ตอนที่ 192-2 คำขู่ของติ้งอ๋อง

ชายาเคียงหทัย

“ซิวเหยา…” หานหมิงเย่ว์เอ่ยปากเรียกขึ้น หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง

 

 

ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้นมอง แววตาเต็มไปด้วยความรำคาญใจอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็หันไปกวาดตามองหานหมิงซี หานหมิงซีขมวดคิ้วอย่างจนใจ

 

 

ก่อนหน้านี้ที่หานหมิงซีกล้าท้าทายม่อซิวเหยาอย่างไม่เกรงกลัว ก็ด้วยเพราะเขาดูออกว่าม่อซิวเหยามีนิสัยเช่นไร แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นกับเยี่ยหลีและหลังจากที่นางกลับมาแล้ว นับวันหานหมิงซียิ่งรู้สึกว่าตนไม่รู้จักม่อซิวเหยามากขึ้นเรื่อยๆ เช่นก่อนหน้านี้ ที่เขามั่นใจว่า ม่อซิวเหยาจะไม่ลงมือทำอันใดเขาด้วยเพราะเห็นแก่หน้าเยี่ยหลี แต่ในยามนี้ ต่อให้เขารู้ดีว่าม่อซิวเหยาไม่มีทางทำอันใดเขา แต่ทุกครั้งที่เห็นสายตาม่อซิวเหยาที่มองมาทางเขา หานหมิงซีก็นึกไม่แน่ใจเสียแล้ว ดังนั้นในยามนี้ ตามปกติเขาจึงไม่ค่อยกล้าไปท้าทายม่อซิวเหยา เมื่อคิดถึงคนตรงหน้า หานหมิงซีก็อดยิ้มอย่างฝืดเฝื่อนขึ้นมาไม่ได้ นี่ก็คือความต่างระหว่างเขากับม่อซิวเหยา หากไม่มีความสามารถที่แท้จริง เช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะคิดไปแก่งแย่งจวินเหวยกับม่อซิวเหยา

 

 

หานหมิงซีเข้าใจดี ว่าม่อซิวเหยากำลังเตือนเขาว่า หากหานหมิงเย่ว์ยังดื้อรั้น เขาก็จะไม่เกรงใจอีก

 

 

แต่หานหมิงซีจะทำอันใดได้ ต่อให้หานหมิงเย่ว์งี่เง่าเพียงใด เขาก็เป็นพี่ชายเพียงคนเดียวของตน ที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กๆ รักใคร่เขา สั่งสอนเขา และเป็นพี่ชายที่คอยบังแดดบังฝนให้กับเขามาตลอด ต่อให้เขาคิดทบทวนอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดพี่ชายที่เคยฉลาดหลักแหลม กลับต้องมาพ่ายแพ้อย่างหมดท่า ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อสตรีที่ไม่คู่ควรแม้แต่น้อย ถึงแม้เขาจะโกรธ จะแค้นหานหมิงเย่ว์ที่ทอดทิ้งตระกูล ทอดทิ้งเขาไปเพียงใด แต่ถึงยามที่หานหมิงเย่ว์ตกอยู่ในอันตราย เขาก็ยังไปขอร้องเยี่ยหลี

 

 

หานหมิงซีกลับเข้าใจม่อซิวเหยามากว่า ว่าเหตุใดเขาถึงไม่เคยลงมือทำอันใดหานหมิงเย่ว์ นั่นมิใช่ด้วยเพราะเขาเห็นแก่ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของพวกเขา แต่ด้วยเพราะเขารู้ดีว่าตนจะต้องไปขอร้องเยี่ยหลี ส่วนม่อซิวเหยาก็ไม่อยากให้เขาไปขอร้องเยี่ยหลี และยิ่งไม่ต้องการให้เขากับเยี่ยหลีมีปฏิสัมพันธ์กันมากเกินไป

 

 

หานหมิงซีถอนหายใจอย่างจนใจ ลุกขึ้นเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ ท่านกลับไปก่อนเถิด ข้ายังมีธุระอยากคุยกับท่านอ๋อง”

 

 

หานหมิงเย่ว์ขมวดคิ้ว มองน้องชายที่สีหน้าดูเหนื่อยล้า ในที่สุดจึงมิอาจทำใจตอแยเขาต่อไปจนทำให้น้องชายต้องลำบากใจ เขาสามารถเสียสละทุกอย่างเพื่อซูจุ้ยเตี๋ยได้ แต่หนึ่งในนั้นไม่เคยรวมถึงน้อยชายของเขา

 

 

เมื่อเห็นหานหมิงเย่ว์เดินออกไปแล้ว หานหมิงซีก็ค่อยเบาใจ กลับนั่งลงอีกครั้ง

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วมองหานหมิงซีที่นั่งลงตรงข้ามเขาด้วยความประหลาดใจ

 

 

บนใบหน้าหล่อเหลาของหานหมิงซีดูมีแววอ่อนใจ มองม่อซิวเหยาแล้วเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ขอร้องท่านได้โปรดช่วยพี่ชายข้าด้วย”

 

 

มุมปากม่อซิวเหยายกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มเย็นเยียบ “ขอร้องข้า? หานหมิงซี…เจ้าขอร้องให้ข้าช่วยพี่ชายเจ้า? ข้าดูไม่ออกว่าหานหมิงเย่ว์มีอันใดที่จำเป็นต้องให้ข้าช่วย เขาดูมีความสุขกับความเจ็บปวดออกจะตาย อีกอย่าง เหตุใดข้าถึงต้องช่วยด้วย”

 

 

หานหมิงซีกัดฟันเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าถึงอย่างไรซูจุ้ยเตี๋ยก็คงต้องตาย ข้าเพียงขอร้องท่านว่า เมื่อถึงเวลานั้น ได้โปรดไว้ชีวิตพี่ชายข้าด้วย”

 

 

“อย่างไรก็ต้องตาย?” ม่อซิวเหยายืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง มองสำรวจหานหมิงซี เอ่ยถามเขาด้วยความสนใจว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่ขอให้ข้าไว้ชีวิตซูจุ้ยเตี๋ย และช่วยให้หานหมิงเย่ว์ได้สมหวัง? ถึงแม้ข้าจะรับปากไม่ได้ แต่ด้วยมิตรภาพระหว่างเจ้ากับอาหลี หากเจ้าไปขอร้องนาง นางไม่มีทางปฏิเสธเจ้า”

 

 

เมื่อพูดเรื่องมิตรภาพกับอาหลีขึ้นมา ม่อซิวเหยาก็ดูกัดฟันกรอดขึ้นมาทันที ในบรรดาคนข้างกายอาหลีทั้งหมด คนที่เขาเกลียดที่สุดก็คือหานหมิงซี แต่เขาดันรับปากอาหลีไปแล้วว่าจะไม่ฆ่าหานหมิงซี แต่ทุกครั้งที่เขาเป็นสายตาที่หานหมิงซีมองอาหลี เขาก็อยากควักลูกตาเขาออกมาให้รู้แล้วรู้รอด!

 

 

หานหมิงซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ยิ้มเฝื่อนๆ เอ่ยว่า “เหตุใดท่านอ๋องถึงต้องถามทั้งทั้งที่รู้อยู่แล้วด้วย หากเป็นข้าน้อยก่อนหน้านี้ ไม่แน่ว่าอาจไปขอร้องพระชายาให้ช่วยเหลือจริงๆ แต่ยามนี้…ที่ซูจุ้ยเตี๋ยปิดปากสนิทไม่ยอมคายความลับออกมา สิ่งนั้นจะต้องเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน เมื่อใดก็ตามที่นางพูดออกมา นางคงต้องตายสถานเดียว ถึงแม้ยามนี้จะยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใด…แต่เมื่อถึงยามนั้น เกรงว่า…พระชายาเองก็ใช่ว่าจะช่วยออกหน้าได้ อีกอย่าง…” หานหมิงซียิ้มเยาะ “ซูจุ้ยเตี๋ยเป็นอันใดกับข้า เหตุใดข้าถึงต้องไปขอร้องใครต่อใครให้นางด้วย หากนางตายเร็วสักหน่อย ก็คงไม่เกิดเรื่องมากมายเช่นในยามนี้หรอก!”

 

 

“เจ้ามองอันใดชัดเจนกว่าหานหมิงเย่ว์นัก” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ทั้งสองต่างรู้ดีว่า หานหมิงเย่ว์ไม่ใช่ว่ามองไม่ออก เพียงแต่เขาไม่ยอมรับเท่านั้นเอง คุณชายหมิงเย่ว์ที่เคยมีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า แต่เพื่อสตรีที่ชื่อซูจุ้ยเตี๋ยนางนี้ กลับหลงใหลนางจนไม่เคยได้สติกลับมาอีกเลย ว่ากันว่าหญิงงามเป็นสุสานของวีรบุรุษ คำพูดนี้ไม่ใช่คำพูดที่ลวงหลอกจริงๆ เสียด้วย

 

 

“แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าพูดผิดไป ในตำหนักติ้งอ๋องไม่มีเรื่องใดที่อาหลีตัดสินใจไม่ได้”

 

 

เมื่อเห็นหานหมิงซีนิ่งเงียบ ม่อซิวเหยาจึงเอ่ยต่อว่า “ขอเพียงอาหลียินดี อย่าว่าแต่ความเป็นความตายของซูจุ้ยเตี๋ยเลย ต่อให้นางอยากได้ชีวิตข้า ข้าจะมอบมันให้กับมือนาง แต่แน่นอนว่า ที่เจ้าจะไม่ไปขอร้องอาหลีนั้นถูกต้องแล้ว หากเจ้าทำให้อาหลีต้องลำบากใจ ข้าจะทำให้ทุกคนลำบากใจไปพร้อมๆ กัน ส่วนชีวิตของหานหมิงเย่ว์ เจ้าเก็บไว้ก็แล้วกัน ข้าไม่นึกใส่ใจ แต่ทางที่ดีเจ้าจำไว้ให้ดี หากเจ้ากล้าใช้ตาคู่นั้นของเจ้าจ้องมองอาหลีของข้าอีก ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาให้ดู!”

 

 

หานหมิงซีรู้สึกขมขึ้นในคอทันที ที่ม่อซิวเหยาบอกว่าจ้องมองนั้น ย่อมมิใช่การจ้องมองธรรมดาๆ คนข้างกายเยี่ยหลีมีจำนวนมากเช่นนั้น คนที่ใกล้ชิดกับนางมากกว่าเขาก็มีไม่น้อย แต่ม่อซิวเหยากลับไม่เคยเตือนเฟิ่งจือเหยา ไม่เคยเตือนฉินเฟิง และไม่เคยเตือนจั๋วจิ้ง หลินหานและเว่ยลิ่นมาก่อน แต่กลับเอ่ยเตือนเขา หานหมิงซีเพียงคนเดียว เขาย่อมรู้ดีว่าด้วยเพราะเหตุใด

 

 

ถึงแม้เขาจะคิดมาตลอดว่าตนปกปิดมันได้ดีมากแล้ว แต่ถึงแม้จะสามารถปิดบังผู้อื่นได้ แต่กลับไม่สามารถปิดบังสามีของอาหลีอย่างม่อซิวเหยาได้

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา แล้วหานหมิงซีก็ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “เชื่อว่าท่านอ๋องเองก็รู้ดีว่า จวินเหวยเป็นสตรีประหลาดที่หาได้ยากในใต้หล้า หรือว่าท่านอ๋องสามารถบดบังนางจากสายตาคนทั้งใต้หล้าได้? หรือว่าท่านอ๋องคิดจะจับอาหลีซ่อนไว้ในมุมลึกที่ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นได้?”

 

 

ม่อซิวเหยาตาเป็นประกายเย็นวาบ รอยยิ้มเขายิ่งเย็นเยียบและไร้อารมณ์ “ข้าย่อมไม่มีทางจับอาหลีขังไว้ในห้องลึก ไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ใด อาหลีย่อมต้องอยู่ข้างกายข้า เพียงแต่…ผู้ใดที่กล้ามองนาง ข้าก็จะควักลูกตาคนผู้นั้น!”

 

 

ในใจหานหมิงซีรู้สึกเย็นวาบขึ้นทันที แต่สุดท้ายก็ไม่รู้จะพูดอันใด “ท่านเพียงแค่โชคดีที่ได้พบนางก่อนเท่านั้น!”

 

 

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว สีหน้ามีแววได้ใจ “ข้าโชคดีแล้วอย่างไร หานหมิงซี จำฐานะของเจ้าไว้ให้ดี ข้ารับปากอาหลีไว้แล้วว่าจะไม่ฆ่าเจ้า อย่าบังคับให้ข้าต้องกลืนน้ำลายตนเอง”

 

 

หานหมิงซีก้มหน้าลง นิ่งไปนาน ถึงได้เงยหน้าขึ้นยิ้มเรียบๆ มองเขา “ท่านอ๋องคิดมากไปแล้ว หานหมิงซี…มิได้คิดอันใดที่ไม่ถูกไม่ควร กับจวินเหวยก็เป็นเพียงมิตรสหายกันเท่านั้น หรือว่าแม้แต่เรื่องนี้ท่านก็จะขัดขวางด้วย?”

 

 

เขารู้ดีว่าตนเองเทียบกับม่อซิวเหยาไม่ได้ ชื่อคุณชายเฟิงเย่ว์นั้นถึงจะฟังดูดี แต่ก็มิได้มีความสามารถอันใด เป็นเพียงโจรเด็ดดอกไม้เท่านั้น จวินเหวยไม่รังเกียจในชื่อเสียงของเขา ยอมคบหาเขาเป็นมิตรสหาย แต่ในยามที่สถานการณ์คับขันวุ่นวาย เขากลับไม่สามารถปกป้องความปลอดภัยของนางได้

 

 

ตั้งแต่หานหมิงซีได้พบกับเยี่ยหลี ก็ไม่เคยนึกเสียใจเท่านี้มาก่อนที่ยามเป็นเด็กเขาเอาแต่ขี้เกียจตัวเป็นขน ไม่ยอมฟังสิ่งที่พี่ใหญ่พร่ำสอน สุดท้ายแล้วจบที่บุ๋นก็ไม่ได้ บู๊ก็ไม่เป็น หากเขาเหมือนพี่ใหญ่สักนิดที่เก่งกาจมากความสามารถ เจ้าแผนการและมีวิทยายุทธเป็นเลิศ ต่อให้ไม่เท่าม่อซิวเหยา แต่อย่างน้อยเขาก็ยังพอมีความสามารถที่จะแข่งกับเขาได้

 

 

ม่อซิวเหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย มองชายรูปงามตรงหน้าด้วยแววตาฉงนสงสัย ถึงแม้เขาจะรังเกียจบุรุษรูปงามผิดธรรมดาตรงหน้านี้เป็นที่สุด แต่ม่อซิวเหยาก็มิอาจไม่ยอมรับว่า เขาเป็นคนที่คิดอยากช่วยอาหลีด้วยความจริงใจและเต็มใจ อีกทั้ง…อย่างไรอาหลีก็จำเป็นจะต้องมีเพื่อนเป็นของตนเอง พูดตามจริงแล้ว เขา ม่อซิวเหยาก็เพียงแค่กำลังอิจฉาหานหมิงซีเท่านั้น

 

 

หานหมิงซีรูปงามกว่าเขา นิสัยก็ดีกว่าเขา ถึงแม้วิทยายุทธจะไม่เก่งกาจเท่าเขา และมิได้มีฐานะเหนือคนธรรมดาเช่นเขา แต่นั่นจะมีประโยชน์อันใด หากเป็นหานหมิงซี ย่อมสามารถพาอาหลีถอยไปแอบอยู่ในป่าลึก ใช้ชีวิตอันเงียบสงบโดยไม่ต้องมีห่วงอันใดได้ เขาแค่เพียงนึกกลัวว่า อาหลีจะชื่นชอบบุรุษเช่นหานหมิงซีมากกว่าเขา กลัวว่าอาหลีจะนึกเสียใจที่แต่งงานกับเขาก็เท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร…ผู้ใดในใต้หล้านี้ ก็มิอาจแย่งอาหลีไปจากข้างกายเขาได้!

 

 

“ข้าจะเชื่อเจ้าอีกสักครั้ง แต่เจ้าจำไวให้ดี คำพูดของข้าจะมีผลไปตลอดกาล” ม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้น ทิ้งประโยคหนึ่งไว้เรียบๆ ก่อนสะบัดแขนเดินออกไป

 

 

หานหมิงซีนั่งอยู่ริมหน้าต่างเพียงคนเดียว มองม่อซิวเหยาเดินผ่านสวนดอกไม้จวนผู้ว่าการไปยังเรือนที่อยู่กึ่งกลางของจวน ที่นั่น…มีสตรีเพียงนางเดียวในชีวิตที่ทำให้เขาใจเต้นแรงได้อยู่

 

 

ลมอ่อนๆ พัดผ่านหน้าต่างเข้ามา แต่หานหมิงซีรับรู้เพียงความหนาวเหน็บที่ในจิตใจ