ตอนที่ 175 ไข่สองฟอง

ผู้เฒ่าหยุนเอาแต่เน้นย้ำเรื่องดังกล่าวตลอดทั้งวันกระทั่งหยุนลี่จงรู้สึกเหนื่อยหน่ายเต็มทน ด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าการขายที่ดินของผู้เฒ่าหยุนในครั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมและทุ่มเทความหวังทั้งหมดไปกับการสอบของเขา

คล้ายทุกคนต่างโหยหาซึ่งความเจริญก้าวหน้าในชีวิตของตนเป็นที่ตั้ง ทั้งยังคิดคำนวณแต่ว่าการสอบรับราชการของหยุนลี่จงจะเกิดประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างไรบ้าง

หยุนลี่เซียวและแม่นางเฉินผู้เป็นภรรยามีความใฝ่ฝันว่าสักวันตนจะมีโอกาสได้อาศัยอยู่ในจวนหลังใหญ่โตโดยที่ไม่ต้องหยิบจับสิ่งใดเลย วันทั้งวันควรพักผ่อนหย่อนใจและทานอาหารรสเลิศโดยมีสาวรับใช้ยกมาจัดเตรียมให้ถึงที่

ส่วนหยุนชิ่วเอ๋อต้องการแต่งงานเข้าตระกูลผู้ลากมากดีและกลายเป็นฮูหยินใหญ่ผู้สูงศักดิ์โดยชอบธรรม ตลอดชีวิตหลังจากนี้นางจะอาศัยอยู่ท่ามกลางกองเงินกองทองเท่านั้น และทุกคนทั้งหมู่บ้านจะต้องกล่าวคำสรรเสริญ

แม่เฒ่าจูนั้นเล่า? โอ้… ตราบใดที่บุตรชายคนโตของนางสอบผ่านรับราชการเป็นขุนนางได้สำเร็จ แม่เฒ่าจูย่อมต้องสรรหาทุกวิถีทางเพื่อทำให้ตนเองกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงที่สุดในตระกูล โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะควบคุมสมาชิกทุกคนในบ้านอย่างเบ็ดเสร็จ

สำหรับผู้เฒ่าหยุนต้องการเพียงให้วงศ์ตระกูลของตนเองได้รับยศถาบรรดาศักดิ์และเกิดความเจริญรุ่งเรืองเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษ ความหวังอันสูงสุดของเขาคือการทำให้ตระกูลหยุนกลายเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้น เพียงเท่านี้ใบหน้าของเขาจึงจะผึ่งผายสง่าและผ่องใส มีหน้ามีตาในสังคม

ทั้งที่เริ่มแรกครอบครัวของหยุนลี่จงต่างบอกว่าการส่งเสียให้เขาศึกษาร่ำเรียนจนถึงขั้นบัณฑิตเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ต้องแลกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงมากมาย ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นเพราะอยากให้หยุนลี่จงมีอนาคตที่ดี ทว่าเป็นเพราะคาดหวังชีวิตที่ก้าวหน้าจากเขานั่นเองเช่นนั้นหรือ? เมื่อเป็นแบบนี้แล้วจะโยนความผิดไว้ที่เขาทั้งหมดได้อย่างไร?

หากครั้งนี้หยุนลี่จงสอบเป็นขุนนางไม่สำเร็จอีกครั้ง ครอบครัวก็จะไม่ได้หลุดพ้นจากความยากลำบากสู่ความสุขสบายเสียที ซึ่งกรณีนี้ผู้ที่จะกลายเป็นคนบาปก็คือหยุนลี่จงที่ทำให้ความหวังทั้งมวลของตระกูลพังพินาศ

หยุนลี่จงคิดแล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกอย่างเย็นชาและเดินกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวทางปีกตะวันออกและปิดประตูเสียงดัง

บรรยากาศภายในห้องโถง

ผู้เฒ่าหยุนจ้องมองแผ่นหลังของหยุนลี่จงจนลับสายตา เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายครุ่นคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดผู้เฒ่าหยุนจึงเอ่ยขึ้นลอย ๆ “นี่เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น…”

แม่เฒ่าจูลืมตาขึ้นและมองสบไปยังผู้เฒ่าหยุน นางรู้ว่าตลอดสองวันมานี้อารมณ์ของผู้เฒ่าหยุนไม่สู้ดีนัก ทั้งยังโกรธเกรี้ยวราวไฟสุมจนไม่พูดจากับผู้ใด

“ภายในระยะเวลาอีกครึ่งเดือน หากพี่ใหญ่ยังสอบไม่สำเร็จอีกละก็… เห็นทีพวกเราต้องกินลมตะวันตกเฉียงเหนือแทนสำรับอาหารแล้วกระมัง” หยุนชิ่วเอ๋อเอ่ยด้วยเสียงกระซิบ

“ระวังปากของเจ้าไว้บ้างเถิด ตั้งแต่เช้าตรู่กลับเอื้อนเอ่ยแต่คำอัปมงคล!” ผู้เฒ่าหยุนจ้องเขม็ง

หยุนชิ่วเอ๋อเห็นเช่นนั้นจึงรีบหลบสายตาทันทีและก้มหน้าก้มตาทำงานปักต่อไป

ผ่านไปเพียงอึดใจเดียวผู้เฒ่าหยุนจึงหยัดกายลุกขึ้นพลางเอ่ยถามแม่เฒ่าจู “ในบ้านของเรายังมีไข่หลงเหลืออยู่หรือไม่?”

“ท่านจะนำไข่ไปทำสิ่งใดรึ?” คำถามของผู้เฒ่าหยุนทำให้แม่เฒ่าจูตื่นตัวทันที

“เจ้าใหญ่จะเข้ารับการสอบคัดเลือกในอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้ ดังนั้นช่วงนี้จึงถือเป็นฤกษ์ยามอันดีในการเสาะหาเครื่องบำรุงร่างกายของเขา ดังนั้นอาหารนับว่าสำคัญไม่น้อย เราควรทำไข่หวานให้เขาทุกวัน วันละสองฟอง จนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ…”

ใบหน้าของแม่เฒ่าจูแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดในทันใด คางของนางยื่นยาวออกมายิ่งกว่าลาเสียอีก นางขบริมฝีปากพร้อมกล่าวตอบ “ไม่ได้เด็ดขาด หวังหมาจื่อเข้าไปขายของในเมืองและพบว่าไข่ไก่มีราคาแพงลิบลิ่วจนหาซื้อตามท้องตลาดทั่วไปได้ยากนัก เจ้าใหญ่ยังมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือไม่จำเป็นต้องกินไข่หรอก เวลานี้เราควรนำไก่ไปขายและนำเงินเข้าตระกูลสักสองสามเหรียญทองแดงคงเป็นการดีกว่า!”

“ยายแก่ผู้นี้! เหตุใดเจ้าจึงไม่รู้จักลำดับความสำคัญเอาเสียบ้าง?! หยิบยกเอาการดำรงชีพของผู้อื่นมาใส่ใจไปเพื่ออะไรกัน?!” ผู้เฒ่าหยุนเกียจคร้านเกินกว่าจะต่อปากต่อคำกับภรรยาอีก เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างโกรธจัดก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง “หากในบ้านไม่มีไข่หลงเหลืออยู่แล้วก็จงเชือดคอไก่ให้สิ้นเสีย!”

“ท่าน!” แม่เฒ่าจูกล่าวได้เพียงเท่านั้นจึงกดความอัดอั้นลงในอก ก่อนตบตีต้นขาของตนและร้องตะโกนโวยวายอย่างเศร้าสร้อย “โอ้… โธ่เอ๊ย… ครอบครัวนี้แร้นแค้นจนจะอดตายอยู่แล้ว! แม้แต่ไข่ไก่ยังต้องเจียดไปบำรุงเขา! แล้วจากนี้พวกเราจะมีสิ่งใดกินอีก?!”

“หุบปากเสีย! เจ้าจะโพนทะนาให้ชาวบ้านเก็บเอาไปนินทาแต่เช้าเลยรึ?! เพียงเท่านี้บ้านเรายังไม่วุ่นวายพออีกหรือไร?” ผู้เฒ่าหยุนสะบัดแขนเสื้ออีกครั้งก่อนเดินไปทางประตูและเค้นถาม “เจ้าซ่อนไข่เอาไว้ที่ใดกันแน่?”

แม่เฒ่าจูผุดลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจแม้แต่นิดก่อนเดินไปเปิดฝาตู้ไม้ซึ่งตั้งอยู่ด้านบนหัวเตียงอีกชั้นหนึ่ง ภายในมีตะกร้าซึ่งบรรจุไข่ไก่ที่น่าจะเก็บซ่อนไว้นานกว่าเจ็ดหรือแปดวันอยู่ครึ่งตะกร้า ถึงกระนั้นแม่เฒ่าจูยังพึมพำด้วยความอาวรณ์ “ข้าตั้งใจเก็บไว้เพื่อนำไปขายนำเงินมาจุนเจือครอบครัวแท้ ๆ!”

“ปรุงไข่หวานให้เจ้าใหญ่สองฟอง” ผู้เฒ่าหยุนออกคำสั่ง

“เรื่องนี้ควรให้สะใภ้ใหญ่รับไปจัดการสิ! ข้าแก่ปานจะลงโลงอยู่รอมร่อแล้วยังต้องคอยปรนนิบัติรับใช้เขาอีกรึ?!” แม่เฒ่าจูยังคร่ำครวญต่อไปด้วยความโกรธเคืองขณะหยิบไข่ออกมาจากตะกร้าสองฟองและปิดประตูตู้ไว้อย่างแน่นหนา

เพียงไม่ทันไรหลังผู้เฒ่าหยุนเดินลับสายตาไป แม่นางจ้าวจึงก้าวเท้าเข้ามาในบริเวณห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางร้องเรียก “ท่านแม่”

แม่เฒ่าจูไม่ปริปากตอบคำใด นางเพียงเอียงใบหน้าคล้ำหม่นของตนและมองไปยังไข่ไก่ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะด้วยหางตา “รับไปซะ! จากนี้ข้าคงต้องขูดเลือดเนื้อของตนเองมาประทังชีวิตเสียแล้ว!”

“ท่านแม่ ข้ารู้ว่าใจจริงของท่านย่อมต้องการสนับสนุนความสำเร็จของพี่ใหญ่ไม่น้อย หากในอนาคตเขามีหน้าที่การงานที่ดีแล้วย่อมไม่ลืมที่จะตอบแทนบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเช่นพวกท่านอย่างแน่นอน” แม่นางจ้าวกล่าววาจาประจบประแจงพลางสังเกตท่าทีของแม่เฒ่าจู สองแขนของนางยังระวังระไวไม่กล้าหยิบฉวยโดยพลการด้วยเกรงว่าแม่เฒ่าจูจะอาละวาดทำร้ายตนขึ้นมาอีกครา

“ฮึ่ม! เขายังจดจำได้อยู่หรือว่าข้ามีฐานะเป็นมารดามิใช่ทาส! รอวันที่พวกเจ้าจะสรรหาอาหารดี ๆ ให้ข้าสักคำเถิด ข้าจึงจะเผาเครื่องหอมเป็นการสรรเสริญ!” แม่เฒ่าจูจ้องเขม็งด้วยสายตาเชือดเฉือนราวมีดโกนคมกริบ

ปวดใจกระไรเช่นนี้! ไข่สองฟองนี้สามารถนำไปขายได้เงินกลับคืนมาถึงสองเหรียญเชียว!

เส้นขนบนร่างกายแม่นางจ้าวลุกชันเมื่อเผลอสบเข้ากับสายตาของแม่เฒ่าจู นางเร่งหยิบไข่ไก่ทั้งสองขึ้นจากโต๊ะและเดินเลี่ยงออกไปอย่างรวดเร็วทั้งที่ใบหน้ายังปรากฏซึ่งความสาแก่ใจ

“ท่านพ่อชราภาพเสียจนสติเลอะเลือนไปเสียแล้ว!” หยุนชิ่วเอ๋อพร่ำบ่นขึ้นบ้าง “เขาหลงเชื่อทุกคำพูดของพี่ใหญ่ ทั้งยังลำเอียงแต่จะสนับสนุนพี่ใหญ่อย่างไร้ข้อกังขา!”

“เลี้ยงหมาป่าตาขาวไว้ในบ้านจะมีประโยชน์อย่างไรกัน?! คอยดูเถิด สักวันหมาป่าตัวนั่นแหละที่จะบดเคี้ยวกระดูกเหนียว ๆ ของเขา!” แม่เฒ่าจูไม่สนใจสิ่งใดนอกจากเงินตราเท่านั้น

ที่ดินขายไปจนหมดแล้ว หมูทั้งคอกก็ถูกขายไปเสียสิ้น คราวนี้แม้แต่ไข่ไก่ยังมีแววจะร่อยหรอลงทุกวัน ทุกสิ่งที่สูญเสียไปราวเป็นการตัดเฉือนเนื้อของแม่เฒ่าจูออกจากร่าง!

“เหตุใดในบ้านหลังนี้จึงมีแต่พี่ใหญ่ที่กินไข่ได้เล่า?! หากนับจากนี้พี่ใหญ่ได้กินมันวันละสองมื้อ เช่นนั้นข้าก็จะกินวันละสองมื้อเฉกเช่นเดียวกันกับเขา!” หยุนชิ่วเอ๋อไม่พอใจ

“เจ้าฝันเฟื่องสิ่งใดกัน?! ชีวิตของเจ้ามีสิ่งใดน่าบำรุงกระนั้นรึ?! เตรียมพร้อมร่างกายต่อการตั้งครรภ์หรือก็ไม่… อย่าทำตัวมีปัญหาไปหน่อยเลย!” แม่เฒ่าจูหันไปเอ็ดลูกสาว

หยุนชิ่วเอ๋อขมวดคิ้วเป็นปมทันที “แม้แต่เงินทองและที่ดินของตระกูลเราก็ถูกยกให้พี่ใหญ่ไปเสียสิ้น ข้าเกรงเหลือเกินว่าอีกหน่อยแม้แต่สินสอดทองหมั้นของข้าก็คงต้องยกให้แก่เขาเช่นกัน เขาเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้ ท่านแม่ยังคิดตำหนิข้าอีกหรือ?”

“นังเด็กโง่! มีหน้ามาสั่งสอนข้า! คิดว่าข้าอยู่บนโลกนี้มานานจนไม่รู้ความใดเลยหรืออย่างไร?! ใคร่ให้ข้าตายตกก่อนวัยอันควรกระนั้นรึ?!”

“……”

หยุนชิ่วเอ๋อถูกดุด่าเป็นครั้งที่สองจึงเม้มริมฝีปากสนิททันที

หยุนเชวี่ยออกไปทำธุระนอกบ้านแต่เช้าแล้ว แม่นางจ้าวกำลังขลุกอยู่ในครัวเพื่อปรุงไข่หวาน แม่นางเฉินตื่นแล้วและเดินตรงมายังห้องครัวก่อนเอนกายพิงประตูและไม่วายกล่าวคำกระแนะกระแหน “นั่นเป็นอาหารสำหรับพี่ใหญ่อย่างนั้นรึ? เฮ้! พี่ใหญ่ไปดื่มกินร่ำสุราในหอชุ่ยเซียง ครั้นมาถึงบ้านกลับกลายเป็นวีรบุรุษของตระกูลที่ต้องประคบประหงมเป็นพิเศษ เหตุใดน้องสามแห่งตระกูลหยุนจึงไม่ได้รับโอกาสอันดีเช่นนี้บ้าง?”

แม่นางจ้าวเพียงมองค้อนควักกลับอย่างไม่พอใจ “อย่าพล่ามเรื่องไร้สาระ สามีของเจ้าประพฤติตนดีเทียบเท่าสามีของข้าหรืออย่างไร? หากพวกเจ้ายังคิดทำลายชื่อเสียงของเขาให้เสื่อมเสียอีกละก็ข้าจะฟ้องให้ท่านพ่อทราบ!”

“โอ๊ย… พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าปล่อยข่าวลงข่าวลืออะไรกัน?” แม่นางเฉินตบต้นขาฉาดใหญ่ “พี่สะใภ้ ท่านปล่อยให้ลมปากของบุรุษเพียงสองสามคำหลอกลวงท่านให้ตายใจมิได้อย่างเด็ดขาด ข้าได้ยินมาว่านางจิ้งจอกเหล่านั้นมีเสน่ห์ดึงดูดเหล่าชายหนุ่มอย่างเหลือร้าย เพียงหลงเข้าไปครั้งเดียวจิตวิญญาณอาจติดพันอยู่ที่นั่นจนต้องหวนกลับไปเป็นครั้งที่สอง…”

“มัวผายลมอะไรอยู่อีก!” นานครั้งจึงจะเห็นภรรยาบัณฑิตสบถถ้อยคำหยาบคาย

“พี่สะใภ้ ที่ข้ามาเตือนก็เพื่อท่านทั้งสิ้น!” แม่นางเฉินทอดสายตามองไปทางห้องปีกตะวันออกและโบกมือเป็นเชิงปัดความรำคาญ “พี่สะใภ้ใหญ่โปรดตรึกตรองดูให้ดี พี่ใหญ่ไม่ดูดำดูดีท่านเช่นครั้งก่อน ๆ อนาคตหากเขาสอบรับราชการมีจวนใหญ่โต หากเขาอุตริคิดแต่งอนุเข้าตระกูลอีกคนเล่า?”

แม่นางจ้าว…

“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านต้องฝืนนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่เป็นเวลานับยี่สิบปีกว่าจะได้เป็นฮูหยินขุนนาง ทว่าเมื่อถึงเวลานั้นพี่ใหญ่กลับพานางจิ้งจอกที่ทั้งสาวทั้งสวยสดเข้ามาร่วมเสวยสุขเป็นเสี้ยนหนามตำตา ท่านจะยินยอมหรืออย่างไร?” แม่นางเฉินส่ายหน้าพลางผ่อนลมหายใจออกราวนึกเวทนาเต็มที

“หุบปากเสีย! ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องไร้มูลไร้เค้าความจริง! กลับไปทำงานของเจ้าซะ! หากเจ้ายังพูดพล่ามยั่วยุโทสะข้าอีกก็อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน!” ร่างกายของนางจ้าวแข็งทื่อ นางโยนตะหลิวกระแทกลงกับหม้อที่วางอยู่บนเตาโดยแรง ใบหน้ามืดมนราวมีเมฆทะมึนลอยบดบังอยู่อย่างนั้น

สะใภ้สามต้องการยั่วยุให้แม่นางจ้าวโกรธเกรี้ยวจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ หากจุดประสงค์ของแม่นางเฉินเป็นเช่นนั้นจริง ดังนั้นตนจะต้องไม่คล้อยตามคำกล่าวของอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด!