ตอนที่ 174 นายพลต่อต้านแม่ทัพ
ค่ำคืนนี้ดูคล้ายจะยาวนานกว่าทุกครั้ง…
กระทั่งผ่านพ้นสู่วันรุ่งขึ้น ทุกอย่างจึงกลับคืนสู่สภาวะปกติราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
วันนี้หยุนลี่จงไม่ได้เดินทางออกไปแต่เช้าตรู่เช่นทุกครั้งแต่กลับขอร้องให้แม่นางจ้าวยกอาหารขึ้นมาให้ที่ห้อง ส่วนแม่นางจ้าวมีหรือจะอยู่เฉย นางทำหน้าเง้างอพลางเอ่ยถามหยุนลี่จง “เมื่อวานเจ้าไปที่ใดมา? ร่ำสุราเคล้านารีจนเมามายกระนั้นรึ?”
หยุนลี่จงวางหนังสือที่กำลังอ่านลงด้วยท่าทางร้อนรน “ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่รึว่าข้ามีธุระต้องหารือกับสหายบัณฑิต”
“หึ! ธุระสำคัญถึงเพียงใดจึงต้องหารือกันด้วยการดื่มกิน?”
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของบุรุษ เจ้าเป็นสตรีจะเข้าใจอะไร?” หยุนลี่จงสะบัดแขนเสื้อ “เสร็จสิ้นธุระแล้วก็ออกไปเสีย อย่าได้รบกวนเวลาศึกษาตำราของข้า!”
“ข้ามีข้อสงสัยอีกประการที่ใคร่รู้คำตอบ” แม่นางจ้าวจับจ้องไปที่ใบหน้าของหยุนลี่จง “เจ้าเอาเงินที่ได้มาไปใช้จ่ายสิ่งใดถึงสิ้นเปลืองนัก?”
“ข้าจะนำไปใช้จ่ายอย่างไรนั่นเกี่ยวกับเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน?” หยุนลี่จงถามกลับด้วยถ้อยคำเชิงเสียดสี
“เช่นนั้นต่างหูทองคู่นั้นไม่ถือเป็นทรัพย์สินสอดทองหมั้นของข้าหรืออย่างไร?!” แม่นางจ้าวขบกรามแน่นขณะพยามสะกดกลั้นอารมณ์ของตนอย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้เปล่งคำสบถออกจากปาก
“อะไรกัน? เจ้าแต่งงานเข้าตระกูลหยุนอยู่กินกับข้ามาเกินสิบปียังถือแบ่งแยกทรัพย์สินอย่างชัดเจนเช่นนี้อีกรึ?” หยุนลี่จงเผยรอยยิ้มเยาะ “โอ้… เจ้าช่างเป็นภรรยาที่เห็นแก่ตัวยิ่งนัก!”
ครั้นได้ยินหยุนลี่จงหยิบยกเหตุผลข้อนี้มาอ้าง แม่นางจ้าวถึงขั้นนิ่งงันเป็นใบ้ไปชั่วขณะ
แม่นางจ้าวต้องการเค้นเอาความจากหยุนลี่จงประหนึ่งนายพลต่อต้านแม่ทัพ คาดไม่ถึงว่าจะถูกหยุนลี่จงรุกฆาตจนต่อความไม่ถูก ในฐานะภรรยาจึงทำเพียงสูดลมหายใจลึกเพื่อจบเรื่องก่อนกล่าวต่อ “เจ้าสามบอกว่าเจ้าไปมั่วสุมอยู่ในสถานที่อโคจร เสื้อผ้าของเจ้าเต็มไปด้วยกลิ่นแป้งประทินผิวของสตรี ท่านพ่อทราบเรื่องจึงโกรธเคืองไม่น้อย”
สีหน้าของหยุนลี่จงแปรเปลี่ยนไปแทบจะทันทีพร้อมโพล่งออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว “เจ้าสามพูดจาเหลวไหลอะไรกัน…”
หยุนลี่จงหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก่อนเดินวนไปมารอบห้องอย่างกระสับกระส่าย “เหตุใดเจ้าสามจึงกล่าวเพ้อเจ้อถึงความที่ไร้มูล ท่านพ่อจะเชื่อถือคำพูดไร้สาระเหล่านั้นได้อย่างไร?”
แม่นางจ้าวยังรักษาท่าทีสงบทว่าจับจ้องไปที่การแสดงออกอันเต็มไปด้วยความเสแสร้งของหยุนลี่จงด้วยสายตาเย้ยหยัน “ทุกสิ่งที่เจ้าสามกล่าวล้วนเป็นเพราะเห็นกับตา สูดดมจากจมูก ข้าไม่อาจล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วท่านพ่อเชื่อเขาหรือไม่?”
กล่าวจบแล้วแม่นางจ้าวจึงผลักประตูและเดินออกไป
หยุนลี่จงทรุดกายลงนั่ง จิตใจยังคงรู้สึกกระวนกระวายเมื่อหวนนึกถึงเรื่องดังกล่าว
ตามจริงแล้วหยุนลี่จงต้องตำหนิตนเองเช่นกัน เมื่อวานนี้เขาเพียงเข้าไปในเมืองเพื่อหาซื้อเสื้อผ้าอย่างดีสำหรับสวมใส่ ทว่าช่างประจวบเหมาะได้พบเข้ากับสหายบัณฑิตเก่าแก่
สหายผู้นี้เพิ่งค้าขายได้รับโชคลาภใหญ่ อีกทั้งวันนั้นยังตรงกับวันคล้ายวันเกิดของคนผู้นั้นพอดี ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีตามประสาชายหนุ่มที่เชิญชวนผองเพื่อนสองสามคนรวมถึงหยุนลี่จงให้ร่วมดื่มฉลองอย่างสนุกสนาน
ถึงขั้นนี้แล้วหยุนลี่จงจึงไม่ปฏิเสธสิ่งล่อตาล่อใจเหล่านั้น พวกเขาเดินทางไปยังหอชุ่ยเซียงเพื่อร่ำสุราและสั่งอาหารเลิศรสมากมาย พร้อมด้วยเรียกสตรีรูปงามมานั่งคลอเคล้าคอยปรนนิบัติอยู่เคียงข้าง
ทว่ารายละเอียดเล็กน้อยเช่นกลิ่นหอมเบาบางกลับไม่อาจหลุดรอดไปจากนิสัยช่างจับผิดของหยุนลี่เซียว! กลิ่นแป้งประทินผิวกระนั้นรึ? เจ้าน้องชายตัวดีผู้นี้ชักจมูกดีเกินไปแล้ว!
หยุนลี่จงเร่งดึงเสื้อขึ้นพร้อมก้มลงสูดดม แต่กลิ่นเหล่านั้นจางหายไปไม่หลงเหลือแล้ว
เช่นนั้นหากผู้เฒ่าหยุนสืบถามถึงเรื่องดังกล่าวตนควรให้คำตอบอย่างไรดี? ปฏิเสธไม่ยอมรับใช่หรือไม่?
ใช่! ถึงอย่างไรก็บอกกล่าวตามตรงไม่ได้เด็ดขาด!
หยุนลี่จงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ฉับพลันเสียงเคาะประตูจึงดังขึ้นจากด้านนอก “ท่านพ่อขอรับ ท่านปู่สั่งความไว้ว่าหากท่านตื่นแล้วให้ไปพบที่ห้องส่วนตัว…”
“เข้าใจแล้ว!”
เพื่อป้องกันการถูกจับสังเกตเป็นคราที่สอง หยุนลี่จงจึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่พร้อมปัดฝุ่นตามร่างกาย ก่อนเปิดประตูออกไปพบหยุนโม่ผู้เป็นลูกชาย โดยวางท่าทีเคร่งขรึมเป็นบิดาที่น่าเกรงขาม “ช่วงนี้ศึกษาตำราวิชาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีขอรับท่านพ่อ” หยุนโม่เอ่ยตอบอย่างคลุมเครือ
“อีกประมาณครึ่งเดือนจะถึงการจัดสอบช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ครั้งนี้เจ้าต้องพยายามให้มากขึ้นอีกเสียหน่อย” หยุนลี่จงกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“ขอรับ” หยุนโม่พยักหน้า
“เห็นเจ้าแล้วทำให้นึกถึงตัวข้าในอดีตเสียจริง ตอนที่ข้าอายุเท่ากับเจ้าก็สามารถสอบผ่านขั้นบัณฑิตได้แล้ว! เช่นนั้นหวังว่าลูกไม้คงหล่นไม่ไกลต้นนัก”
“ข้าจะพยายามขอรับท่านพ่อ”
หยุนลี่จงโคลงศีรษะด้วยท่าทางเหนื่อยหน่ายระคนผิดหวังในท่าทางเงียบขรึมของหยุนโม่ จากนั้นจึงโบกมือ “กลับไปที่ห้องของเจ้าเสีย เตรียมตัวให้ดี… ช่วงบ่ายข้าจะทำการทดสอบเจ้า”
“ขอรับท่านพ่อ” หยุนโม่ตอบกลับอย่างเชื่อฟัง
หยุนลี่จงยืดอกขึ้นทำท่าทางราวผึ่งผายเสียเต็มประดา ต่อหน้าแม่นางเฉินและหยุนโม่แล้วเขาจะแสดงออกถึงความขลาดเขลาไม่ได้เป็นอันขาด
ห้องชั้นบน
ผู้เฒ่าหยุนนั่งหลังตรงพลางเผยสีหน้าเครียดเคร่ง ส่วนหยุนชิ่วเอ๋อกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานเย็บปัก ครั้นเห็นหยุนลี่จงเดินเข้ามาในห้องจึงถลึงตาใส่เขาด้วยความขุ่นเคือง
นานทีปีหนจึงจะเห็นว่าแม่เฒ่าจูยังมีท่าทีสงบไม่ชี้นิ้วและด่ากราดไปทุกสรรพสิ่งแม้เพิ่งเผชิญกับเรื่องราวน่าอับอายเมื่อคืนที่ผ่านมา นางเพียงพ่นลมหายใจเย็นเยียบและนั่งนิ่งอย่างรอคอย
“ท่านพ่อ” หยุนลี่จงปั้นหน้ายิ้มราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “ท่านเรียกพบข้าด้วยเหตุใดหรือ?”
“เมื่อวานนี้เจ้าออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับก็ค่ำมืด เจ้าไปเที่ยวเตร่ที่ใดมารึ?” ผู้เฒ่าหยุนเอ่ยถามหยุนลี่จงอย่างตรงไปตรงมา
“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับสหายบัณฑิตขอรับ”
“ผู้ใดกัน?”
“โอ้… นั่นไม่สำคัญหรอกขอรับ ข้าเองก็มีมิตรสหายมากมาย หากต้องสาธยายว่ารู้จักมักจี่กันได้อย่างไรคงเป็นการเสียเวลาไม่น้อยทีเดียว” หยุนลี่จงเฉไฉเปลี่ยนเรื่องพลางแสดงสีหน้าให้ดูน่าเชื่อถือ
“หากหารือเกี่ยวกับธุระสำคัญจริงเหตุใดจึงต้องร่ำสุรา? ตอนที่เจ้ากลับมาก็เมามายสิ้นสภาพจนไร้สติพูดจาแล้ว!” ผู้เฒ่าหยุนจ้องเขม็งไปยังหยุนลี่จงด้วยสายตาขุ่นมัว
“นั่นเป็นเพราะงานเลี้ยงดื่มฉลองหลังจากหารือแล้วเสร็จต่างหาก…” หยุนลี่จงอธิบายอย่างใจเย็น “สหายบัณฑิตของข้าเชิญชวนให้คู่ค้าของเขาซึ่งดูมีหน้าตาในสังคมพอสมควรให้ไปดื่มกินด้วยกันเพื่อแนะนำข้าให้รู้จักเขา โดยมารยาทแล้วข้าควรไปตามคำเชิญเพื่อผลประโยชน์ในภายภาคหลัง ซึ่งนั่นจะทำให้การเจรจาการค้าในภาคภายหน้าเป็นไปอย่างราบรื่น…”
ผู้เฒ่าหยุนฟังในสิ่งที่หยุนลี่จงอธิบาย สีหน้าพลันผ่อนคลายความโกรธเคืองลงเล็กน้อยหลังทราบเหตุผลแน่ชัด
“ท่านพ่อเรียกพบข้าเพียงเพราะเหตุนี้หรือขอรับ?” หยุนลี่จงสังเกตท่าทีของผู้เฒ่าหยุนเช่นกัน ครั้นมองออกว่าผู้เฒ่าหยุนยังไม่คลายกังวลเสียทีเดียวจึงถามกลับ
“เช่นนั้น…” ผู้เฒ่าหยุนพูดเพียงเท่านั้นก่อนหยุดเว้นช่วงไปชั่วครู่
ท้ายที่สุดแล้ว แม้ภายในใจของผู้เฒ่าหยุนเต็มไปด้วยข้อกังขาและความไม่พอใจเพียงใด ทว่าด้วยความที่หยุนลี่จงเป็นถึงบัณฑิตผู้มีทั้งเกียรติและศักดิ์ศรี คำถามที่ตนใคร่รู้จึงไม่ง่ายเลยที่จะกล่าวออกมาแม้จะมีฐานะเป็นบิดาก็ตาม
“พี่สามกล่าวว่าท่านไปสถานที่ไม่พึงควรเช่นหอชุ่ยเซียงเพราะได้กลิ่นเครื่องประทินผิวจากนางจิ้งจอกเหล่านั้น ท่านจะอธิบายข้อนี้ได้อย่างไร?” หยุนชิ่วเอ๋อเป็นฝ่ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหลมสูง
“อะไรกัน?!” หยุนลี่จงเบิกตากว้างราวตระหนกยิ่ง “เจ้าสามกล่าวหาว่าข้าไปหอ… ไปสถานที่เช่นนั้นงั้นรึ? ข้าจะไปที่นั่นได้อย่างไร? นี่ถือเป็นการใส่ร้ายกันชัด ๆ!”
“ไม่ได้ไปงั้นรึ? แล้วกลิ่นผิดประหลาดบนเสื้อผ้าของท่านจะปรากฏอย่างไร้ที่มาที่ไปได้อย่างไร?!”
“เขากล่าววาจาเหลวไหลสิ้นดี! ข้าอธิบายได้!” หยุนลี่จงร้องตะโกนทันที “พอดีเชียว… เสื้อตัวเมื่อวานของข้ายังไม่ถูกนำไปซัก เช่นนั้นข้าจะไปนำมาให้พวกท่านตรวจสอบว่ามีกลิ่นดังกล่าวจริงหรือไม่! เรื่องนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
หยุนลี่จงเผยสีหน้าโกรธจัดจนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำลามถึงลำคอ ก่อนหมุนกายหมายกลับออกจากประตูไปด้วยท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“เอาล่ะ เอาล่ะ!” ครั้นผู้เฒ่าหยุนเห็นว่าหยุนลี่จงโกรธเกรี้ยวถึงเพียงนั้นจึงโบกมือเป็นเชิงปรามให้สงบลง “เอาเถิด… หากเจ้าไม่ได้ไปที่นั่นก็จบเรื่องเสีย โดยปกติแล้วคำพูดของเจ้าสามไม่ว่าจริงหรือเท็จย่อมพิสูจน์ไม่ได้”
“ท่านพ่อ…” หยุนลี่จงหันกลับมาก่อนสบตาผู้เฒ่าหยุนด้วยความคับข้องใจที่สุมอยู่เต็มอก “เจ้าสามกล้าใส่ความข้านั่นเท่ากับจงใจดูหมิ่นชื่อเสียงของท่านพ่ออย่างเห็นได้ชัด!”
“ในอนาคตจะไม่มีผู้ใดหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นข้อขัดแย้งในครอบครัวเราอีก!” ผู้เฒ่าหยุนหันไปทางหยุนชิ่วเอ๋อ “เจ้าได้ยินชัดเจนแล้วหรือไม่?”
หยุนชิ่วเอ๋อทำปากยื่นยาวก่อนตอบรับด้วยการส่งเสียงในลำคอ
“เจ้าใหญ่ บัดนี้เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเดือนเท่านั้นก่อนถึงวันสอบช่วงฤดูใบไม้ร่วง รู้หรือไม่?” ผู้เฒ่าหยุนเปลี่ยนเรื่องสนทนา
ครั้นรู้คำตอบของหยุนลี่จงผู้เฒ่าหยุนจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างที่หยุนลี่จงยังประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี ทว่ายังมีอีกเรื่องที่ถือเป็นความกังวลไม่จบสิ้น
“จากนี้ข้าต้องอยู่บ้านทั้งวันเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการทบทวนตำราวิชาการอย่างหนัก ด้วยความอุตสาหะและความเตรียมพร้อมของข้าในครั้งนี้มากถึงแปดหรือเก้าในสิบส่วน เห็นทีควรเป็นปีสุดท้ายที่ท่านจะได้รอคอย” หยุนลี่จงเอ่ยตอบด้วยท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม
“คราวนี้เจ้าต้องพยายามให้หนักขึ้น อย่าทำผิดพลาดให้สูญเสียโอกาสอีก ครอบครัวของเราล้วนรอคอยความสำเร็จของเจ้า มีเจ้าเป็นที่พึ่งเพียงผู้เดียวนะเจ้าใหญ่…” ผู้เฒ่าหยุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ภายในใจยังเกิดความหวังถึงแม้เลือนรางเสียเต็มประดา
“ท่านพ่อ ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปที่ห้องเพื่อศึกษาตำราต่อไป” หยุนลี่จงเผยสีหน้ายิ้มแย้มยินดีอย่างว่าง่าย ทว่าภายห้วงความคิดกลับเต็มไปด้วยความสับสนและยุ่งเหยิง