ตอนที่ 177 ต่างคนต่างประหยัดเงิน

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 177 ต่างคนต่างประหยัดเงิน

เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงวัน แสงแดดที่ส่องลงมาเริ่มเผาไหม้ผิวหนังจนแสบร้อน

บนท้องถนนมีคนสัญจรน้อยลง พ่อค้าแม่ขายหลายรายเริ่มย้ายแผงเข้าไปอยู่ในที่ร่มเผื่อหลบร้อน หยุนเชวี่ยจึงตามหาเสี่ยวส้วยเอ๋อและเหลียวชีจินให้มารวมตัวกัน

“คราวที่แล้วเราขายลูกพลัมจำนวนเท่ากันหมดภายในสองวัน ทว่าคราวนี้เรายังเหลือตั้งครึ่งหนึ่ง!” เหลียวชีจินพร่ำบ่นเพราะความเหนื่อยอ่อน

“เชวี่ยเอ๋อคาดเดาไว้ก่อนแล้ว ครั้งก่อนคนในเมืองมากกว่าวันนี้เกือบเท่าตัว วันนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายมากเสียหน่อย ข้าขายได้ตั้งสิบสองถุงเชียว!” เสี่ยวส้วยเอ๋อรู้สึกพอใจยิ่ง

สิบสองถุงเท่ากับจำนวนเงินสิบสองเหรียญ เผยเสี่ยวส้วยได้รับเงินจำนวนสิบสองเหรียญในช่วงก่อนเที่ยงโดยไม่เหนื่อยเท่าที่ควร แม้ครั้งนี้จะไม่สนุกเท่าครั้งที่แล้วแต่นางยังคงมีความสุขและรู้สึกร่าเริงเช่นเดิม

“ข้าขายได้เพียงสิบถุงเท่านั้น” เหลียวชีจินพูดพลางนับส่วนที่หลงเหลืออยู่ในตะกร้า

“ไม่น้อยเลย หากเราเดินไกลกว่านี้อาจรวบรวมเงินจนสามารถซื้อซาลาเปาไส้เนื้อได้ถึงห้าลูก ไว้ค่อยมาอีกครั้งวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย” เผยเสี่ยวส้วยมองโลกในแง่ดีมากกว่าเหลียวชีจิน

แต่ละวันเพียงตบกระเป๋าและพบว่ามีเงินเหรียญอยู่ในนั้นนับเป็นความสุขของเผยเสี่ยวส้วยแล้ว ทั้งนางยังตั้งตารอที่จะเห็นมันเพิ่มจำนวนขึ้นในแต่ละวัน ตราบใดที่ต้องทำงานหนักทว่าได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า เผยเสี่ยวส้วยมั่นใจว่านานวันเข้าชีวิตความเป็นอยู่จะต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน

“ข้าคงไม่มีโอกาสได้ซื้อซาลาเปาเนื้อแล้ว” เหลียวชีจินโคลงศีรษะ

“เช่นนั้นเจ้าจะซื้อสิ่งใดดีล่ะ? ไก่ย่างหรือ? เห็นทีคงไม่ได้… เงินในกระเป๋าของข้ามีไม่เพียงพอ” เผยเสี่ยวส้วยตบเงินเหรียญในกระเป๋า

“ท่านแม่ขอให้ข้าเก็บไว้สร้างครอบครัว ข้า… ข้าต้องแต่งภรรยาเข้าบ้าน!” เหลียวชีจินก้มหน้างุดพลางเปล่งเสียงออกอย่างยากลำบาก

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?! แต่งภรรยาเข้าบ้านรึ? เจ้าเองก็พ้นวัยเด็กแล้ว จะมีภรรยาก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายเสียหน่อย! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

“ทว่ามันไม่ใช่ความต้องการของข้าเลย เป็นสิ่งที่ท่านแม่จัดสรรทั้งนั้น” เหลียวชีจินโต้กลับ ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “ท่านแม่ขอให้ข้าเก็บหอมรอมริบและใช้จ่ายให้น้อยลง…”

เสี่ยวส้วยเอ๋อไม่ทันสังเกตสีหน้าของเหลียวชีจินจึงยังยิ้มแย้มด้วยความยินดี

“ปีนี้ชีจินอายุเท่าใดแล้วรึ?” หยุนเชวี่ยตั้งคำถามบ้าง

“หากเขาสู่ช่วงเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ก็จะครบสิบสามปี ท่านแม่บอกว่าในอีกสองปีก็ควรตบแต่งภรรยาได้แล้ว…” เหลียวชีจินยกมือขึ้นเกาศีรษะ

“เจ้ายังอายุไม่ถึงสิบสามปีอีกหรือนี่?” หยุนเชวี่ยขึ้นเสียงสูงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

ตลอดระยะเวลาที่ทำงานร่วมกันหยุนเชวี่ยไม่เคยไม่เคยถามไถ่อายุของเหลียวชีจิน ทว่าเมื่อมองจากภายนอก ใบหน้าของเขาไม่ขาวผ่องแต่เป็นผิวสองสี ช่วงไหล่ค่อนข้างกว้าง ท่อนแขนขาหนาพอสมควร อีกทั้งร่างกายยังแข็งแกร่งไม่น้อย หยุนเชวี่ยจึงคาดเดาว่าเหลียวชีจินควรมีอายุไล่เลี่ยกับเหอยาโถว ไม่นึกเลยว่าเขายังไม่บรรลุสิบสามปี

“พวกเจ้าอายุเท่ากัน แต่กลับเรียกหยุนเชวี่ยว่าพี่เชวี่ยเอ๋อหรือนี่!” เผยเสี่ยวส้วยหัวเราะคิกคัก

“แล้วเจ้าล่ะ อายุเท่าใด?” หยุนเชวี่ยหันไปถาม

ยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นหยุนเชวี่ยจึงพบว่าเสี่ยวส้วยเอ๋อเป็นเด็กหญิงร่าเริง ทั้งยังช่างพูดและมีอารมณ์ขันอยู่เป็นนิจ กิจวัตรประจำวันของนางคือการหยอกล้อเหลียวชีจินบ่อยครั้งกระทั่งเหลียวชีจินเขินอายจนหน้าแดงอยู่เรื่อย

“ข้าอายุสิบสองปี”

“เกิดเดือนใดกัน?”

“มีนาคม ประมาณวันแรกของเดือนมีนาคมกระมัง ท่านแม่เคยบอกว่าจำไม่ได้แม่นยำนัก”

“ข้าเกิดเดือนกุมภาพันธ์ อายุมากกว่าเจ้าเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น”

“เช่นนั้นการที่ข้าเรียกท่านว่าพี่เชวี่ยเอ๋อก็ถูกต้องแล้ว พี่เชวี่ยเอ๋อ… ท่านแก่เดือนกว่าข้าเพียงเดือนเดียวเท่านั้น เหตุใดจึงมีความรอบรู้มากราวเป็นผู้ใหญ่เช่นนี้กัน?”

“เอ่อ…” หยุนเชวี่ยไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นอย่างไรดี

ดีที่เสี่ยวส้วยเอ๋อไม่ใช่คนขี้สงสัยและรอคอยคำตอบอย่างจดจ่อถึงเพียงนั้น ครั้นเดินผ่านมาจนถึงร้านซาลาเปาเจ้าประจำเสี่ยวส่วยเอ๋อจึงผละจากไปอย่างมีความสุข

เผยเสี่ยวส้วยเป็นลูกสาวผู้มีความกตัญญูสูง ไม่ว่านางหาเงินมาได้จำนวนเท่าใดก็มักเจียดเงินส่วนหนึ่งเพื่อซื้อซาลาเปาไส้เนื้อกลับไปแบ่งปันกับแม่ของตนทุกครั้งไป

“เชวี่ยเอ๋อ เหตุใดวันนี้เจ้าไม่ไปจับจ่ายสิ่งใดเสียหน่อย?” เหอยาโถวเอ่ยถาม

“ไม่ล่ะ ข้าต้องประหยัดเงินเช่นกัน”

“ประหยัดเงินงั้นหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า! คงไม่ใช่เพราะต้องเก็บออมไว้สำหรับเป็นสินสอดทองหมั้นเช่นเดียวกับชีจินหรอกใช่หรือไม่?” เหอยาโถวแสร้งล้อเลียนกลั้วหัวเราะ

หยุนเชวี่ยรีบยกมือไปหยิกแขนเหอยาโถวทันที “ข้าต้องเก็บเงินไว้สำหรับซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้แก่ท่านแม่ พี่เยี่ยนเอ๋อ และเสี่ยวอู่ในวันตรุษที่จะถึงนี้ต่างหากเล่า!”

“นั่นยังอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงวันตรุษ”

“อย่าได้ประมาทเชียวชีจิน หากเก็บออมเงินในช่วงเวลากระชั้นชิดเงินอาจไม่เพียงพอแม้แต่จะซื้อเสื้อผ้าฝ้ายสำหรับกันหนาว อีกอย่าง… หากถึงฤดูใบไม้ผลิเมื่อไรข้ายังต้องส่งเสี่ยวอู่เข้าสถาบันศึกษา”

แม้ว่าเฟิงซิ่วไฉ่จะสอนเรื่องการอ่านเขียนและตำราขงจื๊อให้กับเสี่ยวอู่ได้เป็นอย่างดี ทว่าหยุนเชวี่ยยังต้องการให้เสี่ยวอู่ได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตาในโลกกว้าง

“หมายความว่าการสอนของพี่สือยวินไม่ดีพออย่างนั้นหรือ? หวังหลี่เจิ้งเคยสรรเสริญว่าเขาเก่งกาจราวกับดวงดาราแห่งวรรณกรรมที่ร่วงลงสู่พื้นดินเชียวนะ!” ครั้นกล่าวถึงเฟิงซิ่วไฉ่ เหอยาโถวอดไม่ได้ที่จะยกยอปอปั้นเขาจากใจจริง น้ำเสียงขณะที่กล่าวถึงคมชัดยิ่งและแฝงไปด้วยความใส่ใจ

“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย” หยุนเชวี่ยรีบปฏิเสธทันควันและตะโกนกรอกหูเหอยาโถว “ข้าเพียงต้องการให้เสี่ยวอู่เข้าสถาบันศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้อื่น ๆ อีกทั้งข้าไม่สามารถรบกวนเวลาของพี่สือยวินไปตลอดได้ ครั้งนี้หากเขาสำเร็จการสอบไปอีกขั้น ย่อมต้องมีเรื่องให้จัดการอีกมากโขเป็นแน่…”

“หากเป็นเช่นนั้น…” หลังจากเหอยาโถวฟังหยุนเชวี่ยอธิบายอย่างยาวเหยียดจึงเข้าใจกระจ่างแจ้ง ทว่ายังรู้สึกหดหู่อยู่เล็กน้อย “ทว่าเหล่าบุรุษในสถาบันแห่งนั้นไม่มีผู้ใดเลยที่ดีพร้อมเท่ากับพี่เฟิงสือยวิน…”

“ถูกแล้ว พี่สือยวินเป็นคนดีที่หนึ่งทีเดียว แม้แต่หวังหลี่เจิ้งยังยกย่องว่าเขามีพรสวรรค์และมีความรู้สูงส่ง!” หยุนเชวี่ยเอื้อมมือไปตบบ่าเหอยาโถวเป็นเชิงเห็นด้วย

เหอยาโถวจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง “ข้าวางแผนไว้โดยคร่าวว่าในฤดูหนาวนี้หากไม่มีภาระอื่นใด อาจฝากตัวเข้าเป็นศิษย์และร่ำเรียนตำรากับพี่สือยวิน”

“เจ้าก็สนใจร่ำเรียนเช่นกันหรือนี่?” หยุนเชวี่ยเกิดความประหลาดใจอีกครั้ง

เหอยาโถว… นี่คือการพัฒนาทางด้านเพศสภาพที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง! สำหรับหยุนเชวี่ยแล้วหากเลือกที่จะร่ำเรียนหรือเลือกที่จะทำมาหากินก็ต้องเลือกเสียสักทาง แตกต่างจากเหอยาโถวที่ทำสองสิ่งควบคู่ไปพร้อมกัน

“ไม่ใช่เสียทีเดียว…” เหอยาโถวโบกมือไปมาด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ “ข้าเพียงต้องการรู้จักเขาให้มาก… เอ่อ… ช่างเถิด!”

หยุนเชวี่ยได้ยินรายละเอียดเหล่านั้นจึงหรี่ตามองเพื่อจับผิด ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้ถามเพิ่มเติมและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสีย “ดีทีเดียว หากกิจการของพวกเราขยายใหญ่ขึ้นในอนาคต ยังโชคดีที่เจ้าพอมีความรู้เรื่องการบัญชีหรือเอกสารต่าง ๆ ดี… ดีไม่น้อยเลย!”

เหอยาโถวคล้อยตามหยุนเชวี่ยทันที ฉับพลันท่าทางเฉื่อยชาจึงแปรเปลี่ยนเป็นกระตือรือร้น “จริงด้วย! เจ้าเห็นหรือไม่? เจ้าเองก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีเช่นกัน! เราไปร่ำเรียนด้วยกันเถิด!”

“หืม? ด้วยกัน? หากเราแห่แหนกันไปถึงสามคนรวมเสี่ยวอู่นั่นจะไม่ถือเป็นการรบกวนพี่สือยวินเกินไปหรอกหรือ?”

“ข้าไม่คิดเช่นนั้น… พี่สือยวินเป็นคนอารมณ์ดีทั้งมีเมตตาเป็นที่หนึ่ง เขายังตั้งชื่อให้ข้าเสียใหม่อีกด้วย ฮิฮิ…” เหอยาโถวดูมีความสุขมาก

“วันนี้ซาลาเปาเพิ่งสุกพอดิบพอดี ออกจากหม้อนึ่งแบบร้อน ๆ ทีเดียว พวกเจ้าไม่ซื้อกันหรอกหรือ?” เผยเสี่ยวส้วยเดินกลับจากร้านซาลาเปา สองมือสลับเปลี่ยนถือถุงบรรจุซาลาเปาอยู่บ่อยครั้งเพราะความร้อน ทั้งยังเป่าลมออกจากปากดังฟู่หวังช่วยคลายอุณหภูมิของมันลง

ทั้งสามส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ

หนึ่งในนั้นต้องการประหยัดเงินเพื่อเก็บออมสำหรับแต่งภรรยา…

อีกคนหนึ่งต้องการประหยัดเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้ากันหนาวในวันตรุษที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า…

ส่วนอีกคนหนึ่งเลิกคิดคำนึงเกี่ยวกับการกินไปนานโขแล้ว

เมื่อรวมตัวครบแล้วทุกคนจึงเร่งฝีเท้าเพื่อเดินทางกลับไปยังหมู่บ้าน ขณะพวกเขากำลังเดินออกมาจากเขตมณฑลอันผิงแล้วก็บังเอิญพบกับบุคคลผู้หนึ่งที่คุ้นตา

“พี่เชวี่ยเอ๋อ ดูนั่น! นางใช่ป้าสะใภ้ใหญ่ของท่านหรือไม่?” เผยเสี่ยวส้วยชี้นิ้วไปยังสตรีซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้า

บริเวณนอกตัวเมืองมีร้านค้าตั้งเรียงรายอยู่เพียงไม่กี่แห่ง ยิ่งช่วงเที่ยงวันเช่นนี้จำนวนผู้สัญจรมาจับจ่ายมีจำนวนน้อยลงกว่าช่วงเช้า สองข้างทางมีต้นไม้ปลูกไว้ประปรายไม่เพียงพอต่อการหลบร้อน ทว่าแม่นางจ้าวกลับลากตะกร้าใบใหญ่ซึ่งบรรจุลูกพลัมอยู่ภายในจนเต็มแน่นเดินออกจากเมืองด้วยฝีเท้าสม่ำเสมอ

วันนี้แม่นางจ้าวลืมคว้าหมวกติดมาด้วย ความร้อนจากสภาพอากาศทำให้ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ซ้ำร้ายยังไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เหรียญเดียวจึงไม่อาจจ้างวานผู้ใดได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนางจึงทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากกัดฟันแน่นและกลับบ้านไปเยี่ยงผู้พ่ายแพ้

ทันใดนั้นแม่นางจ้าวจึงได้ยินเสียงพูดคุยกันดังแว่วมาจากด้านหลัง นางหยุดเดินพร้อมเหลียวกายกลับไปมองจึงพบหยุนเชวี่ยและมิตรสหายทั้งสามที่เดินตามมาอยู่ไม่ไกลนัก

“ไอ้หยา! เชวี่ยเอ๋อ! ช่างบังเอิญเสียจริงที่ป้าได้พบเจ้า!” แม่นางจ้าวยกมือขึ้นปาดเหงื่อก่อนฉีกยิ้มและเดินตรงเข้าหาหยุนเชวี่ยราวสนิทสนมเสียเต็มประดา

“ป้าสะใภ้ใหญ่” หยุนเชวี่ยเพียงตอบรับตามมารยาทเท่านั้น ไม่เอ่ยถามใด ๆ ให้มากความ

“เชวี่ยเอ๋อ ป้ากำลังอับจนหนทางไม่รู้ควรพึ่งพาผู้ใด ดีจริงที่พบพวกเจ้าเข้าเสียก่อน!” ด้วยนิสัยของแม่นางจ้าวแล้วนางไม่มีความกล้ามากพอที่จะกวักมือร้องเรียกผู้คนให้มาซื้อสินค้าของตน ครั้นกล่าวจนจบประโยคแล้วแม่นางจ้าวจึงก้าวไปข้างหน้าหมายจะคว้าข้อมือหยุนเชวี่ยเพื่อเจรจาบางสิ่ง