บทที่ 296 มืดแล้ว ไฉนยังไม่กลับ

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ผ่านไปแปดวันแล้ว

ซ่งชูอีไม่มีความรู้สึกเหมือนกับถูกขังไว้ในค่ายศัตรูเลย ทุกวันเดินหมาก ดื่มชา ลิ้มสุรา ใช้เวลาอย่างมีอิสระและผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง นางรู้สึกเบื่อหน่ายในขณะที่หลีสือมีคนกินอาหารไม่รู้รส ยามราตรีก็นอนอย่างกระสับกระส่าย

เจ้าอี่โหลวพบว่าซ่งชูอีหายตัวไป ก็จับตัวทหารรักษาการณ์สองนายมา ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งทว่าก็ไม่สามารถเค้นอะไรออกมาได้เลย

ในที่สุดเมื่อจื่อถิงได้รับข่าวก็ส่งคนไปบอกเขาว่าซ่งชูอีได้รับราชโองการต้องกลับเสียนหยางลับๆ

สงครามใหญ่อยู่เบื้องหน้า แม้ว่าเจ้าอี่โหลวจะไม่เชื่อในคำอธิบายนี้ก็ไม่สามารถละทิ้งแล้วจากไปได้ ถึงเขาจะไม่สนใจว่ารัฐฉินจะแพ้หรือชนะ ทว่าก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรตามใจตัวเอง

พระอาทิตย์ในเสียนหยางกำลังตกดิน ป้อมปราการเสียนหยางถูกย้อมไปด้วยแสงอาทิตย์ยามสายัณห์ พื้นที่สีเทากว้างใหญ่ไพศาล แม่น้ำเว่ยไหลเชี่ยว ธงบนกำแพงเมืองสูงตระหง่านพลิ้วไหวไปตามสายลมยามโพล้เพล้

ตะเกียงเจ้าพายุถูกแขวนเต็มเชิงเทินที่ทอดยาวสุดปลายฟ้า ราวกับมังกรที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในแสงสลัว

บนหอคอยในพระราชวังเสียนหยาง อิ๋งซื่อยืนอยู่ข้างหน้าต่างโดยเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ มองดูหลังคาที่ซ้อนกันเป็นแถวๆ

ในห้องมีเพียงเสียงกรอบแกรบของม่านไม้ไผ่ที่ถูกสายลมพัดผ่าน เงียบงันเนิ่นนาน ทันใดนั้นเสียงรำพันเศร้าสร้อยของของอิ๋งซื่อก็ดังขึ้น “มืดแล้ว ไฉนยังไม่กลับ?”

ขันทีเถาเหลือบมองเงาผู้นั้นด้วยความประหลาดใจ แล้วหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาทกำลังคิดถึงใครเพคะ?” ม่านไผ่ที่หน้าประตูถูกเลิกขึ้น กั๋วโฮ่วเว่ยหว่านเดินเข้ามาช้าๆ

อิ๋งซื่อขมวดคิ้ว หันหลังไปมองนาง

ขันทีเถารีบค้อมตัวเข้าไปคำนับ หันหน้าตำหนิบ่าวรับใช้ที่อยู่หน้าประตู “กั๋วโฮ่วมาแล้วเหตุใดจึงไม่รายงานสักคำ! บกพร่องในหน้าที่เช่นนี้ ยังไม่รีบไปรับโทษอีก!”

“ข้าสั่งไม่ให้เขารายงานเอง” เว่ยหว่านกล่าว

ขันทีเถาเงียบเสียงลง ในใจของเขากระจ่างดี การตำหนิและกล่าวโทษบ่าวรับใช้เป็นเพราะเห็นว่าฝ่าบาทไม่พอพระทัยจึงช่วยกั๋วโฮ่วจากสถานการณ์น่าอึดอัด ใครจะรู้ว่านางไม่เห็นคุณค่าเลย

เว่ยหว่านเป็นคนที่อ่านแววตาของคนออก ทว่าตั้งแต่ตั้งครรภ์ อิ๋งซื่อก็เป็นห่วงนางกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด บางครั้งก็มีท่าทีอ่อนโยนต่อหน้านาง ทว่าอิ๋งซื่อกลับเยือกเย็นต่อฮูหยินและนางสนมคนอื่นเป็นอย่างยิ่ง ความโปรดปรานเพียงอย่างเดียวทำให้นับวันพฤติกรรมอันเหมาะสมของนางค่อยๆ หายไป ขันทีเถาลอบถอนหายใจ เกรงว่าความอดทนที่ฝ่าบาทมีต่อกั๋วโฮ่วก็เริ่มถึงขีดสุดแล้ว!

เว่ยหว่านเดินไปยืนข้างอิ๋งซื่อที่ข้างหน้าต่าง

นางมองออกไปนอกหน้าต่าง ยิ้มเอ่ย “มืดแล้ว มืดแล้ว ไฉนยังไม่กลับ? หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิ ไฉนยังอยู่ในน้ำค้าง!”

ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ฟ้าใกล้จะมืดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่กลับมา? หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิ เหตุใดต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในน้ำค้างด้วย

บทนี้คือ “เป้ยเฟิง – ซื่อเวย” ที่อยู่ใน “รวมบทกวี” รัฐเป้ยเป็นรัฐจูโหวเล็กๆ ในสมัยชุนชิว แต่ทำเลที่ตั้งดีเยี่ยม อยู่ใกล้กับนครโจวอ๋องเฉิง เป็นแหล่งกำเนิดแห่งผู้มีพรสวรรค์มากมายเช่นรัฐซ่งและรัฐเว่ย์ ด้วยเหตุนี้แม้จะเป็นรัฐเล็กๆ แต่บทกวีพื้นบ้านกลับมีเยอะมาก

เดิมทีบทกวีเป็นการตัดพ้อถึงความทุกข์ยากในการถูกใช้แรงงาน อิ๋งซื่อเพียงยกมาท่อนหนึ่งซึ่งมีความหมายต่างกันมาก เว่ยหว่านกลับเติมจนครบประโยค “ฝ่าบาทกำลังพะวงถึงสถานการณ์สงครามในหลีสือกระมัง?”

“หากมีเวลาว่างนัก ก็อ่านประวัติศาสตร์ให้มากและอบรมสั่งสอนโอรสข้าให้แยกแยะถูกผิดด้วย” อิ๋งซื่อกล่าวเย็นชา

ความหมายแฝงในวาจานี้คือบัดนี้เว่ยหว่านโง่เขลาและคิดว่าตัวเองถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงพอที่จะแยกแยะถูกผิด เวลาที่อิ๋งซื่อประชดประชันผู้อื่นไม่เคยไว้หน้าอยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะห่วงใยที่เว่ยหว่านกำลังตั้งครรภ์ เขาก็คงไม่กล่าวด้วยความอ่อนหวานเช่นนี้

ท่าทีที่อิ๋งซื่อมีต่อเว่ยหว่านนั้นมีความเคารพและความอดทนมากพอเนื่องจากนางเป็นกั๋วโฮ่วและเป็นผู้หญิงของเขา ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของนางในการประจักษ์รู้ตำแหน่งของตัวเอง ทว่าบัดนี้เว่ยหว่านยิ่งไม่ผ่านเกณฑ์ขึ้นทุกทีแล้ว

ผู้หญิงแทบทุกคนล้วนปรารถนาว่าสามีของตนจะเป็นดุจภูผาที่สามารถพึ่งพาได้ เอาใจใส่และรักใคร่ อย่างไรก็ดีสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงความฝันอันสมบูรณ์แบบเท่านั้น ในโลกนี้ไม่มีผู้ชายที่สมบูรณ์แบบเช่นนั้น ต่อให้มีก็ใช่ว่าจะโชคดีได้มาครอบครอง ในฐานะผู้หญิงของอิ๋งซื่อ จำต้องละทิ้งความฝันนี้ ประการแรกต้องเข้าใจว่าตนเป็นกั๋วโฮ่ว แสดงออกถึงทัศนคติที่กั๋วโฮ่วพึงมี ประการที่สองจึงจะเป็นผู้หญิง

ภายใต้ความอดทนและความเคารพของอิ๋งซื่อ เว่ยหว่านกลายเป็นผู้หญิงคนหนึ่งจากกั๋วโฮ่วไปเสียแล้ว

“เพคะ” เว่ยหว่านสีหน้าซีดขาว

“ขันทีเถา ส่งกั๋วโฮ่วกลับไป!” อิ๋งซื่อกล่าวด้วยความเย็นชา

ขันทีเถาค้อมตัวรับคำ “พ่ะย่ะค่ะ”

เว่ยหว่านยังต้องการกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าครั้นเห็นอิ๋งซื่อที่เป็นเหมือนรูปปั้นแกะสลักน้ำแข็งแล้ว ก็กัดริมฝีปากเล็กน้อย เหลือบมองห้องใต้หลังคาซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหอคอยในที่ไกลๆ ท่ามกลางแสงพลบค่ำ กลั้นน้ำตาเอาไว้ หมุนตัวจากไป

เมื่อเดินมาถึงทางเดิน เว่ยหว่านสูดหายใจลึกพร้อมเร่งฝีเท้า

ขันทีเถาตามไปอย่างอกสั่นขวัญแขวน “กั๋วโฮ่วได้โปรดเดินช้าๆ พ่ะย่ะค่ะ!”

เว่ยหว่านกลับไม่หยุดเลยแม้แต่น้อย กลับเข้าห้องด้วยความรวดเร็วราวกับสายลมแล้วสั่งให้ขันทีเถากลับไป

“ไปเรียกฮูหยินเว่ยเข้ามา” เว่ยหว่านเอ่ย

“เพคะ” สาวใช้คนหนึ่งรับคำสั่งแล้วออกไป

ไม่ช้า เว่ยหวานพุ่งเข้ามาพร้อมกับเส้นผมที่พริ้วไหว “ท่านพี่ ดึกป่านนี้แล้วเรียกข้ามีเรื่องอะไร?”

“นั่งก่อนค่อยคุย” เว่ยหว่านเห็นท่าทีที่เป็นห่วงของน้องสาว สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เว่ยหวานเข้าไปกุมมือของนาง มองสำรวจอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็อดที่จะเอ่ยสงสัยมิได้ “มีเรื่องอะไรกันแน่?”

เว่ยหว่านมองซ้ายขวา เอ่ยกับเว่ยหวานว่า “เจ้ารู้จักซ่งหวยจินหรือไม่?”

เว่ยหวานสางๆ ไรผม พยักหน้า รู้สิ เขาก็คือกั๋วเว่ยรัฐฉินไม่ใช่รึ? ช่วงก่อนหน้านี้เขาต่อสู้กับหลายร้อยสำนักที่รวมตัวกันในเสียนหยาง ชื่อเสียงไม่น้อยเชียว ได้ยินว่าต่อมาจวงจื่อตัดนิ้วเพื่อเขาด้วย!”

เว่ยหว่านโน้มเข้าหาหูของนาง กล่าวข้อสงสัยในใจออกมาทั้งหมด

“ไม่จริงกระมัง!” เว่ยหวานตาโต ข่มเสียงเอ่ยว่า “เรื่องชายรักชายเช่นนี้เป็นเรื่องที่เหล่าวิญญูชนในต้าเหลียงดูถูกเชียว ดีเลวอย่างไรซ่งหวยจินก็เป็นศิษย์สำนักเต๋า จะกระทำเรื่องที่ทำให้สำนักอับอายเช่นนี้ได้อย่างไร!”

“เดิมทีข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ว่าเจ้าลองคิดดู หากองค์จวินต้องการผู้ใดในใต้หล้า มีหรือที่จะไม่ได้?” เว่ยหว่านทอดถอนใจเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นว่าฝ่าบาทมักจะไปที่มุมกำแพงอยู่บ่อยๆ จึงคอยสังเกตดู พบว่ามุมกำแพงตรงนั้นเป็นจวนของกั๋วเว่ย ข้าก็เป็นสามีภรรยากับฝ่าบาทมาระยะหนึ่งแล้ว ไม่เคยเห็นเขาอ่อนข้อต่อใครมาก่อน? ทว่ากลับยอมก้มศีรษะให้กับซ่งหวยจิน! เรื่องนี้ก็ช่างประไร ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นซ่งหวยจินกับฝ่าบาทอยู่กันตามลำพัง จากนั้นพอออกมา…”

นางกระซิบเสียงเบา “เจ้าก็เคยเห็นเด็กขายตัวที่ปรนนิบัติคนอื่นเหล่านั้น ท่าทางการเดินหลังจากเสพสมกันแล้ว หากได้เห็นครั้งหนึ่งก็จะไม่มีวันลืม”

เว่ยหวานงุนงง ยกมือขึ้นนวดคลึงขมับ “นะ นี่มัน…”

“คืนนี้ข้าได้ยินฝ่าบาทรำพึงรำพันว่า ‘มืดแล้ว ไฉนยังไม่กลับ?’ บัดนี้ทั่วทั้งรัฐฉิน ยังมีใครที่เหมาะสมกับคำนั้นอีกเล่า?” เว่ยหว่านเอ่ยเบาๆ

“ท่านพี่มิได้ถามขันทีเถาหรือ?” เว่ยหวานยังคงมีสีหน้าเหลือเชื่อ หากจะบอกว่าฝ่าบาทเล่นกับเด็กขายตัว นางก็พอจะเชื่ออยู่ ทว่าบอกว่าจวินแห่งรัฐกับกั๋วเว่ยลักลอบมีความสัมพันธ์กัน มันช่างน่าตกใจจริงๆ

เว่ยหว่านนิ่งไปครู่หนึ่ง กล่าวด้วยความแน่วแน่ “ข้ากล้ามั่นใจได้เลย! ทุกอย่างนี้ข้าล้วนเห็นมากับตา อีกทั้งข้ายังแอบให้คนไปสืบข่าว ซ่งหวยจินกับแม่ทัพเจ้าเค่อมีความสัมพันธ์ที่ตายแทนกันได้ แม้ว่าจะไม่ชัดเจน ทว่าเจ้าเค่อไม่เคยกลับจวนของตัวเองเลย อาศัยอยู่กับซ่งหวยจินตลอดเวลา”

“เรื่องนี้ข้าก็เคยได้ยิน” ดวงตาของเว่ยหวานเป็นประกาย เอ่ยว่า “หากพูดเช่นนี้ เช่นนั้นก็เป็นความจริงเสียเก้าส่วนแล้ว!”

เมื่อเว่ยหว่านนึกถึงนิสัยของน้องสาวก็เอ่ยด้วยความขึงขังว่า “เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก! เจ้าต้องหุบปากไว้!”