ตอนที่ 193-1 เปิดเผยความในใจ

ชายาเคียงหทัย

วันรุ่งขึ้น คุณชายตระกูลสวีทั้งสามก็เดินทางมาถึงเมืองหรู่หยางตามที่เฟิ่งจือเหยาบอกไว้ เพียงแค่เห็นฝุ่นที่เกาะอยู่ตามตัวและท่าทางเหนื่อยล้า ก็รู้ว่าจะต้องเร่งเดินทางข้ามวันข้ามคืนมาอย่างแน่นอน

 

 

ซึ่งนี่ทำให้ม่อซิวเหยาที่ยังไม่ทันได้บอกข่าวนี้แก่เยี่ยหลี รู้สึกหงุดหงิดใจอยู่เงียบๆ ไม่มีธุระจะรีบมากันทำไมนะ อาหลีอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้จะหายไปที่ใดเสียหน่อย

 

 

แต่เขากลับไม่คิดว่า เมื่อจู่ๆ พวกเขารู้ข่าวว่าเยี่ยหลียังมีชีวิตอยู่ พวกเขาตื่นเต้นยินดีกันเพียงใด ที่มิได้พากันมาซีเป่ยทั้งตระกูลก็ด้วยเพราะสถานการณ์ไม่อำนวยเท่านั้นเอง มิเช่นนั้นเขาคงได้ปวดหัวยิ่งกว่านี้

 

 

เมื่อเยี่ยหลีรู้ว่าพี่ชายทั้งสามมาถึงแล้ว เยี่ยหลียินดีเป็นอย่างยิ่ง ช่วงนี้นางว่างเสียเหลือเกิน ท่านหมอทั้งสองท่านไม่อนุญาตให้นางจัดการงานใดๆ ทั้งสิ้น ม่อซิวเหยายิ่งแล้วใหญ่ แม้แต่งานเย็บปักก็ไม่ยอมให้นางแตะ วันๆ นอกจากกินกับนอนแล้ว นางก็ทำได้เพียงเดินเล่นอยู่ภายในสวนในจวน หรืออ่านหนังสือบ้างเท่านั้น เยี่ยหลีรู้สึกว่า ชีวิตทั้งสองชาติของนางรวมกันยังไม่เคยว่างเท่านี้มาก่อน

 

 

เมื่อผ่านความเป็นความตายมาแล้วรอบหนึ่ง แล้วได้กลับมาพบหน้าคนในครอบครัวอีกครั้ง นางย่อมซาบซึ้งและยินดีจนพูดไม่ออก “พี่รอง พี่สาม…น้องห้า พวกท่าน…”

 

 

“พี่หลี!” สวีชิงเหยียนอายุน้อยที่สุด จึงเก็บความยินดีไว้ไม่อยู่ คิดจะเข้าไปจับมือมานางมานั่งพูดคุยกันอย่างในอดีต

 

 

ม่อซิวเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบยกมือขวางทั้งสองไว้ ยิ้มพร้อมเอ่ยเรียบๆ ว่า “น้องห้า ยามนี้อาหลีกำลังตั้งครรภ์ ต้องระวังให้มากหน่อย”

 

 

เอ๋? สวีชิงเหยียนประหนึ่งเพิ่งสังเกตเห็นว่าพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของตนมิได้เอวบางร่างน้อยเช่นก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะยังดูไม่อ้วนกลมนัก แต่ความกลมนูนตรงช่วงหน้าท้องก็ทำให้เขาตกใจจนทำอันใดไม่ถูก ได้แต่มองดูเยี่ยหลีอย่างน่าสงสาร แม้แต่ยามที่ม่อซิวเหยาเรียกเขาด้วยสรรพนามที่ฟังดูแปลกหู เขาก็ยังไม่ทันได้สนใจ แต่กลับเป็นสวีชิงเจ๋อที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเหลือบมองม่อซิวเหยาทีหนึ่ง

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มตบบ่าสวีชิงเหยียน ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้พบกันเสียนาน น้องห้าตัวโตขึ้นไม่น้อย นั่งลงพูดคุยกันเถิด”

 

 

เมื่อเห็นม่อซิวเหยาประคองเยี่ยหลีไปนั่งยังตำแหน่งประธาน สวีชิงเหยียนก็กะพริบตามองไปทางเยี่ยหลีอย่างไม่ยินยอม แต่ก็ทำได้เพียงนั่งลงข้างสวีชิงเฟิงเท่านั้น

 

 

ในบรรดาคนตระกูลสวีทั้งหมดเขาอายุน้อยที่สุด คนอื่นๆ แม้แต่สวีชิงป๋อยังอายุมากกว่าเยี่ยหลีอยู่ครึ่งปี นับว่ามีศักดิ์เป็นพี่ มีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นน้องของเยี่ยหลี อายุของทั้งสองต่างกันไม่มากนัก และโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งต่างกับเยี่ยหลีที่มีพี่ชายคอยปกป้อง แต่สวีชิงเหยียนกลับมีเยี่ยหลีที่คอยปกป้องมาตั้งแต่เล็กๆ เขาไม่เคยเห็นว่าเยี่ยหลีเป็นลูกพี่ลูกน้อง แต่คิดว่านางเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเขามาโดยตลอด ยามที่ตระกูลสวีย้ายออกจากเมืองหลวงนั้น เขาร้องไห้ไม่หยุดด้วยเพราะเยี่ยหลีมิอาจร่วมทางไปด้วยได้ จนเกือบรั้งอยู่ที่เมืองหลวงด้วยแล้ว

 

 

สวีชิงเหยียนถึงแม้จะอายุยังน้อย แต่เขากลับมองจุดประสงค์ของม่อซิวเหยาออกทุกอย่าง ความไม่พอใจที่มีต่อม่อซิวเหยาจึงยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ อีตานี่ให้พี่หลีทำนู่นทำนี่ให้เขายังไม่เท่าไร แต่ยังทำให้นางเกือบเอาชีวิตไปทิ้งอีก ยามนี้ยังกล้ามาขวางข้าอีก หมายความเช่นไร! การแก้แค้นของวัยหนุ่มนั้นน่ากลัวไม่น้อย สวีชิงเหยียนตัดสินใจทันทีว่า ในเมื่อม่อซิวเหยาไม่ยอมให้เขาวอแวพี่หลี เข้าก็จะวอแวพี่หลีให้จงได้!

 

 

สายตาท้าทายไม่เป็นมิตรของสวีชิงเหยียน ม่อซิวเหยาย่อมรับรู้ได้ ดวงตาเหยี่ยวขรึมไป ก่อนใช้สายตาเย็นเยียบกวาดมองสวีชิงเหยียนรอบหนึ่ง ในดวงตามีแววข่มขู่แฝงอยู่

 

 

สวีชิงเหยียนเป็นใคร เพียงแค่สายตาข่มขู่มีหรือจะทำให้เขากลัวได้ เขาเลิกคิ้วขึ้นหันไปยิ้มแยกเคี้ยวใส่ม่อซิวเหยา

 

 

ทางฟากนี้ต่างส่งสายตาห้ำหั่นกันอย่างไม่ลดละ ส่วนอีกฟากหนึ่ง เยี่ยหลีก็กำลังพูดคุยกับสวีชิงเจ๋อและสวีชิงเฟิงอย่างออกรส เยี่ยหลีมองสวีชิงเฟิงที่ไม่ได้พบกันเสียนานและดูเงียบขรึมไปไม่น้อย ก็เอ่ยด้วยความแปลกใจว่า “พี่รอง พี่สามและน้องห้าเดินทางมาด้วยกันได้อย่างไร”

 

 

สวีชิงเฟิงหัวเราะเสียงใส “เดิมทีข้าอยู่ที่ซีเป่ยอยู่แล้ว ส่วนน้องห้านั้น ตอนแรกได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า จึงรีบเดินทางทั้งวันทั้งคืนมาที่ซีเป่ยเพียงลำพัง แต่กลับหลงทาง หลงไปถึงภาคใต้นู่น แต่ข้าตามไปหาพบเข้าพอดี จึงพาเขามาที่ซีเป่ยด้วย”

 

 

ที่สวีชิงเฟิงไม่ได้พูดนั้นก็คือ เขาพาสวีชิงเหยียนวนอยู่รอบๆ หงโจวอยู่หลายเดือน ด้วยหวังว่าอาจโชคดีได้พบเยี่ยหลี แต่สุดท้ายกลับพบกับสวีชิงเจ๋อที่กำลังเดินทางไปรับหน้าที่ที่หงโจว ทั้งสามถึงมาอยู่รวมกันได้

 

 

เพียงแต่ตำแหน่งที่สวีชิงเฟิงและสวีชิงเหยียนอยู่นั้น ไม่เหมาะที่จะให้ผู้อื่นรู้ ดังนั้นสวีชิงเจ๋อจึงไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้แม้แต่กับม่อซิวเหยา และช่วงหลายเดือนนั้นจิตใจเขาก็ว้าวุ่นไม่สงบ ย่อมมิได้สนใจเรื่องราวเหล่านี้

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พี่สามมิได้อยู่ในค่ายทหารหรือ” สวีชิงเฟิงอยู่ในฐานะที่ค่อนข้างพิเศษ หากต้องการออกมา ไม่มีทางไม่ดึงดูดความสนใจของเบื้องบน ซึ่งทำให้นางอดสงสัยไม่ได้ว่า สวีชิงเฟิงหนีทหารมาหรือไม่

 

 

สวีชิงเฟิงโบกมือ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ฮ่องเต้ไม่ได้คิดอยากให้ตระกูลสวีของพวกเรามีขุนนางทหารขึ้นมาจริงๆ หรอก ข้าบอกแค่ว่าน้องห้าหนีออกจากบ้าน ข้าจะไปออกตามหา ไม่กี่วันก็ได้รับอนุญาตแล้ว”

 

 

เยี่ยหลีรู้สึกผิดเล็กน้อย นางเข้าใจดีว่า สวีชิงเฟิงเมื่ออยู่ในค่ายทหารคงถูกกีดกันไม่น้อย ซึ่งมิใช่เพียงเพราะเขาเป็นบุตรชายตระกูลสวี แต่เพราะเขายังเป็นลูกพี่ลูกน้องของชายาติ้งอ๋องอีกด้วย

 

 

“ท่านตากับท่านลุงสบายดีหรือไม่ พี่ใหญ่ พี่สี่ยามนี้อยู่ที่ใดกัน” เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ

 

 

ข่าวเหล่านี้องครักษ์ลับย่อมส่งกลับมาให้บ้าง แต่ถึงอย่างไรหากไม่ได้ยินจากปากญาติของตนเอง ก็มิอาจวางใจได้มากนัก

 

 

สวีชิงเจ๋อเอ่ยเรียบๆ ว่า “ทางตะวันตกและทางใต้ต่างกำลังทำศึก น้องสี่ถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงไปแล้ว ท่านลุงใหญ่บอกว่าให้เขากับท่านพ่อรีบหาโอกาสลาออกแล้วกลับมาอยู่บ้านเดิมเสีย เพียงแต่ฮ่องเต้อาจไม่ทรงอนุญาต ท่านปู่กับท่านพ่อล้วนสบายดี ส่วนพี่ใหญ่…” สวีชิงเจ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่ใหญ่เพียงส่งข่าวมาว่าตนอยู่ทางใต้ แต่พวกเราไม่รู้แน่ว่าเขาอยู่ที่ใดและกำลังทำอันใดอยู่”

 

 

คุณชายชิงเฉินเดินทางมีร่องรอยเพียงน้อยนิด แม้แต่องครักษ์ลับและคนของเทียนอี้เก๋อก็ยังไม่แน่ว่าจะหาเขาพบ หากเขาไม่บอก ผู้ใดก็มิอาจมั่นใจได้ว่าเขาอยู่ที่ใด

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยว่า “ยามนี้ถือว่าตระกูลสวีมีเพียงพี่ใหญ่เท่านั้นที่อยู่ในกำมือของม่อจิ่งฉี ม่อจิ่งฉีจะนึกสงสัยตระกูลสวีด้วยเหตุผลนี้หรือไม่”

 

 

สวีชิงเฟิงยิ้มเยาะ “เขาไม่นึกสงสัยตระกูลสวีเมื่อใดกัน ขอเพียงท่านปู่ยังอยู่ ขอเพียงตระกูลสวียังมิได้เป็นกบฏอย่างเปิดเผย ต่อให้เพื่อชื่อเสียงของเขา เขาก็ไม่มีทางทำอันใดท่านปู่ ท่านลุงใหญ่และท่านพ่ออย่างแน่นอน”

 

 

“น้องสาม” สวีชิงเจ๋อขมวดคิ้ว หันมองสวีชิงเฟิงอย่างไม่เห็นด้วย

 

 

สวีชิงเฟิงส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนปิดปากเงียบไม่พูดอันใดอีก

 

 

คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเล็กน้อย เมื่อเข้าใจประวัติของตระกูลสวี เยี่ยหลีก็รู้สึกว่าตนเองเริ่มเข้าใจความคิดของท่านปู่และท่านลุงขึ้นบ้าง ยามนี้พี่ใหญ่อยู่ที่แดนใต้ พี่รอง พี่สามและน้องห้าอยู่ที่ซีเป่ย ต่อให้ฮ่องเต้คิดอยากทำอันใดตระกูลสวี ก็มิอาจจัดการพร้อมกันทีเดียวได้ มีเพียงท่านปู่และท่านลุงใหญ่ที่ยังอยู่อวิ๋นโจวเท่านั้น ขอเพียงท่านลุงรองยังอยู่ที่เมืองหลวง ต่อให้ตระกูลสวีและตำหนักติ้งอ๋องมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกันเพราะนาง ฮ่องเต้ก็มิกล้าสุ่มสี่สุ่มห้าบอกว่าตระกูลสวีไม่มีใจภักดีอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไร ตระกูลสวีก็มีฐานะเป็นหัวหน้าบัณฑิตทั่วใต้หล้า อิทธิพลของตระกูลเรียกได้ว่าแผ่กระจายไปไกล หากเขาบีบบังคับตระกูลสวีเกินไปแล้ว สถานการณ์ม่อจิ่งฉีเองก็คงไม่สู้ดีเช่นกัน ท่านปูและท่านลุงใหญ่…กำลังซื้อเวลาให้กับซีเป่ย

 

 

เยี่ยหลีถอนใจยาว ในใจลอบวางแผนว่า ไว้รอนางกลับไปเอาดอกปี้ลั่วที่เมืองหลวงก่อน ไม่ว่าอย่างไรนางจะต้องแวะไปที่อวิ๋นโจวให้ได้

 

 

ทั้งสามพูดคุยกันอยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ม่อซิวเหยาก็ลุกขึ้นหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “อาหลี ควรไปให้ท่านเสิ่นตรวจชีพจรแล้ว จะได้ให้พวกชิงเจ๋อพักผ่อนสักหน่อยด้วย พวกเขาเดินทางข้ามวันข้ามคืนมา ไว้ตอนเย็นพวกเราค่อยจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเขาดีหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีมองทั้งสามที่ยังมีฝุ่นเต็มตัว แล้วเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสียว่า “ข้าลืมไปเสียสนิท พี่รอง พี่สาม น้องห้าเดินทางมาเหนื่อยๆ ก็ยังรั้งตัวพวกท่านไว้พูดคุยไม่หยุด พี่รอง เรือนของท่านยังเก็บไว้อยู่ ท่านไปอาบน้ำอาบท่า พักผ่อนกับพี่สาม น้องห้าสักหน่อยก่อนก็แล้วกัน ไว้สายหน่อยพวกเราค่อยว่ากัน”

 

 

สวีชิงเหยียนมองเยี่ยหลีพร้อมกะพริบตาปริบๆ “พี่หลี ข้ายังไม่ทันได้พูดอันใดกับพี่หลีเลยนะ”

 

 

เยี่ยหลีอมยิ้มมองเด็กหนุ่มที่ยามนี้สูงกว่านางประมาณหนึ่งช่วงศีรษะได้แล้ว แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เรือนของพี่รองอยู่ข้างเรือนประมุขนี่เอง พวกเรามีเวลาอีกถมไป ไว้รอให้เจ้าพักผ่อนให้เรียบร้อยก่อน จะมาพูดคุยกับข้าเมื่อใดก็ได้”

 

 

สวีชิงเหยียนตาเป็นประกาย แย้มยิ้มด้วยความยินดี “จริงหรือ” ส่งสายตาข้องใจไปทางใครบางคน “ถึงยามนั้น คงจะไม่มีผู้ใดไม่อนุญาตให้ชิงเหยียนมาคุยกับพี่หลีกระมัง”

 

 

เยี่ยหลีตีหน้าผากเขา เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “จะมีที่ไหนเล่า น้องห้าเป็นน้องชายเพียงคนเดียวของข้าเชียวนะ ผู้ใดจะกล้าไม่ให้เจ้ามาคุยเป็นเพื่อนข้า”

 

 

สวีชิงเหยียนยักคิ้วไปทางม่อซิวเหยาอย่างได้ใจ

 

 

แววตาม่อซิวเหยาขรึมไป สายตาคมกวาดไปทั่วร่างสวีชิงเหยียน แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อาหลีพูดถูก หากอาหลีต้องการให้น้องห้ามาพูดคุยเป็นเพื่อน ย่อมทำได้ตลอดเวลา น้องห้าอายุยังน้อย มีเวลาอยู่ถมไป” ความหมายคือ นอกจากพูดคุยเป็นเพื่อนอาหลีแล้ว สวีชิงเหยียนก็เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์ที่ทำอันใดไม่เป็น ได้แต่กินอยู่ไปอย่างเปล่าประโยชน์เท่านั้น

 

 

สวีชิงเหยียนกัดฟันยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม “พี่เขยพูดถูกต้องทีเดียว ข้าจะคอยอยู่ข้างกายพี่หลีเอง เผื่อพี่เขยจะมัวยุ่งอยู่แต่กับงาน แล้วพี่หลีจะต้องเบื่ออยู่คนเดียว!”