ตอนที่ 176 ภรรยาผู้ทนทุกข์เพราะสามี
ใจจริงแล้วแม่นางเฉินไม่รู้สึกโกรธหรือน้อยใจในโชคชะตาของครอบครัวตนเองดังที่กล่าวเหน็บแนมไปเมื่อก่อนหน้านี้ ทว่าหลังรู้ว่าหยุนลี่เซียวผู้เป็นสามีและหยุนลี่จงเข้าไปในสถานที่อโคจรแห่งนั้นเช่นเดียวกัน แม่นางเฉินจึงเกิดความเห็นใจสงสารแม่นางจ้าวด้วยคิดว่าตนและอีกฝ่ายกำลังเผชิญหัวอกเดียวกัน
น่าเสียดายที่แม่นางจ้าวไม่ได้มีมุมมองแคบเช่นนั้น นางคิดว่าแม่นางเฉินจ้องเพียงแต่จะหาเรื่องและคิดประชดประชันให้ตนเกิดโทสะเท่านั้น เวลานี้แม่นางจ้าวนึกรำคาญเสียจนต้องการตักน้ำเดือดปุดในหม้อมาราดศีรษะของแม่นางเฉินเสีย เพื่อที่สตรีผู้มีนิสัยน่ารังเกียจเช่นนี้จะได้สงบคำเสียที
ขณะที่หยุนเชวี่ยกำลังจะเดินออกจากประตูรั้วโดยที่คล้องตะกร้าไว้กับแขน แม่นางเฉินจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและร้องตะโกนถามหยุนเชวี่ย “เชวี่ยเอ๋อ เจ้าเข้าไปในเมืองครั้งนี้คงหาเงินได้อีกมากโขใช่หรือไม่?”
หยุนเชวี่ยเพียงยิ้มตอบ “อาสะใภ้สามว่างงานแต่เช้าเชียวหรือ!”
“ว่างงานอะไรกัน?! ผ่าฟืน ปรุงอาหาร ซักผ้า งานบ้านทั้งหมดในบ้านหลังนี้ล้วนเป็นข้าที่ทำทุกสิ่งมาตั้งแต่ต้น!” แม่นางเฉินพูดพลางเหลือบมองแม่นางจ้าวซึ่งกำลังตักไข่สองฟองขึ้นจากหม้อก่อนกล่าวเสริม “ทว่าสิ่งตอบแทนเล่า? ข้าไม่มีโอกาสแม้แต่จะกินวัตถุดิบดี ๆ ด้วยซ้ำ อย่างมากก็ทำเพียงมายืนสูดดมกลิ่นหอมอยู่ที่นี่!”
“เอาล่ะ… เอาล่ะ… อาสะใภ้สามยุ่งมากจริง ๆ” หยุนเชวี่ยตัดบทและรีบวิ่งออกจากประตูไป
“นี่! เชวี่ยเอ๋อ! เจ้าจะวิ่งหนีไปไหน? หาเงินได้มากมายถึงเพียงนี้กลับกลัวว่าอาสะใภ้จะขอส่วนแบ่ง! นังเด็กแล้งน้ำใจ!” แม่นางเฉินตะโกนไล่หลังพลางถลึงตาโพลง
แม่นางจ้าวก้มหน้าก้มตาทำงานในครัวจนเสร็จ จากนั้นจึงประคองชามใส่ไข่หวานเดินผ่านประตูออกมา
“พี่สะใภ้ใหญ่…” แม่นางเฉินหันกลับมาหาแม่นางจ้าวก่อนเสวนาพาทีด้วยรอยยิ้ม “เมื่อไรพวกเราจะสั่งซื้อลูกพลัมมาส่งเสียทีล่ะ?”
แม่นางจ้าวพ่นลมหายใจและเมินเฉยต่อคำถามของอีกฝ่าย
“พี่สะใภ้ใหญ่ ดูเอาเถิด… เชวี่ยเอ๋อกำลังจะร่ำรวยกว่าพวกเราแล้ว เราต้องรีบดำเนินการใดสักอย่างเพื่อตามนางให้ทัน!”
ทว่าแม่นางจ้าวยังไม่ตอบกลับแต่อย่างใด
“พี่สะใภ้ ท่านติดต่อญาติพี่น้องของท่านหลายวันมาแล้วไม่ใช่หรือ…”
“ปัง!”
แม่นางจ้าวก้าวข้ามธรณีประตูห้องปีกตะวันออกก่อนกระแทกปิดเสียงดัง แม่นางเฉินเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่ตะโกนหวังให้เสียงผ่านลอดบานประตูเข้าไปภายใน “พี่สะใภ้ ท่านพึงระวังไว้เถิด เราจะทำธุรกิจช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”
ภายในห้อง
แม่นางจ้าวกระแทกชามไข่หวานลงบนโต๊ะทั้งที่ใบหน้ายังงอง้ำ ทำให้น้ำในชามกระฉอกหกเลอะเทอะตำราซึ่งหยุนลี่จงกำลังอ่านอยู่
“เจ้าไปกินรังแตนที่ใดมาตั้งแต่เช้า?!” หยุนลี่จงรีบหยิบหนังสือขึ้นทันทีและใช้แขนเสื้อเช็ดทำความสะอาด จากนั้นจึงดุด่าภรรยาของตนด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “เป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร?”
แม่นางจ้าวเม้มริมฝีปากสนิทไม่ปริปากเอ่ยคำใด นางเดินเลี่ยงไปทรุดกายลงนั่งบนเตียงและเผยสีหน้าบูดบึ้ง
หยุนลี่จงหยิบช้อนขึ้นชิมไข่หวานในถ้วยอย่างช้า ๆ ครั้นลิ้นสัมผัสรสชาติเพียงนิดจึงรีบคายทิ้งและผลักชามออกห่างจากตัวก่อนเอนกายพิงพนักเก้าอี้ด้วยความเข็ดขยาด “ไข่ขาวแตกกระจาย ไข่แดงรึก็สุกเกินพอดี เจ้าร่ำรวยน้ำตาลมากถึงขั้นใส่หมดโหลเลยหรืออย่างไรกัน? ปรุงรสหวานถึงเพียงนี้คิดจะสังหารข้าให้ตายตกไปภายในวันนี้พรุ่งนี้งั้นรึ?!”
แม่นางจ้าวก้มศีรษะ สองมือสอดประสานกันวางไว้บนตักและยังไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
“ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่นะ!” หยุนลี่จงเริ่มไม่พอใจ “หากยังมีความทรงจำที่ดีอยู่บ้างก็ควรตระหนักมองตนเองเสียบ้างว่าเป็นลูกสะใภ้แบบใดกัน?”
“เจ้าทำอาหารไม่เป็น ไม่แม้แต่จะหยิบจับงานบ้านงานเรือนเพียงเพราะกลัวเสียศักดิ์ศรี ตรองดูสิ! เจ้าทำตัวราวตนเป็นบัณฑิตเองจนเคยชินเสียแล้ว!”
หยุนลี่จงผุดลุกขึ้นพร้อมกระแทกสันหนังสือลงกับโต๊ะ จากนั้นจึงเดินวนไปมารอบห้องเพื่อพยายามระงับความโกรธ
“สตรีผู้เพียบพร้อมควรมีลักษณะอย่างไรกัน?” แม่นางจ้าวเงยหน้าขึ้นพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“กตัญญูรู้คุณเป็นที่ตั้ง สุภาพอ่อนโยนทั้งยังซื่อสัตย์ ประพฤติตนอย่างมีเกียรติ มีจิตใจกว้างขวาง มีความรู้เสริมด้วยเหตุผล มีคุณธรรมและจริยธรรมสูงส่ง…” หยุนลี่จงพูดพลางมองแม่นางจ้าวด้วยหางตาเพราะความรังเกียจ “เจ้าลองตระหนักดูว่าภายในตัวของเจ้ามีลักษณะเหล่านั้นอยู่บ้างหรือไม่?”
แม่นางจ้าวไม่เอ่ยเถียง ทว่ากลับหลับตาลงทั้งที่ในใจนึกเย้ยหยันโชคชะตาของตนเอง
‘หึหึ… ยังไม่ทันได้เป็นขุนนางก็กดขี่ภรรยาตนถึงเพียงนี้ ภาพลักษณ์ภายนอกแสร้งทำตนเป็นบัณฑิตผู้ทรงความรู้ ทว่ากลับกระทำสิ่งเลวทรามเสียยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน! เห็นทีข้าคงต้องโทษตนเองที่ดวงตามืดบอด เลือกเส้นทางเดินชีวิตผิดพลาดจนต้องมาแต่งงานกับบุรุษพรรค์นี้!’
ภายนอกแม่นางจ้าวสงบนิ่งราวผืนน้ำสงบเงียบ ทว่าภายในใจกลับปั่นป่วนเสียยิ่งกว่ากระแสน้ำที่เชี่ยวกราก
หยุนลี่จงยังคงพล่ามกล่าวโทษแม่นางจ้าวอยู่เป็นเวลานานกระทั่งริมฝีปากแตกแห้ง ครั้นเห็นว่าภรรยาเพียงนั่งก้มหน้านิ่งไม่คิดทะเลาะเบาะแว้งหรือร้องไห้คร่ำครวญแต่อย่างใดจึงเกียจคร้านจะอบรมนางอีก เขาตัดสินใจเมินเฉยต่อนางและก้าวออกไปนอกห้องเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน
แม่นางจ้าวซึ่งถูกดุด่าสารพัดทุบตีฟูกบนเตียงสองถึงสามครั้งเพื่อระบายอารมณ์คับข้องในจิตใจ เพียงครู่เดียวกลับได้ยินเสียงหยุนลี่จงร้องเรียกตนเองจากนอกตัวบ้าน “เจ้ามัวมุดหัวอยู่ในบ้านด้วยเหตุใดกัน? ออกมาได้แล้ว! ท่านพ่อมีเรื่องราวต้องการสอบถามเจ้า!”
ผู้เฒ่าหยุนนั่งอยู่ใต้ชายคาของห้องโถงใหญ่ด้านล่างพลางโบกพัดในมือเพื่อคลายร้อยเป็นครั้งคราว
“ท่านพ่อ มีสิ่งใดหรือเจ้าคะ?” แม่นางจ้าวระงับโทสะภายในจิตใจก่อนเดินตรงไปพบผู้เฒ่าหยุนและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเช่นทุกครั้ง
นางระลึกอยู่เสมอว่าหากตนต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในอนาคตจำต้องปรับตัวเข้ากับครอบครัวของฝั่งบ้านสามีให้จงได้
ดังเช่นคำกล่าวโบราณว่าไว้… หากต้องการได้ดีก่อนผู้อื่น ก็ต้องผ่านความเจ็บปวดก่อนผู้อื่น!
แม่นางจ้าวไม่ใช่สตรีเช่นแม่นางเฉินที่สนใจอยู่เพียงการกินและนอนตลอดทั้งวันอย่างไร้แก่นสาร ทั้งไม่ใช่สตรีงี่เง่าและอ่อนโยนเช่นแม่นางเหลียนที่ไม่มีความคิดใดเป็นของตนเอง แม่นางจ้าวตระหนักรู้ว่าความต้องการของตนคือสิ่งใดและรู้จักโอนอ่อนผ่อนตามกับสภาพแวดล้อมโดยรอบ
“ไม่กี่วันก่อนข้าจำได้ว่าข้าทำการมอบหมายให้เจ้าไปติดต่อญาติพี่น้องเรื่องลูกพลัมสด นี่ก็ได้เวลาแล้ว ยังไม่มีการตอบรับใด ๆ อีกหรือ?” ผู้เฒ่าหยุนเอ่ยถาม
มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในแต่ละวัน ไม่นานก็ถึงกำหนดเวลาตามที่แม่นางจ้าวรับปากไว้แล้ว หากแม่นางเฉินไม่กล่าวถึงเสียก่อนผู้เฒ่าหยุนคงหลงลืมไปแล้วเป็นแน่แท้
“เช่นนั้นข้าควรกลับไปที่บ้านเดี๋ยวนี้เลยดีหรือไม่? หรือให้ข้าเข้าไปเสาะหาในตัวเมืองแทน?” แม่นางจ้าวแสร้งเสนอหนทาง
สิ่งที่แม่นางจ้าวกล่าวล้วนเป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของผู้เฒ่าหยุนทั้งสิ้น ดังนั้นเขาเพียงโบกมือเป็นเชิงอนุญาต “ไปเถิด กลับไปที่บ้านเดิมของเจ้าเถอะ เจ้าคงรู้ว่าขณะนี้สถานการณ์ของตระกูลเราเป็นเช่นไร ในเมื่อเจ้ารู้ดีแก่ใจว่าควรกระทำสิ่งใดก็จงเร่งไปจัดการเสีย ข้าจะไม่พูดให้มากความอีก…”
มณฑลอันผิง
หยุนเชวี่ยพอจดจำใบหน้าพ่อค้าแม่ค้าและผู้คนที่สัญจรมาในแถบร้านค้าเป็นประจำได้บ้างแล้ว ทุกละแวกที่หยุนเชวี่ยเดินผ่านมักมีรอยยิ้มตอบกลับและถ้อยคำทักทายสั้น ๆ อย่างเป็นกันเอง
ลูกค้าบางรายพอมีฐานะอยู่บ้าง ทุกครั้งที่พวกเขาเห็นหยุนเชวี่ยก็จะร้องเรียกให้หยุดและซื้อลูกพลัมแช่น้ำตาลเป็นจำนวนสองถึงสามห่อเป็นกิจวัตร
เด็กหญิงแก่แดดช่างพูดช่างเจรจา น้อยคนนักที่จะไม่รู้สึกเอ็นดู
เถ้าแก่หูดูเหมือนจะมีมิตรภาพสนิทชิดเชื้อกับหยุนเชวี่ยเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่หยุนเชวี่ยเดินผ่านหน้าประตูร้านว่านเหอ หากเถ้าแก่ไม่มีงานยุ่งรัดตัวก็มักจะเดินตรงมาทักทายหยุนเชวี่ยด้วยตนเอง
นอกจากนี้ยังมีเถ้าแก่ที่ขายของเล่นเก้าห่วง ล่าสุดนี้เขาเปลี่ยนจากการขายของเล่นเหล่านั้นไปหายผลไม้อบแห้ง ลูกกวาด และขนมหวานแทนแล้ว และทุกครั้งที่เขาพบเห็นหยุนเชวี่ยก็มักหยิบขนมเหล่านั้นมอบให้นางประมาณหนึ่งกำมือโดยไม่ลังเล
ส่วนนายน้อยเจิ้งแห่งภัตตาคารหลงชิง ครั้งสุดท้ายที่เขาติดต่อกับเด็ก ๆ คือตอนที่เหอยาโถวมอบกระต่ายป่าหมักเครื่องสมุนไพรเพื่อเป็นการตอบแทนค่าไก่ย่างเมื่อวันก่อน ซึ่งนายน้อยเจิ้งได้สั่งให้พ่อครัวในภัตตาคารนำไปปรุงอาหารและพบว่ามีรสชาติดีไม่น้อย ครั้งนี้เขาเดินเตร่อยู่บนถนนและพบเจอเหล่าเด็กกลุ่มเดิมพอดีจึงปรี่เข้าไปสอบถามถึงเนื้อกระต่าย
สำหรับเรื่องเงินทองแล้วเหอยาโถวปราดเปรื่องนัก ครั้นเกิดความคิดเรื่องลู่ทางทำธุรกิจแบบใหม่จึงเสนอให้หยุนเชวี่ยรับรู้ทันที “ใช่แล้ว! นับจากนี้หากเจ้าสามารถเสาะหาของป่ามาได้อีก เจ้าสามารถส่งขายให้กับภัตตาคารหลงชิงเพียงแห่งเดียวได้นี่นา! คงเป็นการค้าที่ไม่มากเกินไปใช่หรือไม่ขอรับนายน้อยเจิ้ง!”
“มากเกินไปงั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า! ในแต่ละวันภัตตาคารหลงชิงมีลูกค้าจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว เจ้าสามารถสรรหามาให้ได้เท่าใดกันล่ะ? เกรงว่าจะไม่เพียงพอเสียมากกว่า” เจิ้งเอ้อร์ฉ่าวกล่าวโอ้อวดกลั้วหัวเราะพลางโบกพัดในมือ
“ไม่เลวทีเดียว!” เหอยาโถวทำท่าคิดราวเป็นนักธุรกิจมือฉมัง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “และราคาก็ต้องได้เท่า ๆ กันกับที่เราขายตามท้องตลาดทั่วไป”
“เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่ายังไม่รู้จักพี่เขยผู้นี้ดีพอ” เจิ้งเอ้อร์ฉ่าวหุบพัดและกล่าวต่อไปอย่างภาคภูมิ “ข้าจะปล่อยให้น้องชายว่าที่ภรรยาตนเองทำธุรกิจโดยไม่ได้ผลกำไรเลยได้อย่างไรกัน? เจ้าคิดว่าสมเหตุสมผลแล้วหรอกหรือ?”
เหอยาโถวกลอกตาขึ้นฟ้าตั้งแต่ได้ยินประโยคแม้เพียงครึ่งเดียว เขาหรี่ตาพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่างไปพลาง ไม่คาดคิดว่าเจิ้งเอ้อร์ฉ่าวจะหยิบยกความสัมพันธ์ทางครอบครัวย้อนกลับ แม้แต่ในเรื่องของธุรกิจค้าขาย สิ่งนี้ทำให้เหอยาโถวหายใจไม่สะดวกเอาเสียเลย