บทที่ 295 หลับฝันหวานในค่ายศัตรู

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ท่ามกลางหมอกยามพลบค่ำ กลุ่มม้าเร็วควบทะลุระหว่างหุบเขาเหมือนเงาและมาหยุดลงตรงหน้าแม่น้ำสายหนึ่ง

นี่คือสาขาย่อยที่ไม่มีนัยยะสำคัญจากแม่น้ำสายใหญ่ มีความกว้างประมาณสองจั้ง กระแสน้ำอ่อนโยน แสงยามรุ่งอรุณที่ซ่อนตัวอยู่ในท้องฟ้าสะท้อนแสงเป็นประกายอยู่บนคลื่นน้อยๆ นั้น

หัวหน้าพาเพียงหนึ่งคนขึ้นบนเรือใบ คนที่เหลือซ่อนตัวรออยู่บนฝั่ง

เรือลำน้อยไหวเอน คนในเสื้อแขนกว้างสีดำนั่งอยู่ตรงกลาง ชายผู้แข็งแกร่งอีกคนถ่อเรือ

ครั้นเห็นว่าฝั่งใกล้เข้ามา คนถ่อเรือก็เอ่ยด้วยความเป็นห่วงว่า “กั๋วเว่ย พี่ใหญ่กล่าวว่าท่านแม่ทัพคนใหม่ของรัฐเจ้าไม่ใช่สุภาพบุรุษเหมือนพี่ชายของเขา พวกเราบุกเข้าไปเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างแท้จริง”

รอบทิศมีเพียงเสียงน้ำดังจ้อกแจ้ก มีกลิ่นพืชน้ำในอากาศเย็นเล็กน้อยจางๆ

ซ่งชูอีมองดูแสงไฟเลือนรางในสายหมอก เอ่ยปากว่า “หากกงซุนหยวนเป็นสุภาพบุรุษ ข้าไม่ห่วงชีวิตของข้าแต่จะทำงานลำบากยิ่งขึ้น”

กู่จิงไม่พูดอะไรอีก แม้ว่าในใจของเขาจะกังวลเพราะคำพูดของกู่หาน ทว่าเชื่อการตัดสินใจของซ่งชูอีมากกว่า จึงสบายใจขึ้น

เรือลำเล็กเหมือนกระสวยที่พุ่งเข้าไปในกกส่งเสียงดังสวบสาบ ไม่นานหัวเรือก็แตะชายฝั่ง

กู่จิงวางไม้พายลง กระทุ้งกกไปด้านข้างเพื่อออกไปสำรวจก่อน ผ่านไปไม่นานจึงกลับมาประคองซ่งชูอีออกไป

ข้างหน้าไม่ถึงหนึ่งลี้เป็นค่ายทหารของกองทัพรัฐเจ้า บัดนี้ท้องฟ้าสว่างแล้ว สามารถเห็นเงาคนได้เพียงเลือนราง

“เจ้ารอข้าแถวนี้ หากข้าเข้าไปสิบวันแล้วยังไม่ออกมา เจ้าก็กลับหลีสือ ไปบอกกับท่านแม่ทัพจื่อถิง” ซ่งชูอีเอ่ย

“ขอรับ!” กู่จิงประสานมือเอ่ย

ซ่งชูอีปัดละอองน้ำที่กระเซ็นใส่เสื้อ จัดกระชับเสื้อผ้า ก้าวเท้ายาวๆ ไปยังค่ายทหารเจ้า

“หยุดก่อน! ค่ายทหารเป็นพื้นที่สำคัญ ท่านบัณฑิตกรุณาอ้อมไป!” เสียงทหารรักษาการณ์ค่ายตะโกนมาจากที่ไกลๆ

ซ่งชูอีเอ่ยเสียงดัง “ข้ามีแผนให้กับท่านแม่ทัพ! ท่านทหารได้โปรดส่งต่อในนามของข้าด้วย!”

ทางนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ทหารรักษาการณ์เห็นว่าซ่งชูอีสวมเสื้อคลุมแขนกว้าง ลักษณะโดดเดี่ยว เห็นได้ชัดว่าเป็นบัณฑิตผู้ท่องหล้า จึงเอ่ยว่า “ท่านจงเอ่ยชื่อมา!”

“ข้าเป็นชาวเว่ย์ ชื่อพยางค์เดียวว่าอี” ซ่งชูอีเอ่ย

“รอสักครู่!”

นายทหารนำแผนการเข้าไปส่ง ไม่สามารถขับไล่ได้ตามใจชอบ จะรับหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ท่านแม่ทัพเป็นผู้ตัดสินใจ

ซ่งชูอีเดินเข้าใกล้หน้าค่าย ปักหลักรอ

ประมาณหนึ่งเค่อกว่าๆ มีทหารนายหนึ่งวิ่งกลับมากระซิบข้างหูนายพลผู้รักษาการณ์

นายพลผู้นั้นเหลือบมองซ่งชูอี “ท่านเว่ย์ เชิญเข้าไปข้างใน”

การเสนอแผนก่อนการสู้รบเช่นนี้ ล้วนใช้ชื่อแซ่ของตัวเองเพื่อเข้าพบกับท่านแม่ทัพ หากเข้าไปแล้วไม่มีแผนการอันชาญฉลาด หากกฎเบาหน่อยก็จะถูกโยนออกมา กฎหนักก็จะถูกฆ่า ส่วนจะได้พบท่านแม่ทัพหรือไม่นั้น ต้องดูอารมณ์ของท่านแม่ทัพว่าจำเป็นต้องมีกลยุทธ์หรือไม่

เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้กงซุนหยวนต้องการคนช่วยวางกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน

ซ่งชูอีตามนายทหารเข้ามา มองไปข้างหน้าตลอดทางโดยไม่สำรวจซ้ายขวาเลย จนกระทั่งมาถึงหน้ากระโจม นายทหารจึงกล่าวกับทหารรักษาการณ์หน้าประตูว่า “นี่คือท่านผู้ที่เสนอกลยุทธ์”

คนผู้นั้นกล่าวกับซ่งชูอี “เชิญตามข้ามา”

ภายในกระโจมว่างเปล่าไร้ผู้คน กลิ่นหอมผ่อนคลายอ่อนๆ ลอยอยู่ในอากาศ ซ่งชูอีสำรวจการตกแต่งรอบข้างเล็กน้อย ในใจก็รู้ว่านี่คือที่อยู่อาศัย

ซ่งชูอีหาที่นั่งว่างแล้วคุกเข่ารอ

ผ่านไปสองเค่อก็ไม่มีใครสนใจนาง

ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อแล้วหลับตางีบ

เดิมทีนางตั้งใจที่จะงีบครู่หนึ่ง ใครจะไปรู้ว่าภายในกระโจมอบอุ่นเกินไป บวกกับประสิทธิผลของธูปหอมผ่อนคลาย ทำให้นางผล็อยหลับไปจริงๆ!

ลักษณะการนอนของซ่งชูอีนั้นไม่ต้องพูดถึง มีเพียงสิ่งที่คนอื่นคิดไม่ถึง ไม่มีสิ่งที่นางทำไม่ได้

ไม่รู้ว่ารออยู่นานเพียงใด อุณหภูมิภายในกระโจมยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ห่างไกลจากความผ่อนคลายเมื่อครู่มากนัก เหงื่อตรงไรผมของซ่งชูอีรวมกันเป็นหยดแล้วไหลลงจากข้างหู นางรู้สึกระคายเคืองจึงยกมือขึ้นเกา ทันใดนั้นรู้สึกเลือนราง

ว่าแสงไฟสว่างขึ้นและดับลงอีกครั้ง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น

“ท่านช่างผ่อนคลายดีจริง” เสียงที่เย็นเยียบเล็กน้อยดังขึ้นด้านหลัง

สติสัมปชัญญะของซ่งชูอีตื่นตัวฉับพลัน รีบลุกขึ้นมาจากพื้น หันไปมองที่มาของเสียง

ผู้ชายอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดคนหนึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก เขาสวมชุดเกราะสีเงิน ใบหน้าซูบผอม รวมอายตนะห้าเข้าด้วยกันแล้วอ่อนโยนสง่างาม มีเพียงแววตาที่มุ่งมั่นเท่านั้นที่เหมือนผู้บัญชาการทหาร

“คารวะท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเสียมารยาท ท่านแม่ทัพได้โปรดให้อภัย!” ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อ ค้อมคำนับต่ำ

กงซุนหยวนก็กำลังสำรวจบุคคลตรงหน้า เมื่อครู่ตอนที่เข้ามา บุคคลนี้ขดตัวเป็นวงกลมอยู่ใต้โต๊ะ หากเขาไม่ลุกขึ้นมาเอง ตนก็ยังคงไม่รู้จริงๆ ว่าเขาอยู่ที่ไหน! บัดนี้ แม้ว่าบุคคลนี้เสื้อผ้าและผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย ทว่าพฤติกรรมสงบนิ่ง ไม่เสียอาการเลยแม้แต่น้อย

“ไม่ต้องมากพิธี” กงซุนหยวนเอ่ย

เริ่มแรก เขาได้ยินว่าผู้มาเยือนนี้อ่อนเยาว์นัก ดังนั้นจึงตั้งใจรอเพราะต้องการดูว่าบุคคลนี้มีนิสัยเยี่ยงไร ทว่ายังไม่ทันจะผ่านสามเค่อก็มีคนเข้ามารายงานเขาว่าคนในกระโจมหลับไปแล้ว! ตอนนั้นเขานึกดูถูกอยู่ในใจเล็กน้อย นึกว่าเป็นเพียงการกระทำโดยเจตนาของบัณฑิต รู้สึกว่าพวกที่ชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอมเช่นนี้ไม่พบก็ไม่เป็นไร คิดไม่ถึงว่าเมื่อหลับไปก็หลับไปครึ่งค่อนวัน!

นี่กลับทำให้กงซุนหยวนเกิดความสนใจ

“ไม่เป็นไร” กงซุนหยวนเห็นลักษณะของซ่งชูอีอย่างชัดเจน…คิ้วตาสามัญ หากยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน นางมิใช่คนแรกที่ดึงดูดความสนใจอย่างแน่นอน

“ข้าน้อยกั๋วเว่ยแห่งรัฐฉิน ซ่งหวยจิน” ซ่งชูอีไม่ปิดบังสถานะของตัวเอง “ขอแสดงความยินดีที่รัฐของท่านได้เป็นอ๋อง!”เปลือกตาของกงซุนหยวนกระตุก นั่งตัวตรงช้าๆ “กั๋วเว่ยช่างบังอาจนัก สองรัฐกำลังทำสงคราม ท่านกลับมางีบกลางวันในค่ายทหารของศัตรูอย่างเงียบสงบตามลำพัง! ไม่น่าแปลกใจเลยที่บุคคลเช่นนี้บีบให้พี่ชายของข้าตายได้อย่างง่ายดาย! สังหารวีรบุรุษรัฐเจ้าถึงสองนาย!”

“ท่านแม่ทัพกล่าวเกินไปแล้ว ข้าน้อยไม่คู่ควร” ซ่งชูอีกล่าวอย่างสงวนท่าที “เรื่องของความยินยอมทั้งสองฝ่าย ได้โปรดท่านแม่ทัพเปิดใจให้กว้าง”

กงซุนหยวนยิ้มเย็นชา ไม่เอ่ยถึงปัญหานี้อีก หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว ก็ไม่สามารถนับได้ว่าซ่งชูอีบีบให้กงซุนกู่ตายจริงๆ “เชิญนั่ง”

ซ่งชูอีคุกเข่าลงบนที่นั่ง

กงซุนหยวนเอ่ย “มีเรื่องสำคัญใดที่ทำให้กั๋วเว่ยมาที่นี่ด้วยตัวเอง? คงไม่ได้เพียงแสดงความยินดีอ๋องข้ากระมัง?”

ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “สงครามใหญ่กำลังพัวพัน ข้าน้อยจะมีธุระอื่นใดได้? ข้ามาครั้งนี้เพื่อช่วยหลีสือ ประการที่สองคือช่วยรัฐเจ้า หรืออีกนัยหนึ่งคือช่วยสกุลกงซุน”

“กั๋วเว่ยช่างหยิ่งยโสจริงๆ” น้ำเสียงของกงซุนหยวนค่อนข้างเจือปนความเย้ยหยัน แต่ไม่ได้สอบถามโดยตรง เพราะว่าในใจของเขากระจ่างยิ่งว่าซ่งชูอีอาจจะมีความสามารถนี้จริงๆ

“ท่านแม่ทัพลองเดาดูว่าหลังโจมตีหลีสือแล้ว เว่ยอ๋องจะคืนดินแดนสามร้อยลี้ให้รัฐเจ้าจริงหรือ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

กงซุนหยวนขมวดคิ้ว เรื่องนี้พูดยาก ไม่เพียงแต่เขาไม่ไว้ใจคนอย่างเว่ยอ๋อง แม้แต่เจ้าอ๋องก็ไม่เชื่อ ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือการโจมตีซึ่งกันและกัน จำนวนครั้งที่เว่ยอ๋องหลอกผู้คนก็มีไม่น้อย

ซ่งชูอีเอ่ยว่า “ตามที่ข้าน้อยรู้ การคืนดินแดนสามร้อยลี้นั้นเป็นเพียงสัญญาปากเปล่าของกงซุนหยวนระหว่างการไกล่เกลี่ย คนเยี่ยงเว่ยอ๋อง ต่อให้แกะสลักอยู่บนอนุสรณ์สถาน ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เบี้ยวหนี นับประสาอะไรกับสัญญาปากเปล่าเล่า?”

ซ่งชูอีเห็นว่ากงซุนหยวนเงียบงันไม่พูดจา ราวกับกำลังพิจารณาก็หยุดครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดต่อ “บัดนี้ความสนใจของกองทัพรัฐเว่ยอยู่ที่หลีสือ หากท่านแม่ทัพแอบสั่งการให้กองทัพถอนกำลัง อย่าว่าแต่สามร้อยลี้เลย ต่อให้เป็นการโรมรุกบุกตะลุยก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

หัวใจของกงซุนหยวนเต้นแรง หลุบตาลงอย่างรวดเร็วเพื่อแอบซ่อนอารมณ์ที่อยู่ในนั้น

ซ่งชูอียกมุมปากยิ้มเล็กน้อย เอ่ยช้าๆ “ข้าขอกล่าวความจริงที่อาจจะทำให้ท่านแม่ทัพไม่พอใจ ท่านแม่ทัพคิดว่าลำพังความสามารถของท่าน ในอนาคตยังจะประสบความสำเร็จกับดินแดนสามร้อยลี้หรือไม่?”

กงซุนหยวนค่อนข้างมีไหวพริบ แต่ใช่ว่าการมีไหวพริบเพียงน้อยนิดก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพได้ เขายังห่างไกลจากกงซุนกู่ในแง่นี้นัก

ก่อนที่กงซุนหยวนจะโมโห ซ่งชูอีรีบเสริมขึ้นอีกคำหนึ่ง “ต่อให้ท่านแม่ทัพมีพรสวรรค์ ทว่าการโจมตีหลีสือก็ใช่ว่าจะได้รับความไว้วางใจจากเจ้าอ๋อง!”

กงซุนหยวนพับเก็บนิ้วที่เค้นอยู่บนที่พักแขน ในใจของเขารู้ดีว่าการที่กงซุนกู่และหลี่ว์ซู่เสียชีวิตพร้อมกันในสงครามเล็กๆ นั้นค่อนข้างเป็นที่สะดุดตา เจ้าอ๋องจะต้องเคลือบแคลงใจอย่างแน่นอน หากไม่ชิงทำอะไรก่อน ต่อให้เขานั่งอยู่ในตำแหน่งท่านแม่ทัพนี้ก็ไม่สามารถได้รับความไว้วางใจจากเจ้าอ๋องได้ และเมื่อเรื่องที่กงซุนกู่ลากหลี่ว์ซู่ไปตายนั้นแพร่งพรายออกไป เขาก็อาจจะถูกแทนที่ได้ทันที

เมื่อถึงเวลานั้น ทุกอย่างที่เสียสละไปก็จะสูญเปล่า

ดังนั้นกงซุนหยวนจึงตัดสินใจฟังกลยุทธ์ของซ่งชูอี “ทุกคำที่กั๋วเว่ยกล่าวมาล้วนมีเหตุผล ทว่าสี่รัฐเข้าร่วมกลยุทธ์

เหอจ้ง หากจู่ๆ รัฐเจ้ากระตุ้นให้เกิดการต่อสู้ภายใน ไม่เท่ากับนำรัฐเจ้าไปสู่อันตรายหรือ?”

ทันทีที่มีข้ออ้างก็อาจนำไปสู่การโจมตีโดยรัฐรอบด้าน

“ครั้งนี้มีรัฐจงซานสร้างความปั่นป่วน เรื่องที่จะเป็นอ๋องร่วมกันกลายเป็นเรื่องชวนหัวไปเสียแล้ว ความตั้งใจของแต่ละรัฐในกลยุทธ์เหอจ้งก็จางหายไป” ซ่งชูอีโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เอ่ยเสียงต่ำ “พันธมิตรของสี่รัฐเปรียบเสมือนดาบคมเล่มหนึ่ง ตั้งแต่ครั้งโบราณมา มีใครอนุญาตให้ผู้อื่นนอนกรนข้างเตียงตัวเองบ้าง? บัดนี้เหยื่อคือข้ารัฐฉิน พรุ่งนี้อาจจะเป็นรัฐฉีหรือรัฐฉู่ก็ได้! สองรัฐจะไม่ระวังตัวได้หรือ? ต้าฉินข้าเพื่อต่อต้านกลยุทธ์เหอจ้ง บัดนี้ได้ลอบสร้างพันธมิตรกับฉีฉู่ไว้แล้ว และจะปล่อยข่าวในเร็ววันนี้”

ฉิน ฉี ฉู่ รัฐหนึ่งเป็นรัฐใหม่ที่มีชีวิตชีวา รัฐหนึ่งเป็นระบอบเผด็จการ รัฐหนึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ หากร่วมมือกันแล้ว ซานจิ้นและรัฐเยียนที่ยังไม่ล่มสลายจะเทียบเคียงได้อย่างไร?

“หากรัฐเจ้าโจมตีในตอนนี้ และร่วมเป็นพันธมิตรกับรัฐที่ร่วมในกลยุทธ์เหลียนเหอ ท่านแม่ทัพเห็นว่าเยี่ยงไร?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม

แววตาของกงซุนหยวนเป็นประกาย “นี่เป็นเรื่องจริงรึ?”

ซ่งชูอีเอ่ยว่า “เรื่องนี้มีข้อสรุปมาก่อนแล้ว หากท่านแม่ทัพไม่เชื่อก็สามารถส่งคนไปสืบข่าวที่รัฐฉีได้”

รัฐเจ้าตั้งอยู่ไกลจากรัฐฉู่ ทว่ากลับมีชายแดนติดกับรัฐฉี หากขี่ม้าเร็วไปกลับมากสุดก็ไม่เกินสิบวัน ยิ่งไปกว่านั้นไม่แน่ว่าบัดนี้ข่าวได้แพร่สะพัดมาถึงหานตานแล้ว

กงซุนหยวนตัดสินใจแล้ว เขารู้สึกผ่อนคลายลง บนใบหน้าผุดรอยยิ้มน้อยๆ “เยี่ยม ข้าจะไปสืบข่าว ก่อนถึงตอนนั้น กั๋วเว่ยได้โปรดพักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว กลยุทธ์ในการติดตามนั้นยังต้องขอให้กั๋วเว่ยชี้แนะอย่างละเอียด”

“เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว” ซ่งชูอีเตรียมพร้อมไว้แล้วว่าจะถูกกักตัว ในเวลานี้จึงสงบนิ่งเป็นธรรมดา

เรื่องนี้มีความคลาดเคลื่อนจากความทรงจำของนางอยู่บ้าง เดิมทีจางอี๋เลือกที่จะดำเนินกลยุทธ์เหลียนเหอก่อนที่กงซุนเหยี่ยนจะเลือกเหอจ้ง ไม่รู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงเพราะสาเหตุใด แต่ด้วยสถานการณ์ในภาพรวมและข่าวที่ถูกส่งมา นางเชื่อใจการทำงานของจางอี๋ในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง

นครหลีสือ

เสียงกลองสงครามดังระรัว การต่อสู้ได้เปิดฉากขึ้นอีกครั้ง

เจ้าอี่โหลวไม่ได้ลงจากกำแพงเมืองเลยเป็นเวลาสามวัน ร่วมกินร่วมนอนกับเหล่าทหาร เนื่องจากซ่งชูอีกำชับเป็นพิเศษว่าห้ามคนที่อยู่เบื้องล่างรายงานว่านางออกไปจากนครหลีสือแล้ว

ท้ายที่สุดแล้วสถานะของซ่งชูอีมีความพิเศษ คือผู้กำกับดูแลกองทัพในสงครามและมิใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าอี่โหลว เดิมทีตำแหน่งก็สูงกว่าทุกคนในที่นี้อยู่แล้ว เมื่อนางมีคำสั่ง ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ต้องเชื่อฟัง

“ใกล้ถึงกำหนดระยะเวลาที่กั๋วเว่ยพูดถึงแล้ว จะไปถามสถานการณ์หรือไม่?” ชุดเกราะสีดำของหานหู่เปื้อนรอยเลือด เขาวิ่งเข้ามาหาเจ้าอี่โหลวพร้อมกับหายใจเหนื่อยหอบ

กองทัพศัตรูยังไม่มาชิดกำแพงเมือง เลือดที่อยู่บนตัวเขาถูกสาดโดยพวกเดียวกัน

“ถามพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย” เจ้าอี่โหลวเอ่ย

มือหนาๆ ของหานหู่คว้ากำแพงแน่นโดยไม่สนใจรอยเลือดที่เปื้อนอยู่ด้านบน “กองทัพเว่ยบีบเข้ามาใกล้ทุกที”

สิบวันก่อนหน้านี้ กองทัพเว่ยถูกฝนลูกศรขัดขวาง คนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ในระยะร้อยจั้ง หลังจากการทำสงครามติดต่อกันหลายวัน บัดนี้สามารถมาถึงใต้กำแพงเมืองแล้ว หรือแม้แต่ถึงตีนบันไดแล้วด้วยซ้ำ!