ตอนที่ 178 ไม่มีสิ่งใดจะกล่าว
มีหรือหยุนเชวี่ยจะไม่รู้ว่าแม่นางจ้าวเป็นคนอย่างไร?
ทุกครั้งหากนางหวังหลอกใช้งานผู้ใดมักปั้นหน้ายิ้มแย้มเช่นนี้และใช้คารมเพื่อหว่านล้อมให้อีกฝ่ายเกิดความสงสารเห็นใจ ยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือแต่โดยดี ทว่าเมื่อคนผู้นั้นหมดประโยชน์แม่นางจ้าวจึงจะกลับไปใช้สายตาเหยียดหยามดังเดิมและทำเพิกเฉยเสีย
หยุนเชวี่ยไม่ต้องการช่วยเหลือนางในตอนนี้เพราะอากาศช่างร้อนอบอ้าวเสียเหลือเกิน อีกทั้งสหายร่วมทางของนางก็เหนื่อยล้ามากพอแล้วจากการตระเวนขายบ๊วยดองตลอดช่วงเช้าและต้องการกลับบ้านโดยเร็วที่สุด
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านจึงออกมาเพียงผู้เดียวเช่นนี้?” หยุนเชวี่ยแสร้งเอ่ยถามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปเสีย จากนั้นจึงยกหลังมือขึ้นปาดหยดเหงื่อบนหน้าผาก
“ไฮ้! เจ้าเห็นคนอื่น ๆ ในตระกูลของเราขยันขันแข็งมากหรืออย่างไรกัน?” แม่นางจ้าวเอื้อมมือไปท้าวบั้นเอวด้วยท่าทีปวดเมื่อยเต็มทนทั้งยังคร่ำครวญไม่หยุดหย่อน “ลุงใหญ่ของเจ้าต้องเก็บตัวเพื่อศึกษาตำราวิชาการ ครอบครัวของเจ้าสามก็ล้วนเกียจคร้านไม่สู้งานหนัก งานทั้งหมดจึงตกมาอยู่ที่ป้าอย่างไรเล่า?!”
เมื่อนึกถึงจุดนี้แม่นางจ้าวจึงรู้สึกเสียดายยิ่งนักที่ก่อนจะก้าวเดินออกจากบ้านตนไม่ได้ร้องเรียกให้แม่นางเฉินตามมาช่วยเหลือ ด้วยความทระนงในศักดิ์ศรีกลับทำให้ต้องตกระกำลำบากเสียจนน่าอับอายยิ่งกว่าเก่า
“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ช่างน่าสงสารเสียจริง” หยุนเชวี่ยพูดพลางเดินอ้อมร่างของแม่นางจ้าวไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
เหอยาโถว เสี่ยวส้วยเอ๋อ และเหลียวชีจินจึงเร่งฝีเท้าเดินตามหยุนเชวี่ยไปทันที
“เอ๊ะ!?” แม่นางจ้าวตกตะลึง “เชวี่ยเอ๋อ! ทำหมางเมินกันเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่นึกมีน้ำใจช่วยเหลือป้าสะใภ้ผู้นี้เลยรึ?!”
“ท่านป้าหยุนขอรับ” เหอยาโถวเป็นผู้รับช่วงต่อ เขาชี้ไปยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่พอแผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาอยู่บ้าง “ท่านป้าหลบร่มพักทางนั้นก่อนเถิด พวกเราจะรีบกลับเข้าเมืองเพื่อไปเรียกผู้คนมาช่วยเหลือท่านโดยเร็ว!”
“จำเป็นต้องไปเรียกผู้ใดกัน? พวกเจ้ามีกันถึงสี่คน เพียงแบ่งลูกพลัมเฉลี่ยแต่ละตะกร้ากลับไปยังหมู่บ้านเท่านี้ก็ได้แล้วมิใช่หรือ?! อากาศร้อนถึงเพียงนี้จะให้ข้ารอไปถึงเมื่อใดกัน?”
“ข้อนี้ท่านป้าอย่าได้กังวลไปเลย รีบไปกันเถอะ” เหอยาโถวส่งยิ้มตอบกลับจากนั้นจึงโบกมือเรียกคนอื่น ๆ และออกวิ่ง “ตามมาเร็วเข้า!”
วูบ… ฉับพลันกระแสลมร้อนอบอ้าวพัดโชยมาตามถนนและปะทะใบหน้าของแม่นางจ้าวระลอกใหญ่และผ่านไปภายในชั่วพริบตา
แม่นางจ้าวกระทืบเท้าเร่า ๆ กับพื้นดินที่ร้อนระอุด้วยความโกรธแค้นพร้อมตะโกนก่นด่าไล่หลัง “ไอ้พวกเด็กสารเลว!”
เด็กทั้งสี่วิ่งห่างออกไปด้วยความเร็ว อึดใจเดียวทุกคนจึงหยุดวิ่งพร้อมกันก่อนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อนอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน
“เชวี่ยเอ๋อ ทิ้งป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าให้รอเก้อที่นั่นอยู่อย่างนั้นดีหรือไม่?” เหอยาโถวเอ่ยถามพร้อมพับแขนเสื้อขึ้น
“ทำเช่นนั้นเกรงว่าอาจแล้งน้ำใจจนเกินไป เพียงกลับไปที่บ้านและแจ้งเรื่องนี้แก่ใครสักคนก็พอแล้ว” ร่างกายหยุนเชวี่ยร้อนจัดกระทั่งใบหน้ากลายเป็นสีแดง
“หากนางนำเรื่องนี้ไปฟ้องทื่ท่านปู่ของเจ้าจะเกิดเรื่องขึ้นอีกหรือไม่?” เสี่ยวส้วยเอ๋อเป็นกังวลเล็กน้อย
“นั่นสิ” เหลียวชีจินคล้อยตามคำพูดของเสี่ยวส้วยเอ๋อ
“นั่นก็ช่างนางเสียปะไร” หยุนเชวี่ยไม่แยแสข้อนี้เลยแม้แต่น้อย
ถึงอย่างไรก็มีคนคอยใส่ไคล้ใส่ความลับหลังอยู่เสมอ แม้ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดบ้านใหญ่ก็คิดร้ายต่อครอบครัวรองของหยุนเชวี่ยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เช่นนั้นยังต้องหวาดเกรงสิ่งใดอีก?
“หากพวกเขาจะเรียกพ่อของเจ้าไปกล่าวโทษจริง เช่นนั้นก็โยนความผิดให้ข้าเถิดว่าข้าไม่ต้องการช่วยเหลือนาง” เหอยาโถวยืดอกยินดีรับผิดแทน
“ถูกแล้ว!” เหลียวชีจินและเสี่ยวส้วยเอ๋อพยักหน้าพร้อมกัน
หมู่บ้านไป๋ซี บ้านตระกูลหยุน
ทันที่ที่หยุนเชวี่ยก้าวผ่านประตูรั้วเข้าไปในตัวบ้าน จึงพบว่าบริเวณใต้ชายคาห้องโถงมีผู้เฒ่าหยุนนั่งดักรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังชะเง้อมองออกไปทางประตูเป็นครั้งคราว
เมื่อเห็นหยุนเชวี่ยกลับเข้ามา ผู้เฒ่าหยุนจึงตะโกนเรียก “เชวี่ยเอ๋อ”
“ท่านปู่” หยุนเชวี่ยพยายามควบคุมสีหน้าให้เป็นปกติ
“ระหว่างทางกลับบ้านเจ้าพบเห็นป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าบ้างหรือไม่? นางออกไปในเมืองตั้งแต่เช้าแล้ว จนป่านนี้ยังไร้วี่แววว่าจะกลับมา”
ผู้เฒ่าหยุนไม่ได้กังวลว่าแม่นางจ้าวจะหลงทางอย่างไรหรือไม่ ด้วยตระหนักดีว่าอีกฝ่ายเอาตัวรอดเก่งกาจเพียงใด ทว่าสิ่งที่ผู้เฒ่าหยุนกังวลคือลูกพลัมจำนวนห้าจินที่แม่นางจ้าวนำติดไปเร่ขายด้วย จึงหวาดหวั่นว่าอาจเกิดอุบัติเหตุจนต้องสูญเสียวัตถุดิบเหล่านั้น
“ท่านปู่ ข้ากำลังจะแจ้งให้ท่านทราบพอดีเชียว ขณะนี้ป้าสะใภ้ใหญ่กำลังนั่งหลบแดดอยู่ใต้ร่มเงาไม้ข้างทางแถวนอกเมือง นางวานให้ข้านำเรื่องนี้มาแจ้งแก่ท่านและขอให้อาสามและอาสะใภ้สามเดินทางไปช่วยขนลูกพลัมและรับนางกลับมาที่นี่” หยุนเชวี่ยกล่าวจบแล้วจึงยกแขนขึ้นปาดเหงื่อ จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มกว้าง “ท่านปู่ ข้าขอตัวกลับไปที่บ้านเพื่อดื่มน้ำดับกระหายเสียหน่อย”
ริมฝีปากของผู้เฒ่าหยุนขยับเพียงครั้งสองครั้ง จากนั้นจึงกลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงคอและโบกมือเป็นเชิงอนุญาต “ไป ไปเถิด”
บ้านฝั่งปีกตะวันตก
“เหตุใดวันนี้เจ้าจึงกลับมาเร็วกว่าทุกครั้งเล่า?” แม่นางเหลียนเพิ่งกลับมาจากไร่เช่นกัน นางกำลังล้างหน้าชำระคราบไคลและยังไม่ทันได้ก่อไฟทำอาหาร
“ข้าไม่ได้เดินมาแต่วิ่งกลับมาต่างหาก!”
“รีบร้อนถึงเพียงนั้นเชียวรึ? มื้อเช้าที่ผ่านมากินไม่อิ่มหรืออย่างไร? หิวแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่เจ้าค่ะ!” หยุนเชวี่ยพยักหน้ารัว
“เช่นนั้นแม่จะรีบก่อไฟทำอาหารโดยเร็ว…”
แม่นางเหลียนถอดผ้ากันเปื้อนที่สวมใส่อยู่แขวนไว้ที่ตะขอด้านหลังประตู ทันทีที่เอื้อมมือไปเปิดประตูห้องครัวจึงได้ยินเสียงโวยลั่นของหยุนลี่เซียวดังขึ้นจากชั้นบน “ข้าไม่ยอมตากแดดร้อนถึงเพียงนี้เพื่อช่วยเหลือคนเพียงคนเดียวแน่! นำตะกร้าไปแบ่งเพียงสองอันก็พอแล้วกระมัง! เจ้ารีบออกไปสิ!”
“จะรีบได้อย่างไรกัน? ข้ายังต้องทำอาหารนะ!” แม่นางเฉินตอบกลับด้วยไม่ต้องการออกไปเวลานี้เช่นกัน
“เช่นนั้นก็เร่งความเร็วหน่อย! ทำอาหารเสร็จแล้วก็รีบออกไปซะ! ตลอดทั้งวันคืนไม่รู้มัวชักช้าอันใดกันแน่ ยายแก่ขี้เกียจ!”
“ใช้งานข้าให้ทำงานบ้านทั้งหมดเพียงผู้เดียว คิดว่าข้ามีแปดมือหรืออย่างไรกัน?!” แม่นางเฉินบ่นพึมพำพลางเดินเข้าไปในครัว
ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้ สู้ให้อยู่ในบ้านและก่อไฟทำอาหารยังดีเสียกว่าให้ตนเดินทางไกลกว่าสิบลี้* ไปยังบริเวณนอกเมืองเพื่อช่วยเหลือแม่นางจ้าวขนลูกพลัมเป็นไหน ๆ
*หนึ่งลี้เท่ากับ500เมตร
ครอบครัวสามแห่งตระกูลหยุนต่างโบ้ยความรับผิดชอบกันไปมา ตัวสามีนั้นมีนิสัยเกียจคร้านเป็นทุนเดิม ส่วนตัวภรรยาก็เสาะหาข้ออ้างเพื่อเอาตัวรอด ผู้เฒ่าหยุนได้ยินเช่นนั้นจึงไม่สบอารมณ์กระทั่งใบหน้าคล้ำหม่น “เปล่าประโยชน์ พวกเจ้าทุกคนล้วนใช้การไม่ได้!”
แม่นางเฉินได้ยินชัดเต็มสองรูหูทว่าหลบซ่อนอยู่ในครัวเพื่อเอาตัวรอด
“เหตุใดท่านพ่อจึงไม่คิดใช้งานพี่ใหญ่บ้าง? ตลอดทั้งวันเขาเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องไม่ได้เห็นหน้าค่าตา เขาไม่เกรงว่าตนจะหายใจไม่ออกหรืออย่างไร?” หยุนลี่เซียวหยิบยกชื่อหยุนลี่จงมากล่าวโยงด้วยไปเสียทุกสิ่ง
หยุนลี่เซียวไม่ยอมโอนอ่อนตามคำสั่งของผู้เฒ่าหยุนและปล่อยให้ลำเอียงความรักต่อลูกชายอีกต่อไป เหตุการณ์ก่อนหน้าทำให้หยุนลี่เซียวโกรธมากจนคิดว่าหยุนลี่จงควรช่วยงานของครอบครัวเสียบ้าง
ฝ่ายหยุนลี่จงกำลังนอนอยู่บนเตียงเตรียมตัวจะงีบหลับช่วงกลางวัน เขาได้ยินเสียงเอะอะภายนอกอย่างชัดเจนทว่าไม่คิดโต้ตอบกลับแต่อย่างใด
ปล่อยให้เจ้าสามเรียกร้องความยุติธรรมต่อไปเถิด เวลานี้การเก็บตัวอ่านตำราของหยุนลี่จงถือเป็นเรื่องใหญ่ ผู้ใดในบ้านเล่าจะกล้าเรียกใช้เขา?
“ระหว่างทางกลับเจ้าพบป้าสะใภ้ใหญ่บ้างหรือไม่?” แม่นางเหลียนหันไปถามหยุนเชวี่ย
“พบเจ้าค่ะ นางต้องการให้พวกข้าสี่คนช่วยนางขนลูกพลัมสดเหล่านั้นกลับมาที่บ้าน” หยุนเชวี่ยสารภาพตามตรงพลางเบ้ปาก “นางเจ้าเล่ห์นัก! ลูกพลัมน้ำหนักตั้งห้าจิน! ตลอดช่วงเช้าพวกเราทั้งเหนื่อยล้าและร้อนแทบทนไม่ไหว ทว่าป้าสะใภ้ใหญ่ที่ยืนอยู่นิ่ง ๆ กลับแสร้งทำเป็นปวดหลังเพื่อให้ตนเองสบาย”
“แม้แต่ตอนนี้นางก็ยังรออยู่ที่นั่นงั้นหรือ?”
“อ๊ะ! เดี๋ยวก่อน… ไม่ว่าอย่างไรข้าก็นำเรื่องนี้แจ้งให้ท่านปู่ทราบแล้วนะเจ้าคะ หากท่านแม่ไปช่วยนางก็เท่ากับว่าข้ากลืนน้ำลายตนเอง!” หยุนเชวี่ยรีบพุ่งตัวไปคว้าแขนแม่นางเหลียนด้วยความระแวงว่าอีกฝ่ายจะแสดงน้ำใจอันประเสริฐอีก “ท่านแม่อย่าได้สนใจนางเลย เร่งทำอาหารเถิด ลูกสาวหิวโหยเต็มทีแล้ว!”
แม่นางเหลียนยกยิ้มและเหลือบมองหยุนเชวี่ยอย่างรู้ทัน “ข้อนี้แม่รู้ดี ไม่มีเรื่องใดสำคัญมากไปกว่าลูกสาวของแม่…”
“ดีเหลือเกินที่ท่านแม่แยกแยะได้!”
เสียงพูดคุยทางฝั่งปีกตะวันตกเงียบลงแล้ว ทว่าสถานการณ์อีกฝั่งยังดุเดือด หยุนลี่เซียวนึกถึงบางคนขึ้นได้จึงตะโกนอีกครั้ง “พี่รองนั่นเล่า! ฝีเท้าของพี่รองนั้นรวดเร็วกว่าข้าหลายเท่านัก!”
“ท่านพ่อของข้ายังไม่กลับมาเสียหน่อย! ไร่นาตั้งกว้างขวาง มีงานอีกมากที่ยังไม่เสร็จสิ้นดี… พืชผลไม่มีผู้ใดใส่ใจรดน้ำจนเกือบแห้งตายเพราะภัยแล้ง! ครอบครัวของข้าจึงรีบจัดการเรื่องเหล่านี้!” หยุนเชวี่ยตะเบ็งเสียงตอบกลับไปทันที
ก่อนบ้านรองแยกครอบครัวออกมา หยุนเชวี่ยและครอบครัวเลือกที่จะเงียบมากกว่าเปิดฉากปะทะ ส่วนหยุนลี่เซียวหรือก็ยังจับจุดอ่อนของหยุนลี่จงผู้พี่ไม่ได้ ผู้เฒ่าหยุนทำให้ทุกคนในบ้านเกิดความเกรงกลัวอยู่บ้าง
ทว่าหลังจากบ้านรองแยกครอบครัวออกไป ภาระงานทุกสิ่งอย่างจึงตกเป็นของครอบครัวสามแห่งตระกูลหยุน เรื่องนี้ทำให้หยุนลี่เซียวไม่อาจเกียจคร้านดังเดิมได้อีกต่อไป ซึ่งเขารู้สึกไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นานวันเข้าหยุนลี่เซียวยิ่งเห็นธาตุแท้ของหยุนลี่จงชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นความคับข้องใจจึงสะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ แต่แม้อยากกระชากหน้ากากของพี่ใหญ่เพียงใดก็ไม่มีผู้ใดในบ้านจัดการอย่างจริงจังแม้แต่ครั้งเดียว
หยุนลี่เซียวรู้เช่นนั้นจึงไม่หยิบจับงานการใดในบ้านทั้งสิ้น เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเอนหลังอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน รอจนแดดร่มลมตกจึงออกจากบ้านไปคุยโวกับกลุ่มชายหนุ่มในหมู่บ้าน แวะดื่มเหล้าองุ่น จนไม่มีผู้ใดเห็นหน้า
ดังนั้นภายในตระกูลจึงมีเพียงผู้เฒ่าหยุนเพียงคนเดียวที่ต้องออกไปทำงานกลางท้องทุ่ง พร้อมด้วยเอ้อหลางที่ยังพอมีใจกตัญญูอยู่บ้าง ทว่าหลังเกิดเรื่องขัดแย้งในบ้านเอ้อหลางกลับเตลิดหนีออกจากบ้านไปเสียแล้ว กระทั่งวันนี้ยังไม่กลับมา
ผู้เฒ่าหยุนอารมณ์คุกรุ่นมาตลอดสองวันจนไม่ออกจากบ้าน ทำให้งานทำสวนทำไร่ตกอยู่ที่หยุนลี่เต๋อและแม่นางเหลียนโดยปริยาย
เวลาผ่านมาครึ่งเที่ยงจนเกือบเข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว ทว่าหยุนลี่เต๋อยังไม่กลับมา
“ไม่ว่าเรื่องใดก็โยนให้เป็นความรับผิดชอบของท่านพ่อข้าอยู่เรื่อย! ร่างกายของท่านพ่อประกอบขึ้นจากเหล็กกล้าหรืออย่างไรกัน?! เขายังต้องการการพักผ่อนนะ!” หยุนเชวี่ยตะโกนเสริมด้วยความไม่พอใจยิ่ง
“เชวี่ยเอ๋อ…” หยุนเยี่ยนรีบคว้าแขนของหยุนเชวี่ยและส่ายหน้าเป็นเชิงปราม
ใบหน้าของผู้เฒ่าหยุนยิ่งไม่น่าดูกว่าเดิมเสียอีก เขาเพียงพ่นลมหายใจและนิ่งเงียบด้วยไม่มีสิ่งใดจะกล่าว