ตอนที่ 173 ต่างจิตต่างใจ
มือข้างหนึ่งของแม่นางจ้าวจับกระดาษสองแผ่นไว้มั่น ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นเคาะประตูห้องของหยุนโม่
หยุนโม่ถือเป็นหลานชายคนแรกของตระกูลหยุน ในปีนี้เขาจะมีอายุครบสิบหกปี กิจวัตรประจำวันของเขาคล้ายคลึงกับหยุนลี่จงผู้เป็นพ่อที่เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเพื่อศึกษาตำรา แตกต่างกันตรงที่หยุนโม่เริ่มร่ำเรียนมาตั้งยังไม่ก้าวเข้าสู่วัยรุ่น
หยุนโม่มีท่าทางปราดเปรื่องฉับไวและมีกิริยามารยาทเรียบร้อยดี เขาได้รับการถ่ายทอดจุดเด่นจากทั้งฝั่งพ่อและทั้งฝั่งแม่มาเกือบทุกประการ ทั้งใบหน้าขาวผ่องไร้รอย ตาสองชั้นเด่นชัด จมูกโด่งเป็นสัน อีกทั้งการแต่งกายยังสะอาดสะอ้าน ไม่ว่าเดินทางไปแห่งใดก็เผยสง่าราศีจนผู้คนล้วนชื่นชม
ทว่านิสัยของหยุนโม่กลับค่อนข้างเก็บตัวไม่ชอบเข้าสังคม ทุกครั้งที่พูดคุยด้วยมักตอบกลับไม่เกินสองสามประโยค เขาใช้เวลาทั้งหมดที่มีทุ่มเทให้กับการอ่านหนังสือตั้งแต่เช้าจรดเย็น ไม่ออกไปเที่ยวเตร่ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันคนอื่น ๆ
ถึงกระนั้นชื่อเสียงของหยุนโม่ก็ยังพอเป็นที่รู้จักในหมู่บ้านอยู่บ้าง ความหล่อเหลาและภูมิฐานเกินวัยของหยุนโม่ทำให้เด็กสาวหลายนางชอบพอ หลายครั้งที่ครอบครัวของฝ่ายหญิงซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงต่างเดินทางมาเจรจาเพื่อขอให้หยุนโม่เลือกคู่ครองเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทว่านิสัยใฝ่เรียนเป็นนิจทำให้หยุนโม่พยายามหลีกเลี่ยงเรื่องการแต่งงานมาโดยตลอด
เวลานี้หยุนลี่จงผู้พ่อยังไม่ได้สอบรับราชการเป็นขุนนางอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเรื่องการแต่งงานของหยุนโม่จึงยังพอจะชะลอออกไปได้
ทว่าในอนาคตหากหยุนโม่เจริญก้าวหน้าตามบิดาที่มียศศักดิ์สูงส่งอาจต้องมีการเลือกคู่ครองที่พึงใจให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีเพื่อความมั่นคงในการสืบทอดทายาทตระกูลหยุน ทว่าแม่นางจ้าวไม่อาจล่วงรู้เลยว่าสตรีที่จะเอาชนะใจหยุนโม่ได้ต้องเป็นคนเช่นไรกันแน่?
“ใคร?” หยุนโม่ถามขณะที่มือทั้งสองยังตั้งเท้าคาง โดยปกติแล้วเขาไม่ชอบใจที่สุดเวลามีคนมารบกวนเวลาที่กำลังเพ่งสมาธิไปกับการอ่านหนังสือ
หยุนโม่มีขอบเขตการอ่านตำราอยู่ที่สี่เล่มต่อหนึ่งวัน หากขาดวินัยจนทำให้อ่านจบเล่มได้ล่าช้า หรือแม้แต่อ่านให้รวดเร็วขึ้นและเพิ่มจำนวนเป็นห้าเล่ม เห็นทีคงหาววอดและฟุบสลบคากองหนังสือเป็นแน่
“แม่เอง” แม่นางจ้าวกล่าวตอบ
รออยู่ไม่นานนักประตูห้องจึงถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าละอ่อนขาวผ่องของหยุนโม่ที่ชะเง้อออกมาดูแม่นางจ้าวซึ่งมาเยือนในยามวิกาล “ท่านแม่ ปกติแล้วท่านไม่เคยมาพบข้าเวลานี้ มีสิ่งใดเกิดขึ้นงั้นหรือขอรับ?”
“ดึกแล้ว เจ้ายังไม่เลิกอ่านตำราอีกรึ?” แม่นางจ้าวยังไม่ตอบทันทีและกวาดสายตามองไปรอบห้อง
บนโต๊ะอ่านหนังสือมีตะเกียงน้ำมันถูกจุดจนสว่างไสว ภายใต้ตะเกียงมีหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งถูกเปิดอ่านมาแล้วครึ่งเล่ม แม้แม่นางจ้าวไม่ได้รับการศึกษาที่เพียงพอจึงอ่านเนื้อหาภายในไม่ออก แต่หัวอกผู้เป็นแม่ก็รู้สึกภาคภูมิใจนักที่ลูกชายมีความอุตสาหะเป็นอย่างยิ่ง
“ขอรับ” หยุนโม่พยักหน้ารับอย่างมีมารยาท
“แม่มีบางเรื่องใคร่ถามเจ้า” แม่นางจ้าวพูดพลางก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปภายในห้องและปิดประตูลงดังเดิม จากนั้นจึงยื่นกระดาษสองแผ่นส่งให้หยุนโม่ “ตรวจสอบให้แม่ทีเถิดว่ามันคือสิ่งใดกันแน่?”
หยุนโม่เสพติดการอ่านหนังสือทีละหลายเล่มในช่วงกลางคืนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ดังนั้นสายตาของตนที่คอยเพ่งอ่านเนื้อหาท่ามกลางความมืดที่มีเพียงไฟตะเกียงน้ำมันสลัวรางจึงย่ำแย่ลงตามลำดับ เขารับกระดาษและเดินเข้าไปจ่ออยู่ใต้แสงไฟและเริ่มต้นอ่านด้วยการหรี่ตาลง
“กระดาษเหล่านี้เป็นเพียงตั๋วรับเงินธรรมดาเท่านั้นขอรับ ไม่มีความใดร้ายแรง”
“ว่าอย่างไรนะ? ตั๋วรับเงินรึ?”
“มันคือหลักฐานอย่างหนึ่งที่ทางร้านค้าจะเป็นผู้ออกให้แก่ลูกค้าหลังมีการซื้อขาย จะเขียนขึ้นก็ต่อเมื่อผู้ซื้อจ่ายเงินไว้แล้วทว่ายังไม่ได้รับสินค้านั้น อาจเพราะเป็นการสั่งจองล่วงหน้า และให้ผู้ซื้อเก็บไว้เป็นหลักฐานเมื่อมารับของอีกครั้ง” หยุนโม่อธิบายอย่างละเอียด
“ในใบนั้นระบุไว้หรือไม่ว่าร้านใดเป็นผู้ออกตั๋ว? รายละเอียดของเหล่านั้นมีอะไรบ้าง?”
“ตั๋วรับเงินออกให้โดยหอสี่ขุมทรัพย์ พู่กันที่ใช้ทำจากขนหมาป่าอย่างดี… ทำให้อักษรที่ตวัดลงพลิ้วไหวเป็นเลิศ” หยุนโม่วิเคราะห์และหยุดอ่านบรรทัดถัดไป “สินค้าทั้งสามอย่างล้วนเป็นสมบัติเลื่องชื่อของหมู่บ้านจินชิ่ว”
“คือสิ่งใดกัน?”
“เสื้อคลุมตัวยาว รองเท้าบูตสั้น และผ้าเช็ดตัวอเนกประสงค์” หยุนโม่อ่านจบแล้วจึงพับแผ่นกระดาษตามรอยเดิมและส่งคืนให้กับแม่นางจ้าว
“เขามีเสื้อผ้ามากมายล้นตู้จนแทบเวียนใส่ไม่ครบ แล้วจะลงทุนซื้อใหม่ด้วยเหตุใดกัน? สิ่งของตั้งสามสี่ชิ้นรวมทั้งหมดแล้วเป็นมูลค่าไม่ใช่น้อย!” แม่นางจ้าวรับรู้แล้วยิ่งรู้สึกโกรธ ในใจเต็มไปด้วยความทุกข์และสับสน
ไอ้สามีสารเลวผู้นี้จงใจนำสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่หลงเหลืออยู่ของตนไปแลกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าและรองเท้าคู่ใหม่! นั่นถือเป็นเหตุจำเป็นเพียงใดกัน?!
หยุนโม่ส่ายหน้าเพราะไม่เข้าใจเช่นกัน “ท่านแม่ หากจบเรื่องแล้วข้าจะอ่านหนังสือต่อ”
“ลูกชายแม่” แม่นางจ้าวยังไม่คิดเดินจากไปในทันที นางทรุดตัวลงนั่งตรงขอบเตียงและดึงแขนหยุนโม่ให้ตามไปอยู่เคียงข้างเพื่อระบายความทุกข์ตรมในจิตใจ “แม่คนนี้ไม่นึกเชื่อถือคำมั่นสัญญาของพ่อเจ้าอีกต่อไป นับแต่นี้แม่มีเจ้าเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เจ้าต้องคอยให้กำลังใจและอยู่เคียงข้างแม่เช่นนี้ไปตราบนานเท่านานนะลูก”
“ขอรับ”
“ในการสอบที่ใกล้เข้ามาครั้งนี้เจ้ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเพียงใดว่าจะสำเร็จ?” สายตาของแม่นางจ้าวที่มองสบหยุนโม่เต็มไปด้วยความวาดหวัง
“พอสมควรขอรับ” หยุนโม่ปิดเปลือกตาลงพลางกลอกตาไปมา
“ดูเฟิงสือยวินเป็นตัวอย่างเข้าไว้เถิด รายนั้นอายุน้อยกว่าเจ้าถึงหนึ่งปีทว่ากลับสอบผ่านขั้นบัณฑิตเมื่อสองปีก่อน ครั้นลูกชายได้ดี… แม้แต่แม่ของเขาไม่ว่าจะเดินเยื้องกรายไปแห่งใดก็มีแต่คนให้ความเคารพนับถือ เวลานี้แม่ยังไม่มีโอกาสเช่นนาง ดังนั้นเจ้าต้องเพียรพยายามให้หนักเพื่อต่อลมหายใจของแม่ เข้าใจหรือไม่?”
“ขอรับ”
“ลูกชาย…”
“ท่านแม่ ข้าต้องอ่านหนังสือแล้วขอรับ” หยุนโม่ดึงมือตนเองออกจากการกอบกุมของแม่นางจ้าว จากนั้นจึงเดินไปยังโต๊ะนั่งสือและหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้เพื่อเตรียมพร้อมอ่านตำราจากเนื้อหาที่อ่านค้างไว้ก่อนหน้า
แม่นางจ้าวนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจออก “ดีแล้ว ตั้งใจอ่านให้ดีเถิด หากถึงฤดูใบไม้ร่วงและเจ้าสามารถสอบผ่านขั้นบัณฑิตได้ แม่คนนี้คงไม่ด้อยค่าในสายตาพวกเขาอีกต่อไป”
“ขอรับ” หยุนโม่ตอบกลับทั้งที่ในมือยังถือตำราเล่มหนา แววตาจับจ้องไปยังเปลวไฟที่วูบไหวในตะเกียงน้ำมันราวกำลังครุ่นคิดวางแผนถึงบางสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้
ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าภายในห้วงคำนึงของหยุนโม่เต็มไปด้วยมโนภาพแห่งภูตผีปีศาจ วรยุทธ์อันทรงพลัง หรือแม้แต่สตรีที่งดงามราวบุปผชาติแรกแย้ม ท่ามกลางจินตนาการไร้ขอบเขตเหล่านั้นไม่มีตำราหรือบทกวีใด ๆ ปะปนอยู่เลยแม้แต่ประโยคเดียว!
แม่นางจ้าวจ้องมองหยุนโม่ที่นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่และเข้าใจว่าคงเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับตำราเรียนไปเสียแล้ว นางจึงก้าวออกจากประตูห้องของหยุนโม่ไปและปิดประตูคืนกลับดังเดิมอย่างมิดชิด
ท้องฟ้ายามราตรีมืดสนิท
ไฟสว่างไสวจากห้องหับภายในบ้านหลายทยอยดับลงเป็นสัญญาณว่าเจ้าของห้องได้เวลานอนหลับพักผ่อน มีเพียงแสงจากตะเกียงน้ำมันในห้องของหยุนโม่เท่านั้นที่ยังไม่ดับลง เงาของเขาสะท้อนผ่านผ้าม่านบริเวณหน้าต่าง แสดงให้เห็นว่ายังคงอ่านหนังสืออย่างขันแข็ง
อีกห้องหนึ่ง
หยุนลี่เซียวประสานมือวางไว้บนศีรษะ เขาเขย่าขาทั้งสองข้างไม่หยุดหย่อน ปากก็พร่ำบ่นบิดาผู้มีพระคุณอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป “ตาเฒ่านั่นต้องลักลอบให้เงินจำนวนมากแก่พี่ใหญ่เป็นแน่ ฮึ่ม!”
“ท่านพ่อมักลำเอียงความรักไปทางพี่ใหญ่ของเจ้าเสมอ!” แม่นางเฉินโพล่งขึ้นบ้าง
“นับจากนี้ไปหากแก่ชราจนช่วยเหลือตนเองไม่ได้ก็รอคอยให้พี่ใหญ่คอยอุ้มชูเลี้ยงดูก็แล้วกัน! หากเขาปฏิบัติกับข้าอย่างไร้ความยุติธรรมเช่นนี้ ก็อย่าหวังเลยว่าลูกชายคนนี้จะปฏิบัติดีกับเขา!”
“นี่…” จู่ ๆ แม่นางเฉินกลับนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้จึงลุกขึ้นจากเตียงและเอ่ยถามให้คลายสงสัย “เจ้าเห็นพี่ใหญ่เข้าไปในหอนางโลมนั่นกับตาเชียวหรือ?”
“ข้าไม่เห็นหรอก! แต่กลิ่นสุราเหม็นหึ่งบนตัวเขาไม่อาจกลบกลิ่นหอมฟุ้งของเครื่องประทินผิวสตรีเหล่านั้นได้ ข้ารับรองได้… หากเขายังปฏิเสธละก็ข้าจะตัดศีรษะเขามาวางประจานเสียให้เข็ดหลาบ!” หยุนลี่เซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ยิ่งคิดยิ่งแค้นเคืองไม่หาย
“จุ๊ ๆ! จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร… ต่อให้เสเพลอย่างไรเขาก็เป็นถึงบัณฑิต” แม่นางเฉินจุ๊ปากเป็นเชิงปรามให้ลดเสียงลง ตอนนั้นเองที่ตนรู้ตัวว่าตนไม่ได้โกรธเคืองหยุนลี่เซียวเช่นครั้งแรกที่รู้เรื่องอีกต่อไป
แม้แต่บุรุษผู้คงแก่เรียนยังนำเงินไปใช้จ่ายหาเศษหาเลยกับสุราและอิสตรี แล้วหยุนลี่เซียวซึ่งเป็นเพียงคนธรรมดาจะไม่หลงระเริงไปกับความมัวเมาชั่วขณะเหล่านั้นได้อย่างไรเล่า
“เหอะ! คำก็บัณฑิตสองคำก็บัณฑิต กล่าวอ้างบ่อยเสียจนน้ำลายบูดเน่าไร้ความศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วกระมัง! เจ้าลองตรองดูให้ดี เขาเป็นบัณฑิตประเภทใดกันจึงสอบรับราชการไม่ผ่านติดต่อกันมานานนับยี่สิบปี เหล่าเนื้อหาในตำราคงมิได้หลั่งไหลเข้าสู่สมองแต่กลับเป็นเหมือนอ้อยที่ลอยเข้าปากช้าง แม้ครอบครัวยังไม่ร่ำรวยแต่เมื่อพอมีเงินทองเพียงก้อนหนึ่งกลับตาบอดนำไปใช้จ่ายโดยไม่รู้จักเก็บออม หากตระกูลหยุนขาดเขาไปสักคนจะเจริญรุ่งเรืองไม่ได้เลยหรืออย่างไรกัน?” หยุนลี่เซียวระบายความในใจออกมายาวเหยียด แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาสั่งสมความแค้นที่มีต่อหยุนลี่จงมานานเพียงใด
“พี่ใหญ่ให้คำมั่นว่าจะสำเร็จในปีนี้มิใช่หรือ? พวกเราลองคาดหวังกันอีกสักครั้งจะเป็นไร?” แม่นางเฉินหรี่ตา
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” หยุนลี่เซียวแค่นเสียงหัวเราะเยาะเย้ย “หากครั้งนี้เขายังชวดโอกาสดีงามนั้นไปอีก ข้านี่แหละจะเป็นผู้ลากคอเขามาขอขมาต่อท่านพ่อด้วยตนเอง และยังจะถ่มน้ำลายรดหน้าเขาอีกด้วย! อย่าได้พลาดพลั้งขึ้นมาเชียว!”
“เจ้าคิดจะทำให้เขากลืนน้ำลายตนเองหรือไม่?” แม่นางเฉินยังคงตั้งคำถาม
“แน่นอนสิ อย่าลืมว่าด้ามดาบของพี่ใหญ่ยังหันมาทางข้า!”
“ด้ามดาบอะไรกัน?”
หยุนลี่เซียวเกียจคร้านเกินกว่าจะตอบคำถามของแม่นางเฉินแล้วจึงเหลือบมองไปด้านข้าง ครั้นเห็นว่าร่างอ้วนพลุ้ยของนางเฉินตะแคงเข้ามาแนบชิดกับตนจนเกินพอดีจึงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “หยุดทำหน้าตาทุเรศซะ! ถามสิ่งใดยิบย่อยน่ารำคาญเสียจริง! นอนได้แล้ว!”
“อย่าได้คิดว่าข้าหน้าตาทุเรศอัปลักษณ์เชียว! หากเจ้ารักใคร่นางจิ้งจอกแพศยาเหล่านั้นนักเหตุใดจึงไม่ไปสู่ขอนางมาเป็นอนุภรรยาเสียเล่า?!” แม่นางเฉินประชดประชันก่อนเบียดกายเข้าไปนอนใกล้หยุนลี่เซียวยิ่งกว่าเก่า
“ออกไปให้ห่างข้าเดี๋ยวนี้! เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือว่ากลิ่นกายตนเหม็นเพียงใด?!” หยุนลี่เซียวยกเท้าขึ้นถีบร่างแม่นางเฉินให้กระเด็นห่างออกจากตัวอย่างนึกชิงชังรังเกียจ
แม่นางเฉินทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนขยับร่างซึ่งเต็มไปด้วยไขมันลุกออกห่างจากหยุนลี่เซียวอย่างจำยอม
“ไปนอนให้ห่างจากข้า ไป!”
“เหตุใดเจ้าจึงเปลี่ยนไปราวเป็นคนละคนเช่นนี้? เมื่อก่อนเราสองคนก็นอนเคียงกันเช่นเมื่อครู่มาโดยตลอด…”
“เงียบปาก! หันหน้าไปเสีย!” หยุนลี่เซียวยกเท้าถีบนางเฉินอีกครั้งอย่างหมดความอดทน
ห้วงคำนึงของหยุนลี่เซียวมีเพียงสตรีรูปงามซึ่งยืนโบกพักเชิญชวนอยู่ในหอชุ่ยเซียงเท่านั้น ทว่าความเป็นจริงตนกลับต้องนอนร่วมเตียงกับสตรีที่ทั้งอวบอ้วนและโสโครกน่ารำคาญ เขาทนรอวันที่ตนจะได้หย่าขาดจากแม่นางเฉินแทบไม่ไหว
ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาอันสมควรที่จะทิ้งขว้างแม่นางเฉินให้อยู่เพียงลำพัง หยุนลี่เซียวยังไม่ใจจืดใจดำพอที่จะทอดทิ้งนางเฉินให้เผชิญโลกกว้างโดยไร้ที่พึ่งอื่น
แม่นางเฉินพึมพำเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอพลางขยับพลิกตัวไปมาอยู่พักใหญ่ ไม่นานนักทั้งห้องจึงไร้เสียงพูดคุย คงเหลือเพียงเสียงกรนดังสนั่นของสองสามีภรรยา