เมื่อฤดูหนาวผันผ่านไป ฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือนหมู่บ้านแบดเจอร์ไฟ ทว่ากลับรู้สึกถึงเพียงความตายอยู่รอบบริเวณ หญ้าใหม่ในดินกลายเป็นเถ้าถ่าน ขณะเดียวกันกองทัพองครักษ์สามหมื่นชีวิตก็สูญหายไป หมาในหลายตัวรุมทึ้งกินขาของทหารกองทัพองครักษ์พร้อมของเหลวจากศพเน่าเปื่อยสาดกระเซ็น
“ไอ้สัตว์เดรัจฉาน!”
ดาบตวัดไปในอากาศพร้อมตัดหมาในทั้งสองกลายเป็นสองส่วนทันที เฟิงจี้สิงเดินไปหยิบขาของศพมาวางไว้ในหลุมลึก ก่อนจะลากศพอื่นต่อไป
ใบหน้าที่เคยหล่อเหลา ปัจจุบันช่างดูไร้ชีวิต มีจุดสีดำปรากฏขึ้นบนข้อมือและใบหน้า เป็นสัญญาณการติดเชื้อโรคจากศพเหล่านี้ ทว่าด้วยพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่งทำให้ยังคงมีชีวิตอยู่ หากเป็นคนธรรมดาท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนี้คงเสียชีวิตไปนานแล้ว
‘กุบกับ…’
เสียงเกือกม้าดังขึ้น ขณะที่กองทหารจากเมืองหยาดสายัณห์เคลื่อนทัพเข้ามายังหมู่บ้านแบดเจอร์ไฟ ซูอวี่เห็นบางสิ่งเบื้องหน้าจึงชี้ออกไป “ท่านพ่อ นั่นเฟิงจี้สิง! ทว่าที่นี่…มีกลิ่น…”
“อืม”
ซูมู่หยุนกล่าว “เข้าไปเถิด”
กองทหารเดินไปหาเฟิงจี้สิงพร้อมหลีกเลี่ยงซากศพของกองทัพองครักษ์ที่กำลังเน่าเปื่อย
เมื่อไปถึงซูอวี่ประสานหมัด “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง จำข้าได้หรือไม่? ข้าคือซูอวี่ บุตรีของหยุนกงจากมณฑลอวิ้นจง”
เฟิงจี้สิงยังคงขุดหลุมลึกและลากซากศพลงไปฝัง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รับรู้ถึงการมาถึงของซูอวี่และคนอื่นๆ
ซูอวี่ขมวดคิ้ว “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง…ท่าน…”
เฟิงจี้สิงคว้าดาบสะบั้นวาโยและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที “เจ้า…เจ้าจะมาเอาศพพวกเขาไปใช่หรือไม่? ถอยไปซะ! มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่ปรานี!”
ซูอวี่ยืนนิ่งงัน “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง…ท่าน…”
ซูมู่หยุนลงจากม้าพร้อมถือไม้เท้าสีทองมองไปยังเฟิงจี้สิงอย่างไม่แยแส “แม่ทัพเฟิงจี้สิง ทหารสามหมื่นนายของกองทัพองครักษ์ต่างเป็นความภาคภูมิใจของจักรวรรดิ ท่านจะปล่อยให้พวกเขาหลับไหลอยู่ที่นี่หรือ…จะปล่อยให้สัตว์ป่ามาขุดหลุมและกัดกินร่างพวกเขาใช่หรือไม่?”
เฟิงจี้สิงหยุดกะทันหัน ดวงตาเหม่อมองไปยังพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดสีเข้ม
ซูมู่หยุนกล่าวต่อ “ผู้บัญชาการเฟิง องค์หญิงอินยังไม่สิ้นพระชนม์ พระองค์ได้กลับไปยังตำหนักเจ๋อเทียน และทำให้เมืองหลันเยี่ยนตกอยู่ในมือจักรวรรดิอีกครั้ง กองกำลังหลายแสนนายจากมณฑลอวิ้นจงและมณฑลชีไห่กำลังปกป้องเมืองหลันเยี่ยน ส่วนจักรวรรดิอี้เหอได้ถอนกำลังออกไปยังเมืองห้าหุบเขาแล้ว อีกทั้งองค์หญิงอินทรงออกราชโองการให้สร้างอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิเพื่อฝังศพทหารของจักรวรรดิผู้สละชีพให้แก่แผ่นดิน ข้าคิดว่านักรบทั้งสามหมื่นนายของกองทัพองครักษ์ควรถูกฝังในอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิ ผู้บัญชาการเฟิงคิดว่าอย่างไร?”
เฟิงจี้สิงหันหน้ามองซูมู่หยุนด้วยสายตาแข็งกร้าวราวกับสัตว์ป่า “ซูมู่หยุน ขณะที่จักรพรรดิถูกล้อมหลายวันและผู้คนถูกเข่นฆ่า เจ้ากลับปล่อยให้เมืองหลันเยี่ยนถูกจักรวรรดิอี้เหอทำลาย ตอนนี้องค์จักรพรรดิฉินสิ้นพระชนม์แล้ว ข้าเกรงว่าอำนาจของทั้งแผ่นดินคงจะตกเป็นของซูมู่หยุนใช่หรือไม่?”
ซูมู่หยุนประหลาดใจเล็กน้อย “ผู้บัญชาการเฟิง ในฐานะผู้ปกครองมณฑลอวิ้นจง ข้ายังมิได้ตรวจสอบถึงการฆาตกรรมบุตรของข้าซูฉิน เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงกล้าเค้นหาความรับผิดชอบจากข้า หากท่านเป็นพ่อคน ก็คงทำสิ่งเดียวกัน ตอนนี้หลานอินเป็นความหวังเดียวของซูมู่หยุน ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้เสี่ยวอินขึ้นเป็นผู้ปกครองแผ่นดินและกำจัดกองโจรอย่างจักรวรรดิอี้เหอ!”
“ต้องการให้ข้าทำอะไร?” เฟิงจี้สิงถามอย่างไม่แยแส
ซูมู่หยุนยิ้มเล็กน้อย “นำกองทัพเมืองหยาดสายัณห์ไปกวาดล้าง สถานที่แรกคือจักรวรรดิอี้เหอในมณฑลหลิงหนานซึ่งอยู่ทางใต้ของภูเขาฉิน ถึงเวลาที่จักรวรรดิจะกำจัดขยะเหล่านั้นแล้ว เซี่ยงอวี้ถูกถังหลานใช้งานอยู่ ขณะที่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนและหลินมู่อวี่เสียชีวิตในสนามรบ มีเพียงข้าและเสี่ยวอินที่สามารถปฏิบัติภารกิจนี้ได้ หากผู้บัญชาการเฟิงจี้สิงกลับเข้าร่วมกองทัพจักรวรรดิ คงจะเป็นที่พึ่งให้แก่คนทั้งแผ่นดิน”
“สหายเฒ่าฉู่…อาอวี่…”
ดาบของเฟิงจี้สิงร่วงลงพื้น เขาก้มหน้าขมวดคิ้วพร้อมน้ำตาที่ไหลริน ผ่านไปชั่วครู่ในที่สุดเฟิงจี้สิงก็เงยหน้าขึ้นมองซูมู่หยุนและซูอวี่ “เฟิงจี้สิงต้องรับผิดชอบฝังพี่น้องสามหมื่นนายก่อนจากไป ข้าจะไม่เชื่อคำของท่านและรับใช้ใครจนกว่าจะได้เห็นอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิและองค์หญิงอิน”
“ข้ารู้”
ซูมู่หยุนพยักหน้า “ข้าจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นเอง”
พูดจบซูมู่หยุนก็หันม้ากลับออกคำสั่งเสียงดังกับเหล่าองครักษ์ “พวกเจ้าอยู่เก็บเถ้ากระดูกพี่น้องกองทัพองครักษ์และนำกลับไปฝังในอนุสรณ์สถานแห่งจักรวรรดิในเมืองหลันเยี่ยน อีกทั้งไปหาผู้ดูแลฉู่เหยาสมาชิกสมาพันธ์โอสถให้มารักษาอาการบาดเจ็บของท่านเฟิงจี้สิง ห้ามผู้ใดละเลยคำสั่งเด็ดขาด!”
ทุกคนประสานหมัดพร้อมกัน “ขอรับท่านหยุนกง”
…
ระหว่างทางกลับ เงาต้นไม้ทอดยาวลงบนพื้นถนน ซูอวี่กุมบังเหียนพร้อมขมวดคิ้ว ขณะที่ผ้าคลุมสีดำปลิวไสวไปมาด้านหลัง
“อาอวี่เจ้าคิดสิ่งใดอยู่?” ซูมู่หยุนเอ่ยถาม
ซูอวี่ยิ้มจางๆ “ท่านพ่อ ข้ากำลังคิดว่า เฟิงจี้สิง หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ฉินเหลย ทั้งสี่ต่างก็เป็นวีรบุรุษของโลกนี้ ทว่าช่างน่าเสียดาย…เทพเจ้าอิจฉาในความสามารถนั้น จึงทำให้เหลือเพียงเฟิงจี้สิงผู้เดียว”
“วีรบุรุษ…”
ซูมู่หยุนครุ่นคิด “วีรบุรุษมิสามารถต่อต้านชะตากรรมแห่งสวรรค์และกฎของจักรวาลได้ การเสียชีวิตของฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน หลินมู่อวี่ และฉินเหลยเป็นสิ่งที่สวรรค์ได้กำหนดไว้แล้ว กระนั้นก็ถือว่าจักรวรรดิฉินยังเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ มิเช่นนั้นคงไม่เหลือแม่ทัพผู้เก่งกล้าให้เราไปต่อสู้กับจักรวรรดิอี้เหอที่ทรงพลังได้”
“เจ้าค่ะ” ซูอวี่พยักหน้า “ท่านพ่อคิดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป…บอกข้าได้หรือไม่?”
“ข้า?” ซูมู่หยุนะลึง “เรื่องใดหรือ?”
“จักรวรรดิในภายภาคหน้า”
“เฮ้อ…” ซูมู่หยุนถอนหายใจแผ่วเบา “เสี่ยวอินยังเป็นเด็ก ทว่าต้องแบกรับทุกสิ่งอย่าง จักรวรรดิอี้เหอจะต้องกลับมาโจมตีอีกครั้งเป็นแน่ ถังหลานจิ้งจอกเฒ่าคงตั้งหน้าตั้งตารอ…สิ่งที่เราทำได้คือการปกป้องเสี่ยวอินและเมืองหลันเยี่ยน พร้อมทั้งไม่ปล่อยให้ถังหลานฉวยโอกาสได้ ข้าเกรงว่าจิ้งจอกเฒ่าถังหลานจะทอดทิ้งเสี่ยวอิน และแต่งตั้งให้ถังเสี่ยวซีเป็นจักรพรรดินีแทน”
“อา…” ซูอวี่อ้าปากค้างด้วยความตกใจ “คงไม่เป็นเช่นนั้น เสี่ยวอินมีสายเลือดตระกูลฉิน ทว่าถังเสี่ยวซีไม่มี”
“อนาคตไม่แน่นอน หลักฐานที่สมเหตุสมผลที่สุดคือกองกำลังที่แข็งแกร่ง ขณะนี้เราไม่มีความสามารถที่เหนือกว่าเมืองชีไห่ ดังนั้นทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ อาอวี่…เราควรชะลอการส่งกองกำลังไปยังเมืองห้าหุบเขา เราต้องถ่วงเวลาจนกว่าเฟิงจี้สิงจะออกจากภูเขาแห่งนี้…”
“ท่านพ่อไม่เชื่อใจให้หลิงหนานเทียนนำทัพหรือเจ้าคะ?”
“ฮ่าๆ…” ซูมู่หยุนยิ้มเล็กน้อย “หากหลิงหนานเทียนเป็นแม่ทัพผู้เก่งกล้า เมืองหลันเยี่ยนคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทว่าอาอวี่…จงส่งคนไปยังชายแดนทางใต้และตะวันตกเพื่อค้นหากองกำลังที่หายไปของตู้ไห่ เขาเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ หากสามารถใช้งานตู้ไห่ได้ เราจะยิ่งทรงพลังมากขึ้น”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
…
วันที่สิบเอ็ดพฤษภาคมมีข่าวดีว่าเซี่ยงอวี้พิชิตเมืองเหลิ่งซิงรวมทั้งสิบเอ็ดเมืองเล็กในมณฑลดาราด้วยกองกำลังทหารม้าสามพันนาย แม้จะมีการต่อต้านจากเมืองเหลิ่งซิงเล็กน้อย ทว่าท้ายที่สุดก็ตกอยู่ในกำมือของจักรวรรดิ
เช้าตรู่วันที่สิบสอง เซี่ยงอวี้นำกองทัพกลับมาเมืองหลันเยี่ยน และได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลามจากชาวเมือง
…
ณ ตำหนักเจ๋อเทียน เซี่ยงอวี้นำนายพลที่เชื่อถือได้เข้ามาในโถงหลัก เขาประสานหมัดและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เซี่ยงอวี้ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินอินพยักหน้าและกล่าว “ครานี้ผู้บัญชาการเซี่ยงอวี้ได้ปราบปรามกบฏและคืนความสงบสุขแก่ประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี”
ถังหลานประสานหมัดกล่าว “องค์หญิง แม่ทัพเซี่ยงอวี้ได้ทำคุณงามความดีแก่จักรวรรดิ และขณะนี้จักรวรรดิเองก็ต้องการทหารผู้มีความสามารถ กระหม่อมแนะนำว่าควรเลื่อนยศแม่ทัพเซี่ยงอวี้ให้เป็นแม่ทัพองครักษ์ระดับสองแห่งจักรวรรดิ”
ซูมู่หยุนขมวดคิ้ว “หลานกง แม้ว่านายพลเซี่ยงอวี้จะทำผลงานดีเยี่ยม ทว่าเขาก็ยังเป็นคนบาป มันคงมากเกินไปที่จะแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพองครักษ์ด้วยการพิชิตเมืองเพียงครั้งเดียว”
ถังหลานยิ้ม “หยุนกง กองทัพจักรวรรดิอี้เหอได้กลืนกินดินแดนจักรวรรดิของเรา ตอนนี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะทวงคืนแผ่นดินทุกตารางนิ้ว กระนั้นแม่ทัพเซี่ยงอวี้ก็พิชิตมณฑลดาราได้ทั้งหมด”
ซูอวี่พูด “แม้สิ่งที่หลานกงกล่าวมาจะมีเหตุผล ทว่าหากเขาพิชิตหนึ่งมณฑลแล้วได้เป็นแม่ทัพองครักษ์ เช่นนั้นข้าเกรงว่าเขาคงได้เลื่อนยศเป็นแม่ทัพระดับสูงเมื่อพิชิตสองมณฑลติดต่อกัน”
“ฮ่าๆ…” ถังหลานหัวเราะ “แม่ทัพเซี่ยงอวี้คงมิปล่อยให้หญิงสาวต้องขมวดคิ้ว สิ่งที่ท่านพูดนั้นมีเหตุผล เช่นนั้นกระหม่อมแนะนำว่าให้แต่งตั้งแม่ทัพเซี่ยงอวี้เป็นแม่ทัพพิทักษ์เมืองระดับสามของจักรวรรดิ เป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เว่ยโฉวรู้สึกไม่พอใจ เขาพลันประสานหมัดกล่าว “องค์หญิง ตำแหน่งแม่ทัพพิทักษ์เมือง…เดิมทีเป็นของท่านหลินมู่อวี่…”
ถังหลานมองอย่างเย็นชา “หลินมู่อวี่เสียสละชีวิตเพื่อแผ่นดิน กระนั้นเขาก็เป็นเพียงคนที่ตายไปแล้ว เหตุใดเซี่ยงอวี้จึงรับตำแหน่งนี้ไม่ได้?”
ฉินอินยืนขึ้นและกล่าว “เนื่องจากหลานกงยืนยันจะยอมรับเซี่ยงอวี้ เช่นนั้นมาเถิด จงรับเหรียญตราแม่ทัพพิทักษ์เมือง ข้าหวังว่าแม่ทัพเซี่ยงอวี้จะภักดีและรับใช้จักรวรรดิต่อไป”
“น้อมรับพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ” เซี่ยงอวี้ยิ้มและก้มลงคุกเข่าหนึ่งข้างอย่างเคารพ
ฉินอินมองไปยังฝูงชนและเอ่ยถาม “เกิดสิ่งใดขึ้นกับการต่อสู้ในเมืองห้าหุบเขา?”
ซูมู่หยุนประสานหมัด “แม่ทัพหลิงหนานเทียนนำกองทัพหนึ่งแสนนายไปยังเมืองห้าหุบเขา และมีรายงานว่ากำลังบุกเข้าโจมตี ทว่าเมืองห้าหุบเขาได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาโดยแม่ทัพติงซี่ผู้มีชื่อเสียงจากมณฑลหลิงหนาน ซึ่งมีกองกำลังกว่าสองแสนนาย จึงทำให้ต้องใช้เวลาในการยึดเมืองห้าหุบเขาพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เช่นนั้นเตรียมกองกำลังในเมืองหลันเยี่ยนให้พร้อม เพื่อป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิอี้เหอทุกเมื่อ”
“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง โปรดวางพระทัย ทุกสิ่งจะดำเนินไปด้วยดี”
ซูอวี่มีความมั่นใจมาก หากต้องนำทัพกว่าหนึ่งแสนโจมตีเมือง อาจเป็นเรื่องยากสำหรับนาง ทว่าการนำกองทัพหมื่นนายป้องกันเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ซูอวี่ควบคุมได้อย่างแน่นอน
………………..………………..