่หมิงเป่ยเพิ่งจะได้สติ เขากระแอมไอพลางกล่าว “งั้นคุณก็ไปคุยกับฉูฉู่เถอะ”

โจวหมิ่นยิ้มแกมตำหนิใส่เขาไปหนึ่งครั้ง

เย่ฉูฉู่ก็อยากจะหัวเราะเหมือนกัน พี่ชายสามของเธอในตอนนี้กลายเป็นทาสภรรยาเสียแล้ว

แต่ก็อย่าให้พูดเลย มีภรรยาแล้วก็จะแตกต่างไปจากเดิม ห้องของพี่ชายสามเปลี่ยนเป็นอบอุ่นมาก แถมยังมีกลิ่นหอมจาง ๆ ด้วย

โจวหมิ่นเปิดกระเป๋าเดินทางไปพลาง แนะนำไปพลางว่า “นี่คือของขวัญที่ฉันซื้อมาจากปักกิ่งเพื่อให้พวกเธอ นี่คือส่วนของพวกเธอ ฉันซื้อน้ำหอมมาให้เธอด้วยนะ ใช้ดีเป็นพิเศษเลยล่ะ เธอมาพอดี เอากลับไปด้วยนะ ของพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองฉันยังไม่มีเวลาให้พวกหล่อนเลย”

โจวหมิ่นหยิบกระเป๋าใบหนึ่งออกมาวางบนเตียง จากนั้นนำของขวัญอื่น ๆ ออกมาจากกระเป๋าเดินทาง เป็นเพราะหล่อนตื่นสาย จึงไม่ได้ให้คนที่ออกจากบ้านไปแล้ว

หล่อนยังหยิบสมุดออกแบบหนึ่งเล่มออกมาจากช่องกระเป๋าเดินทางด้วย

“ดูสิ นี่เป็นเสื้อผ้าที่ฉันออกแบบ” โจวหมิ่นยื่นสมุดออกแบบให้เย่ฉูฉู่ดู

เย่ฉูฉู่วางขวดน้ำหอมแสนประณีตลง รับสมุดมาเปิดดู หน้าต่างบานใหม่อีกด้านจึงถูกเปิดออก เสื้อผ้าด้านบนนี้เป็นภาพวาดที่ถ้าหากไม่วาดด้วยดินสอก็จะเป็นดินสอสี

มีกระโปรง มีเสื้อโค้ต ทั้งยังมีเสื้อเชิ้ตด้วย ทุกตัวล้วนเป็นแบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

โจวหมิ่นชี้ไปที่รูปหนึ่งในนั้นพลางกล่าว “เธอรู้ไหมว่าชุดเดรสแขนพองตัวนี้พวกเราขายได้เท่าไหร่? มีทั้งหมดห้าร้อยตัว ตัวละสิบหยวน”

“ห้าร้อยตัว ตัวละสิบหยวน?” เย่ฉูฉู่ไม่สนใจเรื่องเงินมากนัก แต่ก็แปลกใจขณะกล่าวว่า “ชุดในเมืองหลวงราคาแพงขนาดนี้เลยเหรอคะ?”

“ไม่ใช่ทั้งหมดที่ราคาแพงแบบนี้ แต่สินค้าของพวกเราเป็นสินค้าใหม่ คุณภาพสูง อีกอย่างพวกเราก็รับคำสั่งซื้อส่วนตัวด้วย ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ราคาแพงกว่าของธรรมดามากเลยล่ะ” โจวหมิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พี่สะใภ้สาม สมกับที่เป็นนักศึกษาหญิงจริง ๆ น่าทึ่งมากเลยค่ะ!” เย่ฉูฉู่ถึงกับกล่าวชื่นชม

นักศึกษาหญิง หากเป็นชาติก่อน ก็ต้องเป็นยอดบัณฑิตหญิง สุดยอดมากจริง ๆ

“ก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอก แค่ในเมืองใหญ่มีอะไรให้เห็นเยอะกว่า ย่อมได้รับแรงบันดาลใจอยู่แล้ว เธอดูนี่สิ” โจวหมิ่นไม่ได้คิดอะไร ถึงอย่างไรหล่อนก็มีข้อได้เปรียบ

หล่อนพลิกไปอีกไม่กี่หน้า แล้วชี้ไปยังกระโปรงยาวแบบถักตัวหนึ่ง “นี่เป็นกระโปรงขนสัตว์ ใช้สวมตอนฤดูหนาว ด้านในมีกางเกงผ้าฝ้ายบาง ๆ ด้านนอกสวมกระโปรงขนสัตว์ จะได้ไม่หนาว แถมยังดูดีอีกด้วย ตัวนี้ฉันขายได้ประมาณหนึ่งพันตัว ตัวละยี่สิบกว่าหยวน”

“กระโปรงขนสัตว์หนึ่งตัวก็ยี่สิบกว่าหยวนแล้ว?” เย่ฉูฉู่รู้สึกแอบตกตะลึงจนพูดไม่ออกเลยจริง ๆ

คนงานส่วนใหญ่ตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้าจนมืดค่ำ หนึ่งเดือนได้เงินแค่ 50-60 หยวน นี่คือในกรณีที่สถานการณ์ดีที่สุดนะ แต่เสื้อผ้าตัวเดียวก็มีราคายี่สิบกว่าหยวนแล้ว รายรับของพวกเขาใน 1 เดือนเท่ากับเสื้อผ้าแบบนี้ 2 ชิ้นเอง

ช่องว่างนี้ห่างกันค่อนข้างมากเลยล่ะ

โจวหมิ่นมองน้องสามีและกล่าวว่า “ฉูฉู่ ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ ทุกที่ต่างเป็นเงินเป็นทอง ทุกที่ต่างมีโอกาส เธอเข้าใจความหมายของพี่สะใภ้สามไหม? เหวินเทามีความสามารถ ถ้าเขาอยากทำก็ให้เขาทำเถอะ ฉันมีเงินใช้ไม่ขาดมือ ฉันสามารถให้พวกเธอยืมได้ รอพวกเธอได้เงินกลับมาค่อยเอามาคืน”

“พี่สะใภ้สาม ฉันรู้แล้วค่ะ ฉันจะคุยกับเหวินเทาดูนะคะ” เย่ฉูฉู่แอบซึ้งใจ กล่าวด้วยรอยยิ้ม

พี่สะใภ้สามไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยและทำเงินได้มากขนาดนี้ มีความรู้มาก แต่หล่อนกลับไม่ได้ดูถูกเธอและเหวินเทา ทั้งยังเล่าเรื่องภายนอกจำนวนมากมายให้ฟัง แถมยังสนับสนุนอีก เย่ฉูฉู่ไม่ใช่คนอกตัญญู เธอย่อมจดจำบุญคุณนี้ไว้ในใจ

แน่นอนว่าเธอเองก็รู้ดี ที่พี่สะใภ้สามโจวหมิ่นคนนี้ช่วยเธอแบบนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้าพี่ชายสามของเธอ

ดูเหมือนว่าทุกคนจะมองผิดแล้ว ที่พี่สามเอาแต่บอกว่าพี่สะใภ้สามจะกลับมาไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ในใจของพี่สะใภ้สามต้องมีพี่สามอยู่แน่ ๆ ไม่เช่นนั้นพี่สะใภ้สามที่มีความสามารถมากขนาดนี้จะกลับมาทำไม?

เมื่อเย่ฉูฉู่มองดูสมุดออกแบบเล่มนี้อีกครั้ง ใจของเธอแอบหวั่นไหวเล็กน้อย เธอเองก็อยากวาดกระโปรงแบบนี้บ้าง…

ในขณะนั้นเอง จ้าวเหวินเทาก็กำลังช่วยคุณแม่เย่ถือถังอาหารหมูให้อาหารหมูอยู่ เขากล่าวว่า “คุณแม่ ผมได้ยินว่าถ้าจะจับหมูก็ต้องจับตอนฤดูใบไม้ผลิไม่ใช่เหรอครับ?”

“ใช่ ควรเป็นตอนฤดูใบไม้ผลิ ตอนนั้นอากาศเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ ของกินก็มีเยอะแยะ เลี้ยงง่าย แต่ตอนนั้นราคามันแพง แม่มีคนรู้จัก ที่บ้านของพวกเขาเลี้ยงแม่หมูแก่ไว้ มันออกลูกหลังฤดูใบไม้ร่วง แถมยังกินเยอะมาก ก็เลยเลี้ยงไม่ไหว แม่เห็นว่าราคามันเหมาะสมดี อาหารในบ้านก็น่าจะพอถึงตอนฤดูใบไม้ผลิ แม่ก็เลยเอามาเลี้ยงนี่แหละ แต่เธอก็อย่าพูดเลย แม่เองก็แอบเสียใจเหมือนกัน เจ้านี่กินเยอะมาก หนึ่งวันกินสี่มื้อแน่ะ เหวินเทา ถ้าเธออยากเลี้ยงหมูต้องรอจับตอนฤดูใบไม้ผลินะ” คุณแม่เย่ถอนหายใจ นางเริ่มกังวลเกี่ยวกับปัญหาการกินของลูกหมูหลังจากนี้แล้วสิ

จ้าวเหวินเทาคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “คุณแม่ พวกมันกินอะไรได้บ้างครับ ผมจะลองดูว่าพอคิดหาวิธีอะไรได้หรือเปล่า”

…………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

พี่สะใภ้สามดูมีอนาคตไกลมาก ถ้าไม่รักจริงก็คงไม่กลับมาหาอะ (จริง ๆ ก็อยากกลับมาแก้ไขความผิดพลาดในชาติก่อนด้วย)

บ้านตระกูลเย่นี้มีแต่คนชี้ช่องทางรวยให้ฉูฉู่กับเหวินเทาแฮะ

ไหหม่า(海馬)